--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นักเศรษฐศาสตร์ประเมินผลกระทบ หากรัฐบาลสหรัฐฯ หยุดทำการ !!??

เป็นที่หวั่นเกรงว่าในช่วงต้นปีงบประมาณของสหรัฐฯ หากไม่สามารถตกลงเรื่องงบประมาณได้ในสภา ก็จะเกิดภาวะรัฐบาลกลางหยุดทำการ (Government shutdown) ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มองว่าจะส่งผลสะเทือนต่อพื้นที่วอชิงตันหลายด้าน เช่นในแง่ผลกระทบต่อพนักงานรัฐหรือด้านบริการสาธารณะ

สำนักข่าววอชิงตันโพสท์นำเสนอการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตรืซึ่งกล่าวว่า หากเกิดเหตุการณ์รัฐบาลกลางสหรัฐฯ หยุดทำการ (Government shutdown) จะทำให้ในเขตวอชิงตันซึ่งมีพนักงานรัฐอยู่เป็นจำนวนมากต้องสูญเสียรายได้ราว 200 ล้านดอลลาร์ต่อวัน และมีโอกาสที่พนักงานจำนวน 700,000 คนจะได้รับผลกระทบ

การหยุดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นหากรัฐสภาสหรัฐฯ ไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องงบประมาณเพื่อหนุนโครงการของรัฐบาลในช่วงเริ่มต้นปีงบประมาณ โดยหน่วยงานของรัฐบาลจะหยุดให้บริการเว้นแต่หน่วยงานสำคัญ

สตีเฟน ฟูลเลอร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์ภูมิภาคจากมหาวิทยาลัยจอร์จเมสันกล่าวว่าหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจะส่งผลกระทบต่อด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณจากรัฐอย่างพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน, สวนสัตว์แห่งชาติ, พื้นที่ประวัติศาสตร์สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับทุนจากรัฐบาลแหล่งอื่นๆจะปิดทำการ โดยฟูลเลอร์กล่าวเปรียบเปรยว่าการหยุดทำการของรัฐบาลส่งผลกระทบต่อพื้นที่ราว "คลื่นสึนามิ"

นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว ผู้คนในพื้นที่ยังต้องเผชิญกับการถูกตัดงบประมาณด้านสวัสดิการ ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการประกันสุขภาพ, สวัสดิการสังคม, เงินอุดหนุนสถานบริการดูแลเด็ก, ขาดเงินกู้ยืมเพื่อการซื้อบ้านหรือทำธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงเงินทุนเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตามมีบริการบางส่วนเช่นบริการไปรษณีย์จะยังเปิดทำการเนื่องจากเป็นหน่วยงานอิสระ ส่วนแอมแทร็กซึ่งเป็นบริษัทการรถไฟของสหรัฐฯ ก็บอกว่าจะมีการเดินรถไฟตามปกติ ขณะที่บริการเก็บขยะและห้องสมุดอาจถูกปิดบริการชั่วคราว แต่นายกเทศมนตรีวินเซนต์ เกรย์ ก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้โดยการประกาศให้พนักงานทุกคนมีความจำเป็น (essential) มีผู้แทนสภาพยายามผลักดันร่างกฏหมายเพื่อไม่ให้เมืองได้รับผลกระทบจากภาวะหยุดทำการของรัฐบาลเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา

การหยุดทำการของรัฐบาล (Government shutdown) เกิดขึ้นมาแล้ว 17 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1976 โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 1995 ซึ่งพรรคริพับริกันกับประธานาธิบดีบิล คลินตัน ไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องงบประมาณ

ฟูลเลอร์กล่าวอีกว่าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจในพื้นที่เกิดความตกต่ำจะยิ่งเป็นการตอกย้ำทั้งกับพนักงานและผู้รับเหมา โดยได้ประเมินว่าจะกระทบพนักงานรัฐร้อยละ 60 ทำให้พนักงาน 377,000 คน กลายเป็น "ผู้ไม่มีความจำเป็น" (nonessential) และถูกให้พักงาน นอกจากนี้ผู้รับเหมาร้อยละ 20 ซึ่งปกติแล้วได้รับเงินจากรัฐบาล 75 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และเนื่องจากการถูกสั่งพักงานทำให้มีคนใช้เงินจับจ่ายกับร้านค้าหรือธุรกิจในท้องถิ่นลดลงไปด้วย

วอชิงตันโพสท์กล่าวอีกว่าการที่มีพนักงานบางส่วนถูกทำให้กลายเป็น "ผู้ไม่มีความจำเป็น" ทำให้การทำงานบางหน่วยงานลดประสิทธิภาพลงเช่น สนามบินมีกำหนดการล่าช้า มีคนงานน้อยลงในการจัดการสวัสดิการของรัฐ และแม้ว่าจะมีกฏหมายให้จ่ายค่าตอบแทนสมาชิกกองทัพแต่ทุนส่วนสวัสดิการของทหารผ่านศึกก็อาจหมดไปหากมีการหยุดทำการนานหลายสัปดาห์

ส.ส. เจอราด คอนนอลลี ของสหรัฐน เกรงว่าอาจจะเกิดปรากฏการณ์ลูกคลื่นทำให้การหยุดทำการส่งผลเสียหายมากกว่าปกติ ขณะที่ส.ส. แฟรงค์ วูลฟ์ เกรงว่าการหยุดทำการจะกระทบกับหน่วยงานเอฟบีไอ, หน่วยปราบปรามยาเสพติด, ซีไอเอ และหน่วยงานอื่นๆ

ในรายงานของสำนักงานวิจัยรัฐสภาสหรัฐฯ เปิดเผยว่าการหยุดทำการของรัฐบาลในปี 1996 ทำให้มีการปิดทำการสวนสาธารณะและอนุสรณ์สถานแห่งชาติ มีการหยุดบริการหนังสือเดินทางและวีซ่าสำหรับชาวต่างชาติ รวมถึงการหยุดการขึ้นทะเบียนคนไข้ในการวิจัยทางการแพทย์ของสถาบันสาธารณสุข

เรียบเรียงจาก-Washington area could lose $200 million a day if shutdown occurs, economist says, Washington Post, 30-09-2013

ที่มา.ประชาไท
------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น