สศค.มั่นใจสหรัฐขยายเพดานหนี้สำเร็จ พร้อมเตือนนักลงทุนไทยรับมือความผันผวนในตลาดเงิน ตลาดทุน เชื่อมือ ธปท.มีไม้เด็ดรับสถานการณ์ได้ ครม.เศรษฐกิจก้นร้อน "ปู" นัดถก คลัง-ธปท.จับตาสถานการณ์ใกล้ชิด
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อํานวยการ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สศค.ถึงกรณีเพดานหนี้สหรัฐว่า ขณะนี้ทั้งตลาดเงินและตลาดทุนต่างมองว่าสหรัฐจะสามารถตกลงเรื่องขยายเพดานหนี้ได้ในวันที่ 17 ต.ค.นี้ เพราะหากตกลงไม่ได้จะมีผลกระทบอย่างมาก ทั้งต่อสหรัฐเองและตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลกค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือ ในเรื่องของการพิจารณาลดและยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ที่จะมีการพิจารณาช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งหลายๆ ฝ่ายประเมินว่าสหรัฐจะยังขยายการใช้มาตรการดังกล่าวต่อไป เห็นได้จากยังมีเงินทุนมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
สำหรับประเทศไทยคงต้องจับตาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในตลาดเงินและตลาดทุนให้ดี แม้ว่าสุดท้ายเพดานหนี้ของสหรัฐจะขยายออกไป และแม้ว่าตลาดระยะสั้นมองว่าการยกเลิกคิวอีทำได้ไม่เร็วอย่างที่สหรัฐกำหนดไว้ ซึ่งอาจทำให้สภาพคล่องยังมีอยู่และไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทไทย
นายเอกนิติกล่าวว่า ไทยคงต้องเฝ้าระมัดระวังและติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพราะตลาดเงิน ตลาดทุนยังมีความผันผวนมาก ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้กำชับให้ สศค. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วยติดตามสถานการณ์ของสหรัฐที่จะกระทบไทยอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม สศค.มั่นใจว่ากลไกและเครื่องมือที่ ธปท.มีอยู่ขณะนี้ ยังสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดเงินที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งนายสมชัยสั่งให้ทำแบบจำลองกรณีเลวร้ายสุด หากสหรัฐไม่สามารถตกลงกันได้ เพื่อเป็นแนวทางในการรับมือกับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้น
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ได้ประเมินถึงผลกระทบจากปัญหาการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งที่ประชุมได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อหามาตรการในการรองรับผลกระทบที่จะขึ้นอีกครั้งในเดือน พ.ย. ที่สหรัฐต้องชำระหนี้รอบใหม่สูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ในที่ประชุม กระทรวงการคลังและ ธปท.ยืนยันมีมาตรการในการรับมือเรื่องนี้อย่างเต็มที่
นายธีรัตน์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจกำชับให้ ธปท.ดูแลค่าเงินบาท หลังจากช่วงนี้มีเงินทุนไหลเข้ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงคาดว่าค่าเงินบาทอาจจะเคลื่อนไหวประมาณ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้จัดตั้งคณะทำงานย่อย ประกอบไปด้วย กระทรวงการคลัง สศช. และ ธปท. โดยจะมีการประชุมร่วมกันในวันที่ 17 ต.ค. เพื่อติดตามสถานการณ์ของสหรัฐอย่างใกล้ชิด.
ที่มา.ไทยโพสต์
-------------------------------
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อํานวยการ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สศค.ถึงกรณีเพดานหนี้สหรัฐว่า ขณะนี้ทั้งตลาดเงินและตลาดทุนต่างมองว่าสหรัฐจะสามารถตกลงเรื่องขยายเพดานหนี้ได้ในวันที่ 17 ต.ค.นี้ เพราะหากตกลงไม่ได้จะมีผลกระทบอย่างมาก ทั้งต่อสหรัฐเองและตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลกค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือ ในเรื่องของการพิจารณาลดและยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ที่จะมีการพิจารณาช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งหลายๆ ฝ่ายประเมินว่าสหรัฐจะยังขยายการใช้มาตรการดังกล่าวต่อไป เห็นได้จากยังมีเงินทุนมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
สำหรับประเทศไทยคงต้องจับตาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในตลาดเงินและตลาดทุนให้ดี แม้ว่าสุดท้ายเพดานหนี้ของสหรัฐจะขยายออกไป และแม้ว่าตลาดระยะสั้นมองว่าการยกเลิกคิวอีทำได้ไม่เร็วอย่างที่สหรัฐกำหนดไว้ ซึ่งอาจทำให้สภาพคล่องยังมีอยู่และไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทไทย
นายเอกนิติกล่าวว่า ไทยคงต้องเฝ้าระมัดระวังและติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพราะตลาดเงิน ตลาดทุนยังมีความผันผวนมาก ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้กำชับให้ สศค. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วยติดตามสถานการณ์ของสหรัฐที่จะกระทบไทยอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม สศค.มั่นใจว่ากลไกและเครื่องมือที่ ธปท.มีอยู่ขณะนี้ ยังสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดเงินที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งนายสมชัยสั่งให้ทำแบบจำลองกรณีเลวร้ายสุด หากสหรัฐไม่สามารถตกลงกันได้ เพื่อเป็นแนวทางในการรับมือกับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้น
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ได้ประเมินถึงผลกระทบจากปัญหาการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งที่ประชุมได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อหามาตรการในการรองรับผลกระทบที่จะขึ้นอีกครั้งในเดือน พ.ย. ที่สหรัฐต้องชำระหนี้รอบใหม่สูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ในที่ประชุม กระทรวงการคลังและ ธปท.ยืนยันมีมาตรการในการรับมือเรื่องนี้อย่างเต็มที่
นายธีรัตน์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจกำชับให้ ธปท.ดูแลค่าเงินบาท หลังจากช่วงนี้มีเงินทุนไหลเข้ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงคาดว่าค่าเงินบาทอาจจะเคลื่อนไหวประมาณ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้จัดตั้งคณะทำงานย่อย ประกอบไปด้วย กระทรวงการคลัง สศช. และ ธปท. โดยจะมีการประชุมร่วมกันในวันที่ 17 ต.ค. เพื่อติดตามสถานการณ์ของสหรัฐอย่างใกล้ชิด.
ที่มา.ไทยโพสต์
-------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น