ปมขัดแย้ง "โอบามาแคร์" สหรัฐถึงจุดเสี่ยง"ตกหน้าผาการคลัง"
ภายใต้กฎหมายงบประมาณที่ผ่านความเห็นชอบ 39 ปีที่แล้ว สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต้องอนุมัติร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณสำหรับรัฐบาล จำนวน 12 ฉบับ ภายในวันที่ 30 ก.ย. อันเป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ
แต่สิ่งดังกล่าวแทบไม่เคยทำได้จริง เพราะในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครต จนไม่สามารถอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณตามเส้นตาย
ในช่วงเวลาดังกล่าว สภาอยู่ภายใต้การนำของพรรครีพับลิกัน 10 ปี และอยู่ภายใต้การนำของพรรคเดโมแครต 4 ปี แต่ในช่วง 2 ปี ซึ่งสองพรรคมีเสียงข้างมากในคนละสภา คือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ปรากฏว่าไม่สามารถอนุมัติร่างกฎหมายใช้จ่ายได้ทันตามกำหนด
มาในปีนี้ พรรครีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ใช้โอกาสนี้ขัดขวาง "โอบามาแคร์" หรือการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ อันเป็นผลงานชิ้นสำคัญของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่ขยายการประกันสุขภาพให้แก่ผู้ไม่มีประกัน โดยสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างกฎหมายใช้จ่ายชั่วคราวเพื่อให้รัฐบาลเปิดทำการต่อไปได้แต่ไม่ให้เงินอุดหนุนโอบามาแคร์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. แต่วุฒิสภาซึ่งอยู่ภายใต้การนำของพรรคเดโมแครตไม่ผ่านร่างกฎหมายใช้จ่ายดังกล่าวในกรณีที่มีการพ่วงการตัดงบโอบามาแคร์
ตอนแรกนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ลังเลที่จะพ่วงโอบามาแคร์ไปกับร่างการใช้จ่าย เพราะกลัวว่าการปิดหน่วยงานรัฐจะทำให้พรรครีพับลิกันสูญเสียคะแนนนิยมและตัดโอกาสตัวเองในการเลือกตั้งอีกสมัย แต่สมาชิกกลุ่มที พาร์ตี (Tea Party) ซึ่งมีแนวคิดสุดขั้วและมีอิทธิพลในสภาผู้แทนราษฎร จับมือกับวุฒิสมาชิกเทด ครูซ บีบให้นายโบห์เนอร์พ่วงการตัดงบโอบามาแคร์เข้าไปด้วย
เมื่อสภาสูงตีกลับร่างใช้จ่ายของสภาล่างที่พ่วงเงื่อนไขมาด้วย หน่วยงานภาครัฐจึงต้องปิดทำการเมื่อเข้าสู่ปีงบประมาณใหม่
อย่างไรก็ตาม ในการปิดทำการนั้น หน่วยงานภาครัฐไม่ได้ยุติการทำหน้าที่อย่างสิ้นเชิง เพราะตามกฎหมายนั้นบางหน่วยงานต้องเปิดทำการโดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้เงินเดือน เจ้าหน้าที่ในส่วนนี้ได้แก่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติ รวมถึงผู้มีหน้าที่ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่จ่ายเงิน เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่จำเป็นในการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนการดำเนินงานที่ไม่ได้งบโดยตรงจากกระทรวงการคลังจะเปิดทำการต่อไป ในจำนวนนี้การไปรษณีย์
จริงๆ แล้ววุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร งัดข้อกันเรื่องงบประมาณของรัฐบาลกลางมาตั้งแต่พรรคเดโมแครตสูญเสียเสียงข้างมากในสภาล่างเมื่อปี 2553 รวมถึงเมื่อกรณีเกิดหน้าผาการคลัง และเมื่อปี 2554 ซึ่งทั้งสองพรรคตกลงตกลงกันได้ในนาทีสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม นอกจากร่างกฎหมายใช้จ่ายแล้ว ยังมีการเพิ่มเพดานหนี้เพื่อให้รัฐบาลกู้ยืมเงินได้มากขึ้นภายในกลางเดือนต.ค. จากเพดานปัจจุบันที่ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์ โดยนับจากปี 2544 มีการเพิ่มเพดานหนี้มาแล้ว 13 ครั้ง
หากการปิดหน่วยงานรัฐไม่ได้รับการแก้ไขภายในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ทั้งสองประเด็นจะกลายเป็นการเผชิญหน้าที่อาจไม่ส่งผลต่อข้าราชการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจโลกด้วย
สำหรับ "โอบามาแคร์" ที่พรรครีพับลิกันคัดค้านมาตลอด และล่าสุดพ่วงเงื่อนไขการตัดงบสำหรับโอบามาแคร์เข้าไปในร่างใช้จ่ายแต่สภาสูงภายใต้การนำของพรรครีพับลิกันตีกลับนั้น มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า กฎหมายดูแลสุขภาพที่เข้าถึงได้
นับเป็นความสำเร็จด้านนโยบายภายในประเทศครั้งใหญ่ของโอบามา ซึ่งมุ่งที่จะให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชนที่ไม่ได้ทำประกันจำนวนหลายล้านคน จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นโครงการสวัสดิการสังคมของสหรัฐที่มีความครอบคลุมมากที่สุดนับตั้งแต่โครงการ "เมดิแคร์" เมื่อทศวรรษ 60
โครงการนี้กำหนดให้มีแผนการสุขภาพในวงกว้างแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนั้นยังกำหนดให้ชาวอเมริกันต้องมีประกัน ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับ
พรรครีพับลิกันพยายามต่อสู้มาหลายเดือนเพื่อยืดเวลาหรือหยุดยั้ง "โอบามาแคร์" พร้อมกล่าวหาว่าข้อกำหนดในโอบามาแคร์ ทำให้ภาคธุรกิจและกลุ่มบุคคล ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพมากขึ้น
ข้อดีของโอบามาแคร์คือลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพโดยรวมลง เพราะทำให้คนจำนวนมากขึ้นสามารถทำประกันได้ แต่ข้อเสียคือจะเพิ่มต้นทุนการดูแลสุขภาพในระยะสั้น ขณะที่พรรครีพับลิกันระบุว่าโอบามาแคร์จะดันค่าใช้จ่ายด้านประกันให้สูงขึ้น และทำให้คนอเมริกันทั่วไปดำรงชีวิตอย่างยากลำบากมากขึ้น
นอกจากนั้น "โอบามาแคร์" ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก และกลุ่มต่อต้านโอบามาแคร์ได้ใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อจัดทำโฆษณาทางโทรทัศน์ ขณะเดียวกัน ผู้ที่น่าจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้จำนวนหลายล้านคน กลับไม่ทราบว่ามีการปฏิรูประบบประกันสุขภาพครั้งใหญ่
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------------
ภายใต้กฎหมายงบประมาณที่ผ่านความเห็นชอบ 39 ปีที่แล้ว สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต้องอนุมัติร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณสำหรับรัฐบาล จำนวน 12 ฉบับ ภายในวันที่ 30 ก.ย. อันเป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ
แต่สิ่งดังกล่าวแทบไม่เคยทำได้จริง เพราะในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครต จนไม่สามารถอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณตามเส้นตาย
ในช่วงเวลาดังกล่าว สภาอยู่ภายใต้การนำของพรรครีพับลิกัน 10 ปี และอยู่ภายใต้การนำของพรรคเดโมแครต 4 ปี แต่ในช่วง 2 ปี ซึ่งสองพรรคมีเสียงข้างมากในคนละสภา คือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ปรากฏว่าไม่สามารถอนุมัติร่างกฎหมายใช้จ่ายได้ทันตามกำหนด
มาในปีนี้ พรรครีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ใช้โอกาสนี้ขัดขวาง "โอบามาแคร์" หรือการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ อันเป็นผลงานชิ้นสำคัญของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่ขยายการประกันสุขภาพให้แก่ผู้ไม่มีประกัน โดยสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างกฎหมายใช้จ่ายชั่วคราวเพื่อให้รัฐบาลเปิดทำการต่อไปได้แต่ไม่ให้เงินอุดหนุนโอบามาแคร์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. แต่วุฒิสภาซึ่งอยู่ภายใต้การนำของพรรคเดโมแครตไม่ผ่านร่างกฎหมายใช้จ่ายดังกล่าวในกรณีที่มีการพ่วงการตัดงบโอบามาแคร์
ตอนแรกนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ลังเลที่จะพ่วงโอบามาแคร์ไปกับร่างการใช้จ่าย เพราะกลัวว่าการปิดหน่วยงานรัฐจะทำให้พรรครีพับลิกันสูญเสียคะแนนนิยมและตัดโอกาสตัวเองในการเลือกตั้งอีกสมัย แต่สมาชิกกลุ่มที พาร์ตี (Tea Party) ซึ่งมีแนวคิดสุดขั้วและมีอิทธิพลในสภาผู้แทนราษฎร จับมือกับวุฒิสมาชิกเทด ครูซ บีบให้นายโบห์เนอร์พ่วงการตัดงบโอบามาแคร์เข้าไปด้วย
เมื่อสภาสูงตีกลับร่างใช้จ่ายของสภาล่างที่พ่วงเงื่อนไขมาด้วย หน่วยงานภาครัฐจึงต้องปิดทำการเมื่อเข้าสู่ปีงบประมาณใหม่
อย่างไรก็ตาม ในการปิดทำการนั้น หน่วยงานภาครัฐไม่ได้ยุติการทำหน้าที่อย่างสิ้นเชิง เพราะตามกฎหมายนั้นบางหน่วยงานต้องเปิดทำการโดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้เงินเดือน เจ้าหน้าที่ในส่วนนี้ได้แก่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติ รวมถึงผู้มีหน้าที่ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่จ่ายเงิน เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่จำเป็นในการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนการดำเนินงานที่ไม่ได้งบโดยตรงจากกระทรวงการคลังจะเปิดทำการต่อไป ในจำนวนนี้การไปรษณีย์
จริงๆ แล้ววุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร งัดข้อกันเรื่องงบประมาณของรัฐบาลกลางมาตั้งแต่พรรคเดโมแครตสูญเสียเสียงข้างมากในสภาล่างเมื่อปี 2553 รวมถึงเมื่อกรณีเกิดหน้าผาการคลัง และเมื่อปี 2554 ซึ่งทั้งสองพรรคตกลงตกลงกันได้ในนาทีสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม นอกจากร่างกฎหมายใช้จ่ายแล้ว ยังมีการเพิ่มเพดานหนี้เพื่อให้รัฐบาลกู้ยืมเงินได้มากขึ้นภายในกลางเดือนต.ค. จากเพดานปัจจุบันที่ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์ โดยนับจากปี 2544 มีการเพิ่มเพดานหนี้มาแล้ว 13 ครั้ง
หากการปิดหน่วยงานรัฐไม่ได้รับการแก้ไขภายในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ทั้งสองประเด็นจะกลายเป็นการเผชิญหน้าที่อาจไม่ส่งผลต่อข้าราชการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจโลกด้วย
สำหรับ "โอบามาแคร์" ที่พรรครีพับลิกันคัดค้านมาตลอด และล่าสุดพ่วงเงื่อนไขการตัดงบสำหรับโอบามาแคร์เข้าไปในร่างใช้จ่ายแต่สภาสูงภายใต้การนำของพรรครีพับลิกันตีกลับนั้น มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า กฎหมายดูแลสุขภาพที่เข้าถึงได้
นับเป็นความสำเร็จด้านนโยบายภายในประเทศครั้งใหญ่ของโอบามา ซึ่งมุ่งที่จะให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชนที่ไม่ได้ทำประกันจำนวนหลายล้านคน จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นโครงการสวัสดิการสังคมของสหรัฐที่มีความครอบคลุมมากที่สุดนับตั้งแต่โครงการ "เมดิแคร์" เมื่อทศวรรษ 60
โครงการนี้กำหนดให้มีแผนการสุขภาพในวงกว้างแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนั้นยังกำหนดให้ชาวอเมริกันต้องมีประกัน ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับ
พรรครีพับลิกันพยายามต่อสู้มาหลายเดือนเพื่อยืดเวลาหรือหยุดยั้ง "โอบามาแคร์" พร้อมกล่าวหาว่าข้อกำหนดในโอบามาแคร์ ทำให้ภาคธุรกิจและกลุ่มบุคคล ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพมากขึ้น
ข้อดีของโอบามาแคร์คือลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพโดยรวมลง เพราะทำให้คนจำนวนมากขึ้นสามารถทำประกันได้ แต่ข้อเสียคือจะเพิ่มต้นทุนการดูแลสุขภาพในระยะสั้น ขณะที่พรรครีพับลิกันระบุว่าโอบามาแคร์จะดันค่าใช้จ่ายด้านประกันให้สูงขึ้น และทำให้คนอเมริกันทั่วไปดำรงชีวิตอย่างยากลำบากมากขึ้น
นอกจากนั้น "โอบามาแคร์" ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก และกลุ่มต่อต้านโอบามาแคร์ได้ใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อจัดทำโฆษณาทางโทรทัศน์ ขณะเดียวกัน ผู้ที่น่าจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้จำนวนหลายล้านคน กลับไม่ทราบว่ามีการปฏิรูประบบประกันสุขภาพครั้งใหญ่
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น