--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

เอแบคโพลชี้คนมีรายได้ต่ำกว่าหมื่นบาท/เดือนอ่วม! ชักหน้าไม่ถึงหลังมากขึ้น กว่า65%ไม่มีเงินออม

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์( Cornell University) เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 กันยายนถึงผลสำรวจ เรื่อง “เปิดกระเป๋าเงินของคนทำงานผู้มีรายได้น้อย สะท้อนอารมณ์และความล้มเหลวของรัฐบาล :กรณีศึกษาตัวอย่างคนทำงานผู้มีรายได้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน ใน 12 จังหวัดของประเทศ” ซึ่งเป็นการสำรวจจากครัวเรือนจาก 12 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ชลบุรี นครราชสีมา อุดรธานี กาฬสินธุ์ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 988 ครัวเรือน ในช่วงเดือนสิงหาคม 2553 ประเด็นสำคัญที่พบมีดังนี้

มีค่าใช้จ่ายในแต่เดือนพอๆ กับรายได้ โดยมากเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหาร เฉลี่ย 4,626.77 บาท รองลงมาเป็นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เฉลี่ย 1,156.56 บาท และของใช้อุปโภค เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน เฉลี่ย 978.11 บาท

เมื่อสอบถามถึงรายได้ส่วนตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 โดยภาพรวมพบว่า ตัวอย่างเกินกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 55.7 มีรายได้ลดลง ขณะที่ร้อยละ 38.7 เท่าเดิม และมีเพียงร้อยละ 5.6 ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น

เมื่อจำแนกตามการมีรายได้ประจำ พบว่า ผู้ไม่มีเงินรายได้ประจำ มีรายได้ลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่มีรายได้ประจำ (รายได้ลดลงร้อยละ 58.0 และ 38.1 ตามลำดับ)

ในทางกลับกันเมื่อสอบถามถึงรายจ่ายส่วนตัว โดยภาพรวมพบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 60.2 มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่ร้อยละ 25.0 เท่าเดิม และร้อยละ 14.8 มีรายจ่ายลดลง ซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกันทั้งผู้ที่มีรายได้ประจำ และไม่มีรายได้ประจำ

อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามต่อถึงการมีเงินออม โดยภาพรวมพบว่าตัวอย่างประมาณ 2 ใน 3 หรือร้อยละ 65.8 ไม่มีเงินออม โดยไม่แตกต่างกันมากนักไม่ว่า จะเป็นผู้มีรายได้ประจำหรือไม่มี

สำหรับตัวอย่างร้อยละ 34.2 ที่มีเงินออมนั้น โดยภาพรวมพบว่า มีเงินออมเฉลี่ย 1,369.37 บาทต่อเดือน (ร้อยละ 37.2 มีเงินออมในแต่ละเดือนไม่เกิน 500 บาท รองลงมาร้อยละ 26.5 มีเงินออม 501 – 1,000 บาท และร้อยละ 18.5 มีเงินออม 1,001 – 2,000 บาท ส่วนผู้ที่มีเงินออมมากกว่านี้มีสัดส่วนลดหลั่นลงไป) ซึ่งพบว่า ผู้ที่มีรายได้ประจำมีเงินออมมากกว่าผู้ไม่มีรายได้ประจำเล็กน้อย เฉลี่ย 1,535.22 บาท และ 1,342.02 บาท ตามลำดับ

นอกจากนี้เมื่อสอบถามถึงความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ผลสำรวจพบว่า แม้โดยภาพรวมตัวอย่างร้อยละ 47.3 ระบุเชื่อมั่นเท่าเดิม แต่พบว่า สัดส่วนของกลุ่มที่ระบุเชื่อมั่นลดลงนั้นมีมากกว่ากลุ่มที่ระบุเชื่อมั่นมากขึ้นอย่างชัดเจน คิดเป็นร้อยละ 39.3 และ 13.4 ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาต่อไปยังเห็นได้ชัดว่า ผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำมีความเชื่อมั่นลดลงมากกว่าผู้ที่มีรายได้ประจำ คิดเป็นร้อยละ 40.7 และ 28.8 ตามลำดับ

ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า กลุ่มคนที่เป็นผู้มีรายได้น้อยเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากแนวทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาลเกือบทุกรัฐบาลที่ผ่านมา และเกือบทุกอย่างดูเหมือนจะ “วน” อยู่ที่เดิม แค่เปลี่ยนชื่อคนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ เท่านั้น แต่วิธีคิดและแนวทางแก้ไขปัญหาบ้านเมืองยังไม่ปรากฏให้เห็นว่ามี “การเปลี่ยนแปลง” หรือมี “อะไรใหม่” ให้นำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนอย่างยั่งยืน เพราะผลวิจัยครั้งนี้สะท้อนปัญหาเดิมๆ ว่า คนไม่เชื่อมั่นต่อฐานะทางการเงินส่วนตัวของตนเอง และต่อความสามารถของรัฐบาล สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งอยู่ที่รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงด้านเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นไปแต่เรื่องอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เดินตามรอยประเทศมหาอำนาจเกินไป

ทางออกตอนนี้อย่างน้อยสามประการคือ ประการแรก เร่งมุ่งเน้นไปที่ “ความเป็นธรรม” ที่ให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียมสู่ระดับท้องถิ่น เรื่องการเข้าถึงอาชีพ รายได้ที่เป็นธรรม การครอบครองทรัพยากรทางธรรมชาติ ที่ทำกิน การศึกษา ระบบสุขภาพถ้วนหน้า เป็นต้น โดยระยะสั้นน่าจะมีโครงการบรรเทาคนรายได้น้อยที่ครอบคลุมทั้งประเทศในปัจจัยพื้นฐานคือ อาหาร และสาธารณูปโภคต่างๆ

ประการที่สอง เสนอให้ “กลุ่มนายทุน” หรือคนรวยช่วยเหลือคนจนทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งในลักษณะมูลนิธิหรือองค์กรไม่หวังผลกำไร และรัฐบาลหาแนวทางช่วยเหลือกลุ่มนายทุนเหล่านั้นอีกทีหนึ่ง

และที่สำคัญ ประการที่สาม คือ ต้องแก้ “ปัญหาคอรัปชั่น” ในส่วนกลางและท้องถิ่น ที่เป็นปัจจัยทำให้ “ระบบเศรษฐกิจ” ทั้งทุนนิยมแบบประชาธิปไตยและไม่เป็นประชาธิปไตยพังไปหลายประเทศ ก่อให้เกิดการจลาจลต่อต้านรัฐบาลและผู้มีอำนาจมาหลายสมัยแล้ว จึงเห็นเสนอให้ปรับแนวทางแก้ปัญหาพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หนุนเสริมความเข้มแข็งของประชาชนโดยเน้นไปที่ “ความเป็นธรรม” และโอกาสที่ให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม ถ้าไม่งั้นปัญหาบ้านเมืองของประเทศจะ “วน” อยู่ที่เดิม สิ่งเลวร้ายเดิมๆ จะย้อนกลับมาซ้ำซาก และจะมีคนเพียงหยิบมือเดียวของประเทศที่จะอาศัยบ้านเมืองวุ่นวาย กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว
**************************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น