ปัจจุบันจีนได้มีการพัฒนาเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจาก ประชากรที่มีจำนวนมากถึง 1,300 ล้านคน โดยในปีที่ผ่านมาจีนกลายเป็นประเทศ ที่มีการใช้จ่ายในการเที่ยวต่างประเทศสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก และเป็นประเทศที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติจำนวนมากเป็นอันดับที่ 3 รวมทั้งเป็นประเทศที่มีรายได้การท่องเที่ยวจากต่างประเทศมากเป็นอันดับที่ 4 ในโลก และคาดว่าจะมีประชากรจีนจำนวน 400 ล้าน คน เดินทางท่องเที่ยวที่ต่างประเทศภายใน 5 ปีข้างหน้า
นางชไมพร เจือเจริญ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครคุนหมิง เปิดเผยว่า จีนได้เริ่มดำเนิน กฎหมายการท่องเที่ยวของจีนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็น "กฎหมายเหล็ก" ที่สั่งห้ามการกระทำที่มิชอบของบริษัททัวร์ อาทิ การจัด "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" หรือการเพิ่มแหล่งซื้อของในโปรแกรมทัวร์ เป็นต้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดว่ากฎหมายการท่องเที่ยวดังกล่าวนี้จะส่งผล กระทบต่อราคาทัวร์ให้พุ่งสูงขึ้น จนอาจจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศลดลง
แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีหน่วยงานการ ท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องสำรวจพบว่า ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวชาวจีนร้อยละ 70 เลือกไปเที่ยวด้วยตนเอง มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 30 ที่เลือกท่องเที่ยวไปกับคณะทัวร์ นอกจากนี้ บริษัททัวร์ในจีนก็มีการเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด โดยจัดคณะทัวร์ "เที่ยวด้วยตนเอง" ซึ่งให้บริการเฉพาะตั๋วเครื่องบิน รถยนต์ และที่พักโรงแรมในท้องถิ่น นักท่องเที่ยวสามารถจัดโปรแกรมของตน เองได้ ซึ่งถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ดึง ดูดนักท่องเที่ยว
นางชไมพร กล่าวว่า ในส่วนของไทยข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันจีนถือว่าเป็น ตลาดท่องเที่ยวขนาดใหญ่ของไทย ในช่วง แปดเดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-สิงหาคม) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังไทย มีถึง 3.22 ล้านคน สูงกว่าช่วงเดียวกับปีก่อนถึงร้อยละ 88.42
จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี ไทยจึงมีความ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับ การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ไม่ว่าจะเป็น การหาสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ที่พัก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม สถานบริการ เช่น ร้านขายของที่ระลึก ร้านซักรีด สถานที่นันทนาการ ฯลฯ และปัจจัยพื้นฐานต่างๆ เพื่อดึงดูดให้เกิดความประทับใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยและจีนต่าง มีแนวความคิดในเรื่องการยกเลิกการขอวีซ่าเข้าประเทศของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งหากมีการยกเลิกมาตรการขอวีซ่าแล้ว จะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอีกประการหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยว ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวยังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ ความเชื่อใจ และมิตรภาพ ซึ่งทำให้ประชาชนของทั้งสองประเทศมีความรู้สึกที่ดีต่อกันมากยิ่งขึ้น
ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////
นางชไมพร เจือเจริญ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครคุนหมิง เปิดเผยว่า จีนได้เริ่มดำเนิน กฎหมายการท่องเที่ยวของจีนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็น "กฎหมายเหล็ก" ที่สั่งห้ามการกระทำที่มิชอบของบริษัททัวร์ อาทิ การจัด "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" หรือการเพิ่มแหล่งซื้อของในโปรแกรมทัวร์ เป็นต้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดว่ากฎหมายการท่องเที่ยวดังกล่าวนี้จะส่งผล กระทบต่อราคาทัวร์ให้พุ่งสูงขึ้น จนอาจจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศลดลง
แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีหน่วยงานการ ท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องสำรวจพบว่า ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวชาวจีนร้อยละ 70 เลือกไปเที่ยวด้วยตนเอง มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 30 ที่เลือกท่องเที่ยวไปกับคณะทัวร์ นอกจากนี้ บริษัททัวร์ในจีนก็มีการเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด โดยจัดคณะทัวร์ "เที่ยวด้วยตนเอง" ซึ่งให้บริการเฉพาะตั๋วเครื่องบิน รถยนต์ และที่พักโรงแรมในท้องถิ่น นักท่องเที่ยวสามารถจัดโปรแกรมของตน เองได้ ซึ่งถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ดึง ดูดนักท่องเที่ยว
นางชไมพร กล่าวว่า ในส่วนของไทยข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันจีนถือว่าเป็น ตลาดท่องเที่ยวขนาดใหญ่ของไทย ในช่วง แปดเดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-สิงหาคม) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังไทย มีถึง 3.22 ล้านคน สูงกว่าช่วงเดียวกับปีก่อนถึงร้อยละ 88.42
จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี ไทยจึงมีความ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับ การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ไม่ว่าจะเป็น การหาสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ที่พัก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม สถานบริการ เช่น ร้านขายของที่ระลึก ร้านซักรีด สถานที่นันทนาการ ฯลฯ และปัจจัยพื้นฐานต่างๆ เพื่อดึงดูดให้เกิดความประทับใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยและจีนต่าง มีแนวความคิดในเรื่องการยกเลิกการขอวีซ่าเข้าประเทศของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งหากมีการยกเลิกมาตรการขอวีซ่าแล้ว จะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอีกประการหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยว ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวยังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ ความเชื่อใจ และมิตรภาพ ซึ่งทำให้ประชาชนของทั้งสองประเทศมีความรู้สึกที่ดีต่อกันมากยิ่งขึ้น
ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น