--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ค้ำเงินกู้สตาร์ทอัพเหลว บสย.ลุยแก้เงื่อนไขใหม่ !!??

 บสย.เดินเครื่องปรับเกณฑ์เงื่อนไขค้ำประกันโครงการ “สตาร์ท อัพ” หลังมีผู้เข้าร่วมโครงการต่ำผิดคาด พร้อมเสนอคลังพิจารณา 2 โครงการค้ำประกันใหม่สำหรับผู้ประกอบการขนาดย่อม-โอท็อป
   
นายวิเชษฐ วรกุล รองผู้จัดการทั่วไป สายงานธุรกิจ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับแก้เงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อสตาร์ท อัพ (Start-Up) ที่มีวงเงินดำเนินการ 1 หมื่นล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 สามารถค้ำประกันสินเชื่อได้เพียง 200 ล้านบาทเท่านั้น โดยการปรับแก้เงื่อนไขดังกล่าว เพื่อให้เกิดความน่าสนใจในการเข้าร่วมโครงการมากขึ้น ซึ่งแนวทางการปรับแก้เงื่อนไขเบื้องต้น บสย.จะรับผิดชอบในการจ่ายประกันชดเชยเพิ่มขึ้นเป็น 100% จากเดิม 80% และอีก 20% เป็นหน้าที่ของสถาบันการเงิน โดย บสย.จะจ่ายพอร์ตสูงสุดไม่เกิน 30% จากเดิมที่ 37%
   
คาดว่าจะสามารถเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณา ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแนวทางดังกล่าวได้เร็วๆ นี้ โดยโครงการดังกล่าวเน้นการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องการมีธุรกิจส่วนตัว แต่มีปัญหาเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงิน” นายวิเชษฐกล่าว
   
นายวิเชษฐกล่าวอีกว่า บสย.ยังเตรียมเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณา ก่อนเสนอให้ ครม.เห็นชอบอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการขนาดย่อย (ไมโคร) ซึ่งมีวงเงินดำเนินการ 5 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถช่วยผู้ประกอบการขนาดเล็กให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ราว 5 หมื่นราย และโครงการค้ำประกันสินเชื่อโอท็อปและวิสาหกิจชุมชน ซึ่งมีวงเงินดำเนินการ 1 หมื่นล้านบาท โดยลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการต้องมีการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องก่อน
   
นอกจากนี้ ในปี 2556 บสย.คาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินการทั้งสิ้น 200 กว่าล้านบาท จากปีก่อนที่ 300 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ สามารถค้ำประกันสินเชื่อใหม่ไปแล้ว 5.5 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะเป็นไปตามเป้าที่ 8.4 หมื่นล้านบาท รวมทั้งมีการจ่ายเงินประกันชดเชยไปแล้วทั้งสิ้น 2.2 พันล้านบาท จากวงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวมที่ 2.3 แสนล้านบาท และคาดว่าจนถึงสิ้นปี จะมีหนี้เสีย (เอ็นพีจี) อยู่ที่ 4%.

ที่มา.ไทยโพสต์
-----------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น