--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ต้องค้นหาความจริงก่อน จะปรองดอง !!?

หลายฝ่ายออกมาคัดค้านกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เสนอโดยนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ซึ่งฝ่ายรัฐบาลครองเสียงข้างมากใช้พวกมากลงมติให้แก้ไขสาระสำคัญในมาตรา3 ของร่าง พ.ร.บ.แบบหักดิบด้วยการกำหนดให้มีการนิรโทษกรรมบุคคลที่เกี่ยวข้องเหตุการณ์ทางการเมืองตั้งแต่หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยครอบลุมบุคคลทุกสีทุกกลุ่มทุกคน  ซึ่งที่สำคัญรวมทั้งการลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีทั้งๆที่เป็นนักโทษหลบหนีโทษจำคุก 2 ปีตามคำพิพากษาของศาลในคดีทุจริตและมีคดีติดตัวมากมาย

การแก้ไขมาตรา 3 ของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตามมติของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากส่งผลให้คดีการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐหรือคตส.ที่ตั้งขึ้นหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ทั้งหมดซึ่งหลายคดีศาลมีคำพิพากษาไปแล้วและอีกหลายคดีอยู่ระหว่างการพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมต้องถูกยกเลิกทั้งหมด

ข้ออ้างที่ให้นิรโทษกรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากคตส.อันเป็นหน่วยงานซึ่งเป็นผลพวงจากการรัฐประหารนั้นดูจะไร้น้ำหนักเพราะโดยข้อเท็จจริง คตส.เป็นเพียงหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่ในการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นในคดีทุจริตต่างๆยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณเรืองอำนาจ  โดยผลการสอบสวนของคตส.ต้องส่งต่อไปยังหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนปกติทั่วไปและจบลงที่ศาลสถติย์ยุติธรรมที่มีอยู่คู่กับประเทศมาช้านานก่อนการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549

การแก้ไขพ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้มีผลให้คดีทุจริตการซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลฏีกาพิพากษาจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา คดีที่ศาลตัดสินยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ คดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ และเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงตกเป็นผู้ต้องหา รวมทั้งคดีทุจริตซึ่งอยู่กำลังอยู่ในขั้นตอนตามกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดจะถูกลบล้างยกเลิกอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐและความศักดิ์สิทธิ์ของศาลสถิตย์ยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการลบล้างโทษความผิดคดีที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วซึ่งถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายและอันตรายเป็นอย่างยิ่งต่อการรักษากติกาในบ้านเมือง

ที่น่าแปลกใจก็คือแม้แต่ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากพ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างนายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านและอดีตนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งบรรดาแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่างแสดงจุดยืนชัดเจนมาตลอดไม่ขอรับการนิรโทษกรรม แต่พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วยการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาหลักนิติรัฐและระบบศาล ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณและพวกกลับไม่กล้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรม แต่กลับวิธีการใช้พวกมากรวบรัดผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมโดยอ้างการสร้างความปรองดองบังหน้าและจับบุคคลอื่นที่เป็นฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวประกัน

ทั้งนี้แนวทางการสร้างความปรองดองที่ถูกต้องชอบธรรมซึ่งหลายประเทศในโลกเคยใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งภายในชาติจนประสบความสำเร็จและสอดคล้องกับผลสรุปแนวทางการสร้างความปรองดองของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ( คอป.) ก่อนหน้านี้ที่เคยเสนอว่า การที่จะนิรโทษกรรมเพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดองนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดจะต้องมีการค้นหาข้อเท็จจริงสาเหตุแห่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพื่อหาผู้กระทำผิดและผู้กระทำผิดต้องสำนึกผิดและยอมรับโทษตามกระบวนการยุติธรรมพร้อมทั้งรับปากว่าจะไม่กระทำผิดอีกจึงค่อยมาพิจารณาขั้นตอนการนิรโทษกรรมซึ่งจะต้องมีการแยกแยะคดีแห่งความผิดด้วยว่าคดีไหนที่สมควรหรือไม่สมควรได้รับการลบล้างโทษความผิด

ดังนั้นการเดินหน้าพิสูจน์ค้นหาความจริงตามกระบวนการยุติธรรมที่ทุกฝ่ายยอมรับโดยดุษฏีเท่านั้นที่จะเป็นแนวทางสู่การสร้างความปรองดองอย่างแท้จริง ตรงกันข้ามหากอาศัยพวกมากมาบังคับหวังรวบรัด หักดิบออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแทนที่จะนำไปสู่ความปรองดองกลับจะยิ่งเป็นการสุมไฟแตกแยกนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่กลียุค

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น