--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เปิดสงครามชี้ความต่าง เทียบศรัทธากับโยนความผิด !!?

ผลไม้พิษจากการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนวันนี้ก็ยังทำให้เกิดการแบ่งแยกแตกขั้วอย่างชัดเจนในสังคมอย่างกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วงว่าการกระทรวงพาณิชย์ และแกนนำ นปช. ได้มีการโพสต์เฟสบุ๊คตอบโต้ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีการไประบุสาเหตุบ้านเมืองวุ่นวายเพราะมีการปลุกระดมประชาชนเพื่อประโยชน์พวกพ้อง

ได้กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกสนานในโลกออนไลน์

ซึ่งจุดเริ่มต้นของประเด็นนี้มาจากการที่สมาคมนักข่าววิทยุและนักข่าวโทรทัศน์ไทย จัดประชุมใหญ่ประจำปี 2556 ที่โรงแรมเดอะสุโกศล แล้วก็ถือโอกาสจัดเวทีเสวนาเรื่อง “ทางออกประเทศไทย”

นายจรัญเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเชิญให้ไปขึ้นเวทีในวันนั้นด้วย

แล้วก็มีการพูดทำนองที่ว่า ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยคือ เรื่องการล่มสลายความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากความขัดแย้งของนักการเมือง จนนำไปสู่การปลุกระดมมวลชนเพื่อประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่ม ไม่ใช่ประโยชน์ของประเทศ

ส่วนปัญหาการทุจริตการเลือกตั้งนั้น ก็เป็นผลมาจากปัญหาการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรมที่ประชาชนต้องเผชิญ จึงทำให้นักการเมืองใช้โอกาสในการซื้อเสียงเข้าสภา นำไปสู่การรวมตัวของนายทุนกับนักการเมือง

และปัญหาของนโยบายประชานิยมสะสมประโยชน์เป็นโครตโกง หรือปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น

แต่นายจรัญเองก็ยอมรับว่าการทำรัฐประหารของทหารไม่ใช่ทางออกของการเมืองไทย

ปัญหาก็คือ นายจรัญ ได้เสนอทางออกของการเมืองไทยไว้ 5 ข้อ ประกอบด้วย

ข้อแรก ต้องจำกัดพื้นที่ของนักเลือกตั้งให้แคบลง เพื่อเพิ่มพื้นที่ของนักการเมืองที่ทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

2. เพิ่มพื้นที่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการบริหารประเทศตามระบอบประชาธิปไตย

3. สกัดกั้นธุรกิจการเมืองของกลุ่มนายทุนที่แอบเข้ามาบริหารประเทศผ่านนักการเมืองสุนัขรับใช้

4. เพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบตรวจสอบ การใช้อำนาจรัฐ เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตผลประโยชน์ทับซ้อน และที่สำคัญการทุจริตเชิงนโยบายที่กำลังลุกลามไปสู่ผลประโยชน์ข้ามชาติ

และข้อสุดท้าย ต้องยึดมั่นว่าประชาธิปไตยของไทยต้องดำเนินไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งชาติ ไม่ใช่พรรคการเมืองหรือประชาชนบางกลุ่มเท่านั้น

หากเป็นข้อเสนอของคนทั่วไป ก็อาจจะถูกมองแค่ว่าเป็นพวกขั้วการเมืองเข้มข้นรุนแรง และมีอคติอย่างมากกับนักการเมืองเลือกตั้ง ถึงขนาดที่ต้องการประชาธิปไตยแบบล้อมกรอบนักการเมือง

แต่เมื่อเป็นมุมมองของคนในระบบยุติธรรม เป็นระดับผู้ใหญ่ของกระบวนการตุลาการ แถมยังอยู่ในหมวกของตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีหน้าที่วินิจฉัยในเรื่องการเมืองแบบมีอำนาจในมือชัดเจน

จึงสร้างความสะดุ้งให้กับสังคมเป็นอย่างมากว่า... คิดสุดขั้วได้ขนาดนี้เชียวหรือ?

แต่ก็มีมุมมองในโลกออนไลน์ ให้ข้อสังเกตุว่า จริงๆแล้วในการเสวนาวันนั้น บรรดาผู้ที่ถูกเชิญไป ก็ล้วนแล้วแต่สามารถมองได้ว่ามีจุดยืนมีทัศนคติไปในทิศทางเดียวกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น นายอุทัย พิมพ์ใจชน หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล นายเทพชัย หย่อง และแม้แต่ตัวนายจรัญเองก็ตาม

แถมเวทีที่จัด ก็คือ โรงแรม เดอะ สุโกศล ซึ่งกลุ่มม็อบสนามม้า กลุ่มเสื้อหลากสีต่างๆ นิยมไปใช้เป็นเวทีถล่มทางการเมืองอยู่แล้ว บรรยากาศการเมืองขั้วตรงข้ามอาจจะยังอบอวลอยู่ในโรงแรม จนทำให้นายจรัญพูดออกมาอย่างที่ปรากฏชัดเจนก็ได้ว่า

ทัศนคติต่อนักการเมืองเลือกตั้งของนายจรัฐก็คือติดลบ

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมื่อ นายณัฐวุฒิ ได้เห็นแนววิธีคิดของนายจรัญ ก็เลยโพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้แนวคิดดังกล่าว โดยระบุว่า...

เห็นข่าวคุณจรัญบอกว่าบ้านเมืองมีปัญหาเพราะมีพวกปลุกระดมให้เสียหาย ผมว่า ที่มีปัญหา 7 ปีจนถึงวันนี้ เพราะมีคนบางกลุ่มฝักใฝ่เผด็จการ ขาดความเคารพประชาชน รวมตัวกันเคลื่อนไหว เปิดประตูให้มีการรัฐประหาร แล้วเข้าไปรับประโยชน์จากการรัฐประหาร

คุณจรัญได้รับการแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม ตุลาการศาล รธน.ก็จากอำนาจนี้

พรรคพวกอีกหลายคนก็เป็น สนช. สสร. บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ส.ว.สรรหา พรรคการเมืองที่ร่วมขบวนการไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

เห็นชัดเจนว่า ใครเป็นตัวตั้งตัวตีค้านแก้ รธน. หาทางล้มรัฐบาลตลอดเวลา หลังรัฐประหาร พันธมิตรจัดงานเลี้ยง คุณจรัญก็ไปร่วม ตุลาการรัฐธรรมนูญมีคลิปอื้อฉาวก็ไม่รับผิดชอบ ตีความรัฐธรรมนูญตามอำเภอใจจนสุ่มเสี่ยงจะนำบ้านเมืองไปสู่ความขัดแย้งใหญ่อีกครั้ง

ปัญหาการเมืองที่ไม่ไปไหนเพราะคนกลุ่มนี้ หยุดเสียบ้างเถอะ ไม่เห็นแก่ประชาชน ก็ควรอาย พล.อ.สนธิ "บิ๊กบัง" แกสำนึกถึงขั้นยกมือสนับสนุนแก้ รธน.แล้ว

แต่หางเครื่องที่ได้ประโยชน์จากรัฐประหาร ยังดิ้นกันไม่หยุดจนวันนี้

แน่นอนว่าเสียงสะท้อนออกมาว่า เต้นเขียนแรง แต่ส่วนใหญ่ก็ยอมรับว่า บนความแรงนั้นคือข้อเท็จจริง และที่สำคัญ คือเป็นปมปัญหาของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ในเวลานี้จริงๆ

ภาษิตฝรั่งมีบทหนึ่งที่ว่า “Put the blame on everybody but myself”

ซึ่งไม่อยากเห็นใครในสังคมเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาบุคคลในระบบยุติธรรม บุคคลในคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ อย่างนายจรัญ เพราะหากนายจรัญเกิดไปเข้าข่ายของคนที่มีมุมมองเช่นว่าเข้าให้ ปัญหาของบ้านเมืองก็คงไม่จบ และที่เสวนากันปาวๆว่าจะหาทางออกให้กับประเทศไทย... ก็คงเป็นแค่ทางตันจากพิษอารมณ์เคียดแค้นที่ปิดกั้นเท่านั้นเอง

ฝรั่งมักจะบอกว่า ใครก็ตามที่มีแนวคิดมีบุคลิกอย่างที่ว่า ต้องถือว่าเป็นบุคคลที่น่ากลัวที่สุด เพราะคนประเภทนี้จะไม่มีวันตำหนิตัวเองเลยไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม แต่จะโยนความผิดไปให้คนอื่นหมด โดยเฉพาะกับคนขั้วตรงกันข้าม

ฝรั่งเชื่อว่าในยุโรปและอเมริกามีคนประเภทนี้อยู่บ้าง โดยที่อาจจะไม่รู้ว่าในประเทศไทย หลังรัฐประหาร 19 กันยายน ได้มีคนประเภทนี้เกิดขึ้นมาไม่น้อยเหมือนกัน

ดังนั้นนายจรัญอาจจะต้องตั้งสติให้นิ่งๆ แล้วถามตัวเองว่าเข้าข่ายคนประเภทนี้หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เป็นโชคของประเทศชาติ

เพราะคนที่มีทัศนคติอย่างที่ว่าหากเป็นคนระดับชาวบ้านทั่วไป ยังไม่น่ากลัวเท่าไรนัก แต่หากว่าเป็นคนในระดับผู้นำองค์กร เป็นผู้ที่มีบทบาทหน้าที่ในสังคม ล่ะก็ยุ่งแน่

ยิ่งหากบังเอิญเป็นคนในระบบตุลาการด้วยแล้ว... ก็ยิ่งวังเวง

ส่วนนายณัฐวุฒิ ซึ่งถือเป็นนักรบรุ่นใหม่ มีทั้งความเฉลียวฉลาดและกล้าที่จะปะทะคารม กล้าที่จะเอาความจริงมาตีแผ่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็ต้องรู้จักประคองตัวให้เป็น ประคองตัวให้ดีด้วย

เพราะการออกมาโพสต์เฟสบุ๊คเปรี้ยงๆไม่อ้อมค้อมเช่นนี้ สำหรับคนที่มีใจรักความเป็นธรรมอาจจะบอกว่าสะใจดี แต่หากเป็นคนที่มีจิตใจคุมแค้นอยู่ลึกๆ นายณัฐวุฒิอาจจะอันตรายก็ได้

ผู้คนในสังคมออนไลน์ยังระบุเลยว่า พูดตรงแบบนี้ระวังจะโดนถอนประกันตัว
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน... การพูดสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ทำให้คนพูดเสี่ยงขนาดนั้นเชียวหรือ

แต่เพื่อความไม่ประมาท ก็ไม่น่าจะยุ่งยากอะไรนักหากนายณัฐวุฒิจะประคับประคองตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยไปนานๆ เพราะต้องไม่ลืมว่า ทั้งในระดับแกนนำมวลชล ทั้งในระดับนักการเมือง นายณัฐวุฒิคือคนรุ่นใหม่ที่ยังมีเวลาอีกยาวนาน

บรรดาผู้นำ บรรดานักการเมืองรุ่นปัจจุบันที่เห็นๆอยู่มีแต่เริ่มโรยราลงไปเรื่อยๆ อีกไม่นานคนรุ่นใหม่คนรุ่นเยาว์ย่อมต้องขึ้นมาแทนอย่างแน่นอน ฉะนั้นถนอมเนื้อถนอมตัวไว้ก็ไม่เสียหลาย มิใช่หรือ?

ที่สำคัญทุกวันนี้นายณัฐวุฒิ แม้ว่าจะเป็นที่ชื่นชมของมวลชนคนเสื้อแดง คนรากหญ้า แต่สำหรับคนขั้วตรงข้ามมีไม่น้อยที่มองนายณัฐวุฒิเป็นศัตรูที่จะต้องทำลายทิ้ง ฉะนั้นการจะพูดอะไรที่แม้จะเป็นเรื่องจริง แต่เป็นการเพิ่มศัตรู เพิ่มแรงแค้นให้มากขึ้น อาจจะไม่ใช่วิถีที่เหมาะสมนักก็ได้

วันนี้เต้นอาจจะต้องคิดในเรื่องของการดึงศัตรูให้กลายมาเป็นมิตร ด้วยการทำให้ขั้วตรงข้ามยอมรับในความเป็นจริง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ง่าย แต่หากทำได้ไม่ต้องมาก สักเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็น 20 เปอร์เซ็น ถ้าทำได้ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว

วันนี้เต้นต้องคิดสร้างมิตรเพิ่ม ไม่ต้องไปรีบร้อนเปิดศึกฉะใคร... อย่างน้อยที่สุดก็ได้เปรียบเรื่องวันเวลาอยู่แล้วนี่นา... อย่าลืมสิ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
---------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น