ที่มา. Robert Amsterdam
ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นสู่อำนาจในปี 2551 อภิสิทธิ์ได้แสดงเจตจำนงครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเลือกตั้ง กว่าร้อยชีวิตต้องถูกสังเวยในเหตุการณ์ความรุนแรงในเดือนเมษายนและพฤษภาคมเพื่อที่จะยืดเวลาให้กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทั้งนี้อภิสิทธิ์ไม่มีทางที่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้โดยปราศจากความช่วยเหลือจากกองทัพ กระบวนการศาล และกลุ่มพันธมิตร
ในขณะนี้องค์กรเอกชนและสื่ออิสระได้เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์แสดงพันธะในการสร้าง “ความสมานฉันท์” โดยจัดให้มีการเลือกตั้ง เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้อำนาจตัดสินเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานมานี้ แต่นายอภิสิทธิ์ได้บัญญัติข้ออ้างใหม่ลงในพจนานุกรมของตนเอง โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวย้ำในวันนี้ว่า “รัฐบาลจะไม่จัดการเลือกตั้งทั่วไปจนกว่าประเทศจะกลับไปสู่ความสงบเรียบร้อย”
ตามมาตรฐานของประเทศประชาธิปไตยทั่วไป เมื่อปรากฏว่ามีประชาชนเป็นจำนวนสมเหตุสมผลเกลียดชังรัฐบาล ข้ออ้างที่จะไม่จัดการเลือกตั้งทั่วไปและปัดความรับผิดชอบไม่ใช้ข้ออ้างที่ดี ความสงบไม่ใช่เงื่อนไขล่วงหน้าที่ก่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตย ในทางกลับกัน ประชาธิปไตยคือเงื่อนไขล่วงหน้าของการทำให้เกิดความสงบ คำกล่าวของรัฐบาลนั้นไร้สาระขึ้นทุกวัน หากเราพิจารณาให้ดีแล้วจะพบว่า สาเหตุที่ประเทศไทยไม่มี “ความสงบสุขและความเป็นระเบียบเรียบร้อย” นั้นเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ยังคงปกครองประเทศด้วยตำแหน่งที่ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรมต่างหาก และยังมีการดำเนินนโยบายที่กดขี่คุกคามประชาชนอย่างที่รัฐบาลพลเรือนไม่เคยกระทำมาก่อน และยิ่งกว่านั้นคือรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วางระเบิดอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างบรรยากาศความหวาดกลัวในสังคม และหากเราตีความหมายคำพูดของอภิสิทธิ์ที่อ้างถึงของประเทศไทยโดยเฉพาะ โดยใช้แนวคิดสนับสนุนที่ว่าไม่อาจจัดให้มีการเลือกตั้งในประเทศไทยได้ นอกจากประเทศจะกลับไปสู่ความสงบเรียบร้อยเท่านั้น เป็นลักษณะ“เฉพาะ” ของประเทศไทย
อภิสิทธิ์อาจจะไม่ได้ศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ในโรงเรียนอีตันหรือมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด และอาจจะเป็นประโยชน์ที่จะย้ำเตือนนายอภิสิทธิ์ว่าประเทศไทยมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในปี พ.ศ.2476 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลต่อสู้กับกลุ่มกบฏบวรเดช ซึ่งกลุ่มดังกล่าวนำโดยพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช และในสมัยนั้นการเลือกตั้งทั่วไปไม่ได้มีขึ้นเพียงแค่วันเดียว เพราะระบบการเลือกตั้งสมัยนั้นเป็นระบบการเลือกตั้งโดยอ้อม โดยผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะเลือกผู้แทนตำบล และผู้แทนตำบลเหล่านี้จะเป็นตัวแทนไปเลือกผู้แทนจังหวัด จากนั้นผู้แทนเหล่านั้นจะไปเลือกผู้แทนสภาราษฎรอีกที ดังนั้นการเลือกตั้งจึงกินเวลานานกว่าสองเดือน ซึ่งในระหว่างนั้นเองได้มีการก่อการกบฏโดยกลุ่มกบฏบวรเดชขึ้น ซึ่งกลุ่มกบฎดังกล่าวนำโดยคณะบุคคลระดับสูงในรัฐบาลเก่า
แม้การก่อการของกบฏบวรเดชจะล้มเหลวอย่างราบคราบ แต่การก่อการดังกล่าวเกือบจะล้มรัฐบาล และ ณ จุดหนึ่ง ในช่วงกลางเดือนตุลาคม กลุ่มกบฏเหล่านี้ได้ยึดสนามบินดอนเมืองซึ่งถือว่าเป็นภัยต่อกรุงเทพมหานครโดยตรง แต่หลวงพิบูลสงครามหนึ่งในคณะผู้นำรัฐบาลได้ต่อสู้กับกลุ่มกบฏโดยใช้ปืนใหญ่ ทำให้กลุ่มกบฏถ่อยร่นไปยังฐานที่มั่นในจังหวัดนครราชสีมา หลังจากการต่อสู้หลายอาทิตย์ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยราย และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงหลบหนีไปยังจังหวัดสงขลา
แม้กระทั่งพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้นำรัฐบาลในขณะนั้นยังรู้สึกหวาดกลัวต่อกลุ่มกบฏบวรเดช แต่ก็ไม่ได้ใช้ข้ออ้างดังกล่าวในการเลื่อนการจัดการเลือกตั้งทั่วไป แม้ว่าจะมีประชาชนมาเลือกตั้งไม่มาก แต่การเลือกตั้งก็เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยแม้จะจัดในช่วงเวลาที่อาจจะเกิดสงครามการเมืองก็ตาม และ80ปีหลังจากนั้น ประเทศไทยมีการจัดการเลือกตั้งในช่วงเวลาที่มีปัญหาและมีการแตกแยกในสังคมบ่อยครั้ง และในทุกครั้งประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมักจะแสดงถึงความมีวุฒิภาวะและความรับผิดชอบมากกว่ากลุ่มผู้นำ
อย่างน้อยที่สุด นายอภิสิทธิ์ได้สร้างความอับอายให้กับตนเองด้วยข้ออ้างที่ล้าสมัยไร้สาระนี้ นายอภิิสิทธิ์อาจจะได้รับประโยชน์จากบทเรียนประวัติศาสตร์ไทยแบบเร่งรัดนี้บ้าง และในระหว่างนี้ อภิสิทธิ์อาจจะค้นพบว่าความเข้มแข็งของฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย
รัฐธรรมนูญประเทศไทยปี 2550 ได้บัญญัติไว้ว่ารัฐบาลสามารถดำรงหลังจากการเลือกตั้งได้เป็นเวลา 4ปี หรือนายอภิสิทธิ์จะระงับการใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญและเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของประชาชนในอีก 15เดือน หากเหตุการณ์มีทีท่าว่าจะไม่สงบสุขกระนั้นหรือ? หรือนี่คือไพ่ใบสุดท้ายของกลุ่มอำมาตย์ ที่พยายามสร้างความไร้เสถียรภาพของสังคม เพื่อเป็นข้ออ้างว่าการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเป็นสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้”?
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553
‘โง่’จนเป็นนิสัย!!
โกหกมดเท็จ ปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง อย่างเป็นอาจิณ คนเขาก็จับกันได้??
ซัดโครม การเป็นนินจาเต่า มุดดิน ของ “ซูเปอร์วอลล์เปเปอร์” ศิริโชค โสภา เพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”..เข้าพบ “วิคเตอร์ บูท” เป็นเรื่องส่วนตัว
นึกว่าคนไทยกินแกลบ....พูดแอ๊บแบ๊ว เช่นนี้คนจะเชื่อ หรือทูนหัว
“ศิริโชค” สายลูกลาวอพยพ กับ “นายกฯ อภิสิทธิ์” สายลูกเวียตนามอพยพ เป็นยิ่งกว่า “เงาติดตามตัว” .. “อภิสิทธิ์” ยืนหัวโด่เด่ ที่ไหน “ศิริโชค” ก็ยืน เป็นหัวหลักหัวตอ อยู่ที่นั่น..เห็นว่าความสัมพันธ์สูงสุดขีด เสียยิ่งกว่า “แตงโม” พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภรรยา วันๆ เจอหน้าไม่กี่นาที??
ยิ่งอ้างยิ่งเสียหาย....ควรรูดซิปปากเอาไว้?...ยิ่งแก้ตัวไป คะแนนยิ่งตกทุกที???
---------------------------------------------
มา ‘เทรนเดียวกัน’ ตลอด!!
ครั้น “ความจริง” แตกดังโพล๊ะ โดนเขาจับได้ไล่ทัน ก็ยัดความผิดให้กับ “ลูกน้อง” ได้อย่างสุดยอด??
ไม่เพียงแต่ “วอลล์เปเปอร์” ส.ส.ศิริโชค โสภา จะรับขี้เข้าไปเต็มกางเกง..เมื่อ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “รองนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ” ว่า การเดินแอ็คอาร์ตเข้าเรือนจำ พบ “วิคเตอร์ บูท” เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล
พอมีอะไรเสียหาย...ลูกน้อง ส.ส.ปลายแถว ก็รับไป ก็แล้วกัน
เหมือนกันกับที่ “โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” ส.ส.เทพไท เสนพงศ์ ด่าเสื้อแดงเป็นวรรคเป็นเวร..พอปูดพูดไม่เข้าตะแล๊บแก๊ป เกี่ยวกับ “เสื้อแดง” วางบอมม์เมืองหลวง..หัวหงอกหัวดำ หัวกะทิ ผู้เป็นคีย์แมนรัฐบาล ออกมาเฉ่ง เป็นการพูดในฐานะ “ส่วนตั๊ว...ส่วนตัว”!!
“ลูกพี่” มีพฤติการณ์ เช่นนี้....ลูกน้องยังภักดี?..ประเทศนี้ ยิ่งมีแต่ความน่ากลัว??
----------------------------------------------------
คิด ‘กิน ๒ เด้ง’!!
ปฏิบัติการณ์จับ “พ่อค้าแห่งความตาย” วิคเตอร์ บูท” ถ้า “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่คิดชุบมือเปิบ ประเทศไทย เราก็ไม่ต้องเจ๊ง???
เพราะการจับ “วิคเตอร์ บูท” เป็นไปตามหมายจับ ของ “ซีไอเอ” สหรัฐอเมริกา
จับเมื่อวันนั้น...ส่งตัวให้รัฐบาลมะริกัน ก็ไม่ต้องมีปัญหา
แต่ด้วยการคิดจะรับรางวัล ๒ ทาง..คือ คิดรับเงินรางวัล ซึ่งเป็นค่าหัว ของ “วิคเตอร์บูท”..และจะเอาหน้าเอาตัว ในการจับ “พ่อค้าแห่งความตาย” จึงแถลงข่าวเสียใหญ่โต..หารู้ไม่ “วิคเตอร์ บูท” เป็นหนึ่งในคนที่รู้ใจ ของ “วลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน” เบอร์ใหญ่ แห่งรัสเซีย!!
หากส่ง “วิคเตอร์ บูท” ไปแต่ต้น...ไทยก็ไม่ต้องเสียคน?.. จนแต้มกันให้ยั้วเยี้ย???
----------------------------------------------
“ฮุน เซน” เจ้าเล่ห์??
“นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เดินไม่ทันเหลี่ยม วางนโยบายต่างประเทศ แบบตุปัดตุเป๋??
นึกว่ามีชัยชัยะ โหระทึก ต่อกรณี ที่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ถอนตัว ออกจากการเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้กับเขมร
เรานี้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” น่าจะเจียม..เพราะเราเสียเหลี่ยมเค้า เท่าที่มองเห็น
การ “ถอดสลัก” ตัดปลั๊พการเมือง ไม่ให้ปัญหา ของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” มาเป็นชวนระหว่าง ๒ ประเทศต่อไป...หากไทยยังโยกโย้ ขัดขวาง เรื่อง “ปราสาทเขาพระวิหาร” เราจะเป็นศัตรูของคนทั่วโลก???
“อภิสิทธิ์” เลิกดีใจ....ที่ “ฮุน เซน” ทำลงไป?..เค้ามีชัย เหนือท่านทุกยก???
---------------------------------------------------
‘วอลล์เปเปอร์’ ชักไม่คลัง!!
ภาพหลังฉาก ที่มี “ส.ส.ศิริโชค โสภา” เป็นแบล็คกราวน์ นับวัน มีแต่คน ชิงชัง??
คนที่มาอยู่ “ข้างหลังภาพ” เป็นไม้ประดับ ให้กับ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คนใหม่ ดูสดใสไม่เบา....
“ส.ส.อรรถพร พลบุตร”...ผู้เป็นนักพูด นักประท้วงมือจอมเก๋าส์
เขา..ชื่อเล่นว่า “เจี๊ยบ” เป็น ส.ส.สัดส่วนแห่งพรรคประชาธิปัตย์...มีผู้ชายนักปั้นมือขั้นเทพ ชื่อ “บิ๊กจ้อน” อลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เป็นผู้ปลุกปั่น ให้มีบทบาท ก้าวขึ้นมาแทน “วอลล์เปเปอร์” รุ่นเสื่อมคุณภาพ อย่าง “ศิริโชค โสภา” อยู่ในขณะนี้!!!
“อรรถพล” มาแรง....ใกล้ที่จะแซง?...แย่งตำแหน่ง “วอลล์เปเปอร์” ไปทุกที???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ซัดโครม การเป็นนินจาเต่า มุดดิน ของ “ซูเปอร์วอลล์เปเปอร์” ศิริโชค โสภา เพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”..เข้าพบ “วิคเตอร์ บูท” เป็นเรื่องส่วนตัว
นึกว่าคนไทยกินแกลบ....พูดแอ๊บแบ๊ว เช่นนี้คนจะเชื่อ หรือทูนหัว
“ศิริโชค” สายลูกลาวอพยพ กับ “นายกฯ อภิสิทธิ์” สายลูกเวียตนามอพยพ เป็นยิ่งกว่า “เงาติดตามตัว” .. “อภิสิทธิ์” ยืนหัวโด่เด่ ที่ไหน “ศิริโชค” ก็ยืน เป็นหัวหลักหัวตอ อยู่ที่นั่น..เห็นว่าความสัมพันธ์สูงสุดขีด เสียยิ่งกว่า “แตงโม” พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภรรยา วันๆ เจอหน้าไม่กี่นาที??
ยิ่งอ้างยิ่งเสียหาย....ควรรูดซิปปากเอาไว้?...ยิ่งแก้ตัวไป คะแนนยิ่งตกทุกที???
---------------------------------------------
มา ‘เทรนเดียวกัน’ ตลอด!!
ครั้น “ความจริง” แตกดังโพล๊ะ โดนเขาจับได้ไล่ทัน ก็ยัดความผิดให้กับ “ลูกน้อง” ได้อย่างสุดยอด??
ไม่เพียงแต่ “วอลล์เปเปอร์” ส.ส.ศิริโชค โสภา จะรับขี้เข้าไปเต็มกางเกง..เมื่อ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “รองนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ” ว่า การเดินแอ็คอาร์ตเข้าเรือนจำ พบ “วิคเตอร์ บูท” เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล
พอมีอะไรเสียหาย...ลูกน้อง ส.ส.ปลายแถว ก็รับไป ก็แล้วกัน
เหมือนกันกับที่ “โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” ส.ส.เทพไท เสนพงศ์ ด่าเสื้อแดงเป็นวรรคเป็นเวร..พอปูดพูดไม่เข้าตะแล๊บแก๊ป เกี่ยวกับ “เสื้อแดง” วางบอมม์เมืองหลวง..หัวหงอกหัวดำ หัวกะทิ ผู้เป็นคีย์แมนรัฐบาล ออกมาเฉ่ง เป็นการพูดในฐานะ “ส่วนตั๊ว...ส่วนตัว”!!
“ลูกพี่” มีพฤติการณ์ เช่นนี้....ลูกน้องยังภักดี?..ประเทศนี้ ยิ่งมีแต่ความน่ากลัว??
----------------------------------------------------
คิด ‘กิน ๒ เด้ง’!!
ปฏิบัติการณ์จับ “พ่อค้าแห่งความตาย” วิคเตอร์ บูท” ถ้า “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่คิดชุบมือเปิบ ประเทศไทย เราก็ไม่ต้องเจ๊ง???
เพราะการจับ “วิคเตอร์ บูท” เป็นไปตามหมายจับ ของ “ซีไอเอ” สหรัฐอเมริกา
จับเมื่อวันนั้น...ส่งตัวให้รัฐบาลมะริกัน ก็ไม่ต้องมีปัญหา
แต่ด้วยการคิดจะรับรางวัล ๒ ทาง..คือ คิดรับเงินรางวัล ซึ่งเป็นค่าหัว ของ “วิคเตอร์บูท”..และจะเอาหน้าเอาตัว ในการจับ “พ่อค้าแห่งความตาย” จึงแถลงข่าวเสียใหญ่โต..หารู้ไม่ “วิคเตอร์ บูท” เป็นหนึ่งในคนที่รู้ใจ ของ “วลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน” เบอร์ใหญ่ แห่งรัสเซีย!!
หากส่ง “วิคเตอร์ บูท” ไปแต่ต้น...ไทยก็ไม่ต้องเสียคน?.. จนแต้มกันให้ยั้วเยี้ย???
----------------------------------------------
“ฮุน เซน” เจ้าเล่ห์??
“นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เดินไม่ทันเหลี่ยม วางนโยบายต่างประเทศ แบบตุปัดตุเป๋??
นึกว่ามีชัยชัยะ โหระทึก ต่อกรณี ที่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ถอนตัว ออกจากการเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้กับเขมร
เรานี้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” น่าจะเจียม..เพราะเราเสียเหลี่ยมเค้า เท่าที่มองเห็น
การ “ถอดสลัก” ตัดปลั๊พการเมือง ไม่ให้ปัญหา ของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” มาเป็นชวนระหว่าง ๒ ประเทศต่อไป...หากไทยยังโยกโย้ ขัดขวาง เรื่อง “ปราสาทเขาพระวิหาร” เราจะเป็นศัตรูของคนทั่วโลก???
“อภิสิทธิ์” เลิกดีใจ....ที่ “ฮุน เซน” ทำลงไป?..เค้ามีชัย เหนือท่านทุกยก???
---------------------------------------------------
‘วอลล์เปเปอร์’ ชักไม่คลัง!!
ภาพหลังฉาก ที่มี “ส.ส.ศิริโชค โสภา” เป็นแบล็คกราวน์ นับวัน มีแต่คน ชิงชัง??
คนที่มาอยู่ “ข้างหลังภาพ” เป็นไม้ประดับ ให้กับ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คนใหม่ ดูสดใสไม่เบา....
“ส.ส.อรรถพร พลบุตร”...ผู้เป็นนักพูด นักประท้วงมือจอมเก๋าส์
เขา..ชื่อเล่นว่า “เจี๊ยบ” เป็น ส.ส.สัดส่วนแห่งพรรคประชาธิปัตย์...มีผู้ชายนักปั้นมือขั้นเทพ ชื่อ “บิ๊กจ้อน” อลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เป็นผู้ปลุกปั่น ให้มีบทบาท ก้าวขึ้นมาแทน “วอลล์เปเปอร์” รุ่นเสื่อมคุณภาพ อย่าง “ศิริโชค โสภา” อยู่ในขณะนี้!!!
“อรรถพล” มาแรง....ใกล้ที่จะแซง?...แย่งตำแหน่ง “วอลล์เปเปอร์” ไปทุกที???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
กี่มาตรฐาน
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพวกรวม 79 คน รับทราบข้อกล่าวหาบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองกับพนักงานสอบสวน ซึ่งถูกดำเนินคดีทั้งหมด 12 ข้อหา โดยข้อหาที่ร้ายแรงที่สุดคือก่อการร้ายและซ่องโจร แต่ทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและจะทำหนังสือชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรส่งมาให้พนักงานสอบสวนภายใน 30 วัน จากนั้นทั้งหมดก็เดินทางกลับโดยไม่ต้องยื่นประกันตัว เนื่องจากพนักงานสอบสวนอ้างเข้าพบตามหมายเรียก แต่นายสนธิและพวกก็ประกาศจะฟ้องกลับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ดูแลคดีนี้จนถึงที่สุด
อย่างไรก็ตาม กรณีการปล่อยตัวพันธมิตรฯทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทันทีว่าเป็นการปฏิบัติ 2 มาตรฐานหรือไม่ เพราะกรณีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ซึ่งถูกกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้ายและเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนเช่นกัน กลับไม่ได้รับการประกันตัวและถูกคุมขังจนถึงทุกวันนี้
ที่สำคัญแม้แต่การชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” 91 ศพ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับผิดชอบจนขณะนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ แต่กลับนำไปให้อัยการประกอบสำนวนส่งศาลชั้นต้นเพื่อไต่สวนและอัยการสูงสุดก็สั่งฟ้องโดยไม่ปฏิบัติตามวิธีพิจารณาความอาญานั้น ก็มีคำถามเช่นกันว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมหรือไม่
ยิ่งย้อนกลับไปถึงการยึดสนามบินสุวรรณภูมิของพันธมิตรฯ นับตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ระบุว่า สร้างความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าทำให้มีผู้โดยสารนานาชาติ 700,000 คนต้องได้รับผลกระทบและสร้างความเสียหายมากถึง 200,000 ล้านบาท จากการท่องเที่ยว ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ
ขณะที่การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยระบุว่า ทำให้ผู้โดยสารไม่สามารถเดินทางเข้าออกจากสนามบินสุวรรณภูมิได้ 110,000 คนต่อวัน เที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออกไม่สามารถขึ้นลงได้ 700 เที่ยวต่อวัน
ที่สำคัญ กว่าที่กลุ่มพันธมิตรฯจะเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกก็ใช้เวลายาวนานถึงกว่า 600 วัน แถมยังได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ต้องยื่นประกันใดๆอีก
ดังนั้น เมื่อพิจารณาคดีของพันธมิตรฯกับคดีของแกนนำ นปช. หากนำคดีมาเปรียบเทียบกันโดยให้นักกฎหมายหรือผู้ที่ไม่ใช่นักกฎหมายใช้ดุลยพินิจว่า การดำเนินการของพนักงานสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ดีเอสไอ หรือกระบวนการยุติธรรมต่างๆที่ผ่านมา มีความยุติธรรมและเสมอภาคแตกต่างกันอย่างไร คนทั้งแผ่นดินก็รู้ดีว่ากระบวนการยุติธรรมวันนี้มีกี่มาตรฐาน
**********************************************************************
กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพวกรวม 79 คน รับทราบข้อกล่าวหาบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองกับพนักงานสอบสวน ซึ่งถูกดำเนินคดีทั้งหมด 12 ข้อหา โดยข้อหาที่ร้ายแรงที่สุดคือก่อการร้ายและซ่องโจร แต่ทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและจะทำหนังสือชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรส่งมาให้พนักงานสอบสวนภายใน 30 วัน จากนั้นทั้งหมดก็เดินทางกลับโดยไม่ต้องยื่นประกันตัว เนื่องจากพนักงานสอบสวนอ้างเข้าพบตามหมายเรียก แต่นายสนธิและพวกก็ประกาศจะฟ้องกลับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ดูแลคดีนี้จนถึงที่สุด
อย่างไรก็ตาม กรณีการปล่อยตัวพันธมิตรฯทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทันทีว่าเป็นการปฏิบัติ 2 มาตรฐานหรือไม่ เพราะกรณีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ซึ่งถูกกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้ายและเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนเช่นกัน กลับไม่ได้รับการประกันตัวและถูกคุมขังจนถึงทุกวันนี้
ที่สำคัญแม้แต่การชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” 91 ศพ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับผิดชอบจนขณะนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ แต่กลับนำไปให้อัยการประกอบสำนวนส่งศาลชั้นต้นเพื่อไต่สวนและอัยการสูงสุดก็สั่งฟ้องโดยไม่ปฏิบัติตามวิธีพิจารณาความอาญานั้น ก็มีคำถามเช่นกันว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมหรือไม่
ยิ่งย้อนกลับไปถึงการยึดสนามบินสุวรรณภูมิของพันธมิตรฯ นับตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ระบุว่า สร้างความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าทำให้มีผู้โดยสารนานาชาติ 700,000 คนต้องได้รับผลกระทบและสร้างความเสียหายมากถึง 200,000 ล้านบาท จากการท่องเที่ยว ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ
ขณะที่การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยระบุว่า ทำให้ผู้โดยสารไม่สามารถเดินทางเข้าออกจากสนามบินสุวรรณภูมิได้ 110,000 คนต่อวัน เที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออกไม่สามารถขึ้นลงได้ 700 เที่ยวต่อวัน
ที่สำคัญ กว่าที่กลุ่มพันธมิตรฯจะเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกก็ใช้เวลายาวนานถึงกว่า 600 วัน แถมยังได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ต้องยื่นประกันใดๆอีก
ดังนั้น เมื่อพิจารณาคดีของพันธมิตรฯกับคดีของแกนนำ นปช. หากนำคดีมาเปรียบเทียบกันโดยให้นักกฎหมายหรือผู้ที่ไม่ใช่นักกฎหมายใช้ดุลยพินิจว่า การดำเนินการของพนักงานสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ดีเอสไอ หรือกระบวนการยุติธรรมต่างๆที่ผ่านมา มีความยุติธรรมและเสมอภาคแตกต่างกันอย่างไร คนทั้งแผ่นดินก็รู้ดีว่ากระบวนการยุติธรรมวันนี้มีกี่มาตรฐาน
**********************************************************************
"ดร.นันทวัฒน์"วิพากษ์รัฐบาลผสมกับการปรองดองแบบขี้ขลาด! ฟันธงไม่เกิดประโยชน์ใดๆต่อประเทศชาติ
ที่มา.มติชนออนไลน์
ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ เมธีวิจัยอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) แสดงความเห็นทางวิชาการ ผ่านบทบรรณาธิการ ในเว็บไซต์ www.pub-law.net วันที่ 30 สิงหาคม 2553 มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ นำความเห็นทางวิชาการ มานำเสนอดังนี้
ในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปก็จะถึง “วาระสำคัญ” ที่ทุกคนรอคอยคำตอบคือ พรรคการเมืองพรรคใดจะเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากเกินครึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อทราบคำตอบดังกล่าวก็คงพอมองเห็นว่า ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปเพราะโดยธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นอยู่นั้น หัวหน้าพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็จะต้องรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
อะไรจะเกิดขึ้นหากไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดได้เสียงข้างมากเกินครึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร เป็นที่เข้าใจกันว่า พรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุดอาจตัดสินใจจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรืออาจจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากโดยไป “ชักชวน” พรรคการเมืองอื่นให้มาเข้าร่วมกับตนเองจัดตั้ง “รัฐบาลผสม” ขึ้นมาก็ได้
โดยทั่วไปแล้ว วิธีการแรกจะเป็นวิธีการที่ “มีความเสี่ยง” มากกว่าวิธีการหลัง เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นรูปแบบของรัฐบาลที่มักจะมีอายุสั้น เมื่อไรก็ตามที่ต้องมีการใช้ “เสียง” ของสภาผู้แทนราษฎรก็หมายความว่าอายุขัยของรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็มักจะสิ้นสุดลงไปด้วยครับ
ว่าด้วย "รัฐบาลผสม ไทย-เทศ "
ส่วนรัฐบาลผสมนั้นเกิดขึ้นจากการที่พรรคการเมืองหนึ่งไม่มีโอกาสได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเพียงพอที่จะจัดตั้ง “รัฐบาลพรรคเดียว” ได้ โดยมารยาท พรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎรก็จะไปชักชวนพรรคการเมืองอื่นให้เข้ามาร่วมกับตนเพื่อให้มีเสียงข้างมากเกินกว่าครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยวิธีการนี้ พรรคการเมืองผู้ชักชวนก็จะเป็น “แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาล
ในต่างประเทศ รัฐบาลผสมไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ เพราะอย่างน้อยการที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งจะไปร่วมกับพรรคการเมืองอีกพรรคหนึ่งได้ก็ต้องมีแนวความคิดและนโยบายทางการเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่แตกต่างกันมากนักและสามารถร่วมงานกันได้โดยไม่กระทบต่อนโยบายหลักของพรรคการเมืองที่เข้าร่วม เพราะหากพรรคการเมืองต่าง ๆ มีแนวความคิดแตกต่างกัน แม้จะสามารถรวมกันเข้าเป็นรัฐบาลได้แต่คงไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ตามนโยบายของพรรคการเมืองของตนได้ ดังนั้น การเข้าร่วมกันของพรรคการเมืองต่าง ๆ จึงขึ้นอยู่กับ “นโยบาย” ของพรรคการเมืองเหล่านั้นที่ต้องมีความสอดคล้องใกล้เคียงกัน
70 กว่าปีของระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยให้ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบของรัฐบาลในบ้านเราครบทุกรูปแบบ เราเคยมีรัฐบาลที่เกิดจากพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวมาแล้ว เราเคยมีรัฐบาลเสียงข้างน้อยมาแล้ว แต่ทั้งสองรูปแบบก็เกิดขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับรัฐบาลส่วนใหญ่ของประเทศไทยที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการรวบรวมพรรคการเมืองต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อจัดตั้งเป็น “รัฐบาลผสม”
“แบ่งผลประโยชน์” ลงตัว หรือไม่
ในประเทศไทย การเกิดขึ้นของรัฐบาลผสมดูจะเป็นเรื่องปกติเสียแล้วสำหรับ “คอการเมือง” เพราะแทบจะเรียกได้ว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีพรรคการเมืองพรรคใดมีเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ดังนั้น เมื่อผ่านวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บรรดาสื่อมวลชนจึงสนใจที่จะไปทำข่าวตามบ้านของหัวหน้าพรรคการเมืองขนาดกลางกันมากกว่าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ เพราะพรรคการเมืองขนาดกลางจะเป็น “ตัวชี้” ว่า พรรคการเมืองขนาดใหญ่พรรคใดจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
รัฐบาลผสมในประเทศไทยเกิดขึ้นมาภายใต้บริบทที่แตกต่างไปจากรัฐบาลผสมในต่างประเทศดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ด้วยเหตุที่บรรดาพรรคการเมืองของไทยแทบจะทุกพรรคการเมืองต่างก็มี “นโยบาย” ที่เรียกได้ว่า “ใกล้เคียงกัน” และก็มีนโยบายที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ “สามารถเข้าร่วมกับใครก็ได้” การเกิดขึ้นของรัฐบาลผสมในประเทศไทยจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของพรรคการเมืองเป็นสำคัญ แต่จะไปขึ้นอยู่กับเรื่องอื่น ๆ
เช่น ตำแหน่งในรัฐบาล กระทรวงที่จะรับผิดชอบ และแม้กระทั่งผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับตามมาจากการเข้าร่วมรัฐบาล หากการตกลงร่วมกันได้ข้อยุติที่ดี รัฐบาลก็เกิดขึ้นได้ ส่วนจะมีความมั่นคงเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับ “ผู้บริหารจัดการ” รัฐบาลว่าจะสามารถ “แบ่งผลประโยชน์” ต่าง ๆ ให้กับบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลได้อย่างลงตัวหรือไม่
รัฐบาลผสมอยู่ได้เท่าที่การแบ่งผลประโยชน์ลงตัวและไม่มีความขัดแย้งกัน โดยผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้รับบทบาทหนักที่สุดและเหนื่อยที่สุดและต้องเป็นนักประสานประโยชน์ที่ดีเพราะต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการไม่ว่าจะเป็นการแก่งแย่งตำแหน่ง การต่อรองต่าง ๆ ซึ่งก็จะนำมาสู่ความขัดแย้งในรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีส่วนมากก็จะต้อง “ยอม” เพราะถ้าไม่ยอมรัฐบาลก็ถึงจุดจบได้อย่างง่าย ๆ ครับ
พรรคร่วมทุจริต สุกงอม แล้วก็รัฐประหาร
และนอกจากนี้ จุดจบของรัฐบาลอาจมาถึงได้ง่ายอีกเช่นกันดังที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในบ้านเรา นั่นก็คือการทุจริตคอร์รัปชันของพรรคร่วมรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจทำอะไรได้เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อสถานภาพของรัฐบาล ในที่สุดเมื่อเหตุการณ์สุกงอม การรัฐประหารจึงเกิดขึ้นตามมาครับ
เมื่ออายุของรัฐบาลผสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่ “ไม่แน่นอน” พรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาลจึงมักจะรีบเร่งที่จะ “สร้างงาน” ให้กับพรรคการเมืองของตนเอง ทำทุกอย่างโดยมีสมมติฐานว่าหากรัฐบาลต้องจบสิ้นลง พรรคการเมืองของตนก็จะยังคงมี “ปัจจัย” เพียงพอที่จะกลับมาได้อีก
รัฐบาลผสมจึงเป็นสิ่งที่ “ไม่แน่นอน” สำหรับระบบการเมืองของไทยเพราะเท่าที่ผ่านมาและที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนือง ๆ การต่อรองต่าง ๆ ของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง แต่ในทางกลับกัน ภาพที่ปรากฏออกมากลับเป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์ของพรรคการเมืองของตนเสียมากกว่า
ด้านมืดของรัฐบาลผสมแบบไทยๆ
เช่น การต่อรองกันเรื่องตำแหน่งด้วยการส่งภรรยาหรือน้องสาวไปเป็นรัฐมนตรีเนื่องจากตัวเองถูกตัดสิทธิทางการเมือง การรวบรวมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของตัวเองเพื่อเอาจำนวนเสียงไปใช้ต่อรองให้ตัวเองได้เป็นรัฐมนตรี
หรือแม้กระทั่งการที่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อวางฐานอำนาจทางการเมืองให้กับพรรคการเมืองของตัวเอง รวมไปถึงการจัดให้มีโครงการต่าง ๆ เพื่อสะสม “ปัจจัย” เอาไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ แต่ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งภายใต้บรรยากาศของการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาลของรัฐบาลผสมในที่สุด
ที่กล่าวไปทั้งหมดข้างต้นนั้นไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลผสมไม่ดีแล้วรัฐบาลพรรคเดียวจะเป็นรูปแบบของรัฐบาลที่ดีกว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคเดียวก็ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากรัฐบาลผสมเท่าไรนักในเรื่อง “ผลประโยชน์” เพราะแม้รัฐบาลจะประกอบด้วยพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว แต่หัวหน้าพรรคการเมืองก็สามารถทำให้พรรคการเมืองของตนถึงจุดจบไปได้เช่นกันเพราะหากการดำเนินการต่าง ๆ ของหัวหน้าพรรคการเมืองเป็นไปในลักษณะ “ทุบโต๊ะ” ที่ลูกพรรคต้องยอมหรือไม่ก็หลับหูหลับตายอม การตรวจสอบการใช้อำนาจต่าง ๆ ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ วันหนึ่งพรรคการเมืองดังกล่าวก็ต้องถึงจุดจบไปเช่นกันดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ต้องการทำให้ระบบพรรคการเมืองแข็งแกร่ง ผลที่เกิดขึ้นทำให้มีพรรคการเมืองมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
ข้อหา “เผด็จการทางรัฐสภา”?
แต่ต่อมารัฐบาลถึงจุดจบเพราะใช้อำนาจมากเกินไปและตรวจสอบไม่ได้ แต่เหตุดังกล่าวคงไม่ใช่เหตุเดียวที่ทำให้พรรคการเมืองดังกล่าวถึงจุดจบเพราะยังมีเหตุอื่น ๆ ประกอบอีกด้วย เช่น มีพรรคการเมืองบางพรรค “อิจฉา” ที่เลือกตั้งมาไม่รู้กี่หนไม่เคยได้เสียงข้างมากเสียที เลยงัดเอาข้อหา “เผด็จการทางรัฐสภา” มาใช้จนกลายเป็นปัญหาสำคัญของประเทศในเวลาต่อมา เป็นต้น
ประเทศอังกฤษเป็นประเทศที่มีรัฐบาลเสียงข้างมากพรรคเดียวมาตลอดซึ่งแตกต่างไปจากประเทศอื่น ๆ ในยุโรปที่มีแต่รัฐบาลผสม แต่อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปจะมีรัฐบาลผสมแต่รัฐบาลผสมของเขาก็ไม่ได้สร้างปัญหาและอุปสรรคให้กับการบริหารประเทศมากเช่นในบ้านเราเพราะเมื่อพรรคการเมืองต่าง ๆ ตัดสินใจเข้าร่วมงานกันแล้วก็จะต้องทำการบริหารประเทศให้ได้
ส่วนรัฐบาลผสมของอังกฤษในปัจจุบันนั้นเท่าที่ทราบข่าว พรรคการเมืองขนาดเล็กที่เข้าร่วมรัฐบาลก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นเรื่องใหญ่ แต่กลับทำการต่อรองให้รัฐบาลเอานโยบายของพรรคการเมืองของตนไปเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล ผมมีโอกาสได้อ่านบทวิเคราะห์วิจารณ์การจัดตั้งรัฐบาลผสมของอังกฤษในปัจจุบันจากหนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศสฉบับหนึ่ง ก็ได้พบสาระที่เกี่ยวกับ “ข้อดีของรัฐบาลผสม” ในต่างประเทศที่มีอยู่บ้าง
ดังเช่นในการพิจารณากฎหมายสำคัญ ๆ ที่เสนอโดยรัฐบาลพรรคเดียวนั้น แม้กฎหมายจะสามารถผ่านการพิจารณาของสภาออกไปได้ง่ายแต่ผลก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะกว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจหรือยอมรับก็ต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าหากเป็นกฎหมายที่เสนอโดยรัฐบาลผสม พรรคร่วมรัฐบาลซึ่งมีฐานเสียงของประชาชนหลากหลายก็จะมีส่วนที่ทำให้ประชาชนที่เป็นฐานเสียงของตนเข้าใจในกฎหมายนั้นได้กว้างกว่าและมากกว่า ส่วนรูปแบบของรัฐบาลผสมเองก็มีข้อดีอยู่ในตัวเพราะสามารถนำเอาตัวแทนของกลุ่มต่าง ๆ เข้ามาอยู่ร่วมกันได้ เช่นพรรคเขียวหรือพรรคสังคมนิยม เป็นต้น เมื่อพรรคการเมืองเหล่านี้มารวมกันและทำงานร่วมกัน ความขัดแย้งในสังคมก็จะลดน้อยลงไปด้วย
กลับมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในวันนี้กันบ้าง แน่นอนครับว่า ภาพของ “รัฐบาลผสม” ชุดปัจจุบันไม่ได้ให้ความมั่นใจ (อย่างน้อยก็กับผม) ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหนและจะทำอะไรให้กับประเทศไทยได้บ้าง คงไม่ต้องพูดถึง “ที่มา” และ “กระบวนการจัดตั้ง” รัฐบาลชุดนี้
รัฐบาลผสมอยู่นานแค่ไหนขึ้นกับ2 ปัจจัย
แต่ผมอยากจะดูว่า รัฐบาลผสมชุดปัจจุบันจะทนอยู่ได้นานขนาดไหน การทนอยู่ได้นานขนาดไหนนั้นคงขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการด้วยกันคือ ปัจจัยที่เกิดจากภายในรัฐบาลและปัจจัยที่เกิดจากภายนอกรัฐบาล ปัจจัยทั้งสองนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาหลายสิบครั้งแล้วในอดีตที่ผ่านมาครับ
ปัจจัยภายในที่จะทำให้รัฐบาลผสมอยู่หรือไปคงได้แก่ “ความปรองดอง” ของพรรคร่วมรัฐบาลครับ ที่ผ่านมาเราคงได้เห็นภาพของการปรองดองอยู่บ้าง เช่นโครงการต่าง ๆ หลายโครงการรวมทั้งการเช่ารถเมล์ 4,000 คันด้วยราคาที่แพงกว่าซื้อของพรรคร่วมรัฐบาลที่แม้พรรคแกนนำจะ “วิตก” อยู่บ้างแต่ก็ไม่กล้า “ยกเลิก” ที่ทำได้ก็คือพยายาม “ถ่วงเวลา” เอาไว้เพื่อให้รัฐบาลอยู่ต่อไปได้ ดังนั้น ปัจจัยภายในที่สำคัญที่จะทำให้รัฐบาลอยู่หรือไปก็คงอยู่ที่การ “ยอม” ซึ่งกันและกันมากกว่าครับ เมื่อไรพรรคการเมืองหนึ่งไม่ยอมอีกพรรคการเมืองหนึ่ง รัฐบาลก็แตก แค่นั้นเองครับ
แต่อย่างไรก็ตาม สภาพการเมืองในบ้านเราวันนี้คงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการยอมกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ปัจจุบันเราพบว่าภายในพรรคการเมืองมีการแบ่งเป็นกลุ่ม เป็นก๊วน เป็นแก๊ง กันเต็มไปหมด บรรดากลุ่ม ก๊วนหรือแก๊งเหล่านี้พร้อมที่จะลุกขึ้นมามีปากมีเสียงกับพรรคของตัวเองและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นหาก “ผลประโยชน์” ของกลุ่ม ก๊วนหรือแก๊งของตัวเองได้รับผลกระทบ คลื่นใต้น้ำภายในพรรคการเมืองจึงเกิดขึ้นและมากขึ้น ๆ ทุกทีครับ
ดังนั้น ความมั่นคงของรัฐบาลผสมจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับประโยชน์ของพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะขึ้นอยู่กับประโยชน์ของกลุ่ม ก๊วน หรือแก๊งทางการเมืองที่อยู่ภายในพรรคการเมืองต่าง ๆ รวมทั้งในพรรคการเมืองของตนเองด้วยครับ
คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีคือ นักปรองดอง
เห็นด้วยกับผมไหมครับว่า นายกรัฐมนตรี หากจะอยู่ในตำแหน่งได้นาน ๆ จะต้องมีคุณสมบัติที่ดีข้อหนึ่งคือ เป็นนักปรองดองที่ดีครับ !!!
ส่วนปัจจัยภายนอกที่จะทำให้รัฐบาลผสมอยู่หรือไปนั้น จากการศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองของไทยพบว่า การปฏิวัติรัฐประหารเกือบทุกครั้งมักมีการหยิบยกเรื่องที่นักการเมืองทุจริตคอร์รัปชันและใช้อำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรมมาเป็น “ข้ออ้าง” ในการปฏิวัติรัฐประหาร
นั่นหมายความว่า “ทหาร” กับ “การเมือง” ต้องมีข้อขัดแย้งกันด้วยนะครับ !!! แต่ถ้าหากพิจารณาดูจากสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งก็จะพบว่าเมื่อใดก็ตามที่ “ทหาร” กับ “การเมือง” ไปได้ด้วยดีด้วยกัน การปฏิวัติรัฐประหารก็ไม่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นจึงมาถึงโจทย์ที่สำคัญคือ ทำอย่างไรที่จะไม่ให้ทหารลุกขึ้นมาปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลผสมที่ “อ่อนแอ” แล้วก็ “ไม่สามารถบริหารประเทศ” ได้อย่างดีเท่าที่ควรครับ !!!
เป็นที่ปรากฏชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่มีความสัมพันธ์อันดีกับทหาร เริ่มตั้งแต่การ “จัดตั้ง” การ “ให้ความสำคัญ” กับทหารในการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ การ “ยอม” อยู่ในความคุ้มครองของทหาร ฯลฯ เพราะฉะนั้น ทหารกับรัฐบาลชุดปัจจุบันจึงน่าจะ “ไปด้วยกันได้” ด้วยดี
งบประมาณทางทหารที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
นอกจากความสัมพันธ์ดังกล่าวแล้ว เมื่อผมมองดูงบประมาณแผ่นดินประจำปี 2554 จำนวน 2.07 ล้านล้านบาทก็จะพบว่า ในปีนี้ งบประมาณของกระทรวงกลาโหม(ซึ่งบรรดาสื่อต่าง ๆ กล่าวว่ารัฐบาลอัดฉีดงบประมาณจำนวนกว่าร้อยละ 8 ของยอดงบประมาณของประเทศโดยรวมให้กับทหาร) เป็นงบประมาณทางทหารที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาและมากกว่าในยุคของการรัฐประหารครั้งที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำไป
ลองมาดูตัวอย่างบางกรณีกันเล่น ๆ ว่าทหารจะซื้ออะไรกันบ้างนะครับ ปืน 15,000 กระบอก ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท รถถัง 60 คันใช้งบประมาณ 7,2000 ล้านบาท เฮลิคอปเตอร์ 8 ลำ ใช้งบประมาณ 1,600 ล้านบาท รถวีโก้กันกระสุน 300 คัน ใช้งบประมาณ 700 ล้านบาท รถหุ้มเกราะล้อยาง 121 คัน ใช้งบประมาณ 6,000 ล้านบาท เป็นต้น
งบประมาณจำนวนมากมายมหาศาลนี้ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ในเมื่อรัฐบาล “ดูแล” ทหารเป็นอย่างดี ทหารก็น่าจะ “ดูแล” รัฐบาลเป็นอย่างดีด้วยเช่นกันครับ เพราะฉะนั้น ปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่งที่ “คว่ำ” รัฐบาลมาแล้วหลายรัฐบาล จึงไม่น่าที่จะเป็น “ปัจจัยเสี่ยง” ของรัฐบาลชุดนี้ตราบใดที่ “ทหาร” กับ “รัฐบาล” ยังไปด้วยกันได้อย่างดี
รัฐบาลผสมกับการปรองดองแบบขี้ขลาด!
จากปัจจัยทั้งสองประการข้างต้น รัฐบาลผสมชุดปัจจุบันจะอยู่หรือไปคง (น่าจะ) ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญเพียงปัจจัยเดียวคือ ปัจจัยภายใน ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองทำให้ทุกพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาลและทุกกลุ่ม ก๊วน หรือแก๊งที่อยู่ภายในพรรคการเมืองต้อง “รีบเร่ง” ทำทุกอย่างอย่างรวดเร็ว
เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็จะมีการกระทำต่าง ๆ ที่เป็น “ปฏิปักษ์” ตามมาไม่ว่าจะเป็นความไม่ร่วมมือในการบริหารประเทศ การไม่เข้าร่วมพิจารณาร่างกฎหมาย การไม่ออกเสียงหรือออกเสียงสวนทางกับรัฐบาลและก็แน่นอนที่สุดที่จะต้องมีเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันตามมาอีกด้วย
วันหนึ่ง หากมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งพรรคใดถอนตัวออกจากรัฐบาลหรือหากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร ก็จะถึงจุดจบของรัฐบาลผสมครับ แต่ถ้าพรรคร่วมรัฐบาล “ปรองดอง” กันได้ รัฐบาลผสมชุดนี้ก็คงอยู่ครบวาระได้ไม่ยากครับ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลผสมจะ “อยู่ได้” แต่ก็ยังมีสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ต้องคิดก็คือ ประเทศชาติและประชาชนจะ “อยู่ได้” อย่างดีด้วยหรือไม่เพราะการปรองดองภายในพรรคร่วมรัฐบาลอาจเป็นผลดีกับพรรคการเมือง แต่ในทางกลับกัน ผลกระทบก็อาจเกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชนด้วยเพราะโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนแต่พรรคร่วมรัฐบาลไม่สามารถ “ปรองดอง” กันได้ก็อาจถูก “เก็บ” เอาไว้ในลิ้นชัก
เช่นเดียวกับข้อมูลที่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันของพรรคร่วมรัฐบาลก็ถูก “เก็บ” เอาไว้ในลิ้นชักเช่นกัน ปรองดองอย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นการ “ปรองดองแบบขี้ขลาด” เพราะเป็นการปรองดองเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ปรองดองเพื่อให้ตัวเองและพรรคการเมืองของตนและพรรคการเมืองที่อยู่ร่วมกับตน “ได้” ในสิ่งที่ “ต้องการ” เป็นการปรองดองเพื่อประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน เป็นการปรองดองที่ไม่ได้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่กล้า “หักหาญ”
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า “ไม่ถูกต้อง” เพราะหาก “หักหาญ” เมื่อใด รัฐบาลก็จะถึงจุดจบทันทีครับ การปรองดองแบบขี้ขลาดจึงเป็นการปรองดองที่ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อประเทศชาติและประชาชนเลยครับ !!!
---------------------------------------------------------------------------
ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ เมธีวิจัยอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) แสดงความเห็นทางวิชาการ ผ่านบทบรรณาธิการ ในเว็บไซต์ www.pub-law.net วันที่ 30 สิงหาคม 2553 มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ นำความเห็นทางวิชาการ มานำเสนอดังนี้
ในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปก็จะถึง “วาระสำคัญ” ที่ทุกคนรอคอยคำตอบคือ พรรคการเมืองพรรคใดจะเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากเกินครึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อทราบคำตอบดังกล่าวก็คงพอมองเห็นว่า ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปเพราะโดยธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นอยู่นั้น หัวหน้าพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็จะต้องรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
อะไรจะเกิดขึ้นหากไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดได้เสียงข้างมากเกินครึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร เป็นที่เข้าใจกันว่า พรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุดอาจตัดสินใจจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรืออาจจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากโดยไป “ชักชวน” พรรคการเมืองอื่นให้มาเข้าร่วมกับตนเองจัดตั้ง “รัฐบาลผสม” ขึ้นมาก็ได้
โดยทั่วไปแล้ว วิธีการแรกจะเป็นวิธีการที่ “มีความเสี่ยง” มากกว่าวิธีการหลัง เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นรูปแบบของรัฐบาลที่มักจะมีอายุสั้น เมื่อไรก็ตามที่ต้องมีการใช้ “เสียง” ของสภาผู้แทนราษฎรก็หมายความว่าอายุขัยของรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็มักจะสิ้นสุดลงไปด้วยครับ
ว่าด้วย "รัฐบาลผสม ไทย-เทศ "
ส่วนรัฐบาลผสมนั้นเกิดขึ้นจากการที่พรรคการเมืองหนึ่งไม่มีโอกาสได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเพียงพอที่จะจัดตั้ง “รัฐบาลพรรคเดียว” ได้ โดยมารยาท พรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎรก็จะไปชักชวนพรรคการเมืองอื่นให้เข้ามาร่วมกับตนเพื่อให้มีเสียงข้างมากเกินกว่าครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยวิธีการนี้ พรรคการเมืองผู้ชักชวนก็จะเป็น “แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาล
ในต่างประเทศ รัฐบาลผสมไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ เพราะอย่างน้อยการที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งจะไปร่วมกับพรรคการเมืองอีกพรรคหนึ่งได้ก็ต้องมีแนวความคิดและนโยบายทางการเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่แตกต่างกันมากนักและสามารถร่วมงานกันได้โดยไม่กระทบต่อนโยบายหลักของพรรคการเมืองที่เข้าร่วม เพราะหากพรรคการเมืองต่าง ๆ มีแนวความคิดแตกต่างกัน แม้จะสามารถรวมกันเข้าเป็นรัฐบาลได้แต่คงไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ตามนโยบายของพรรคการเมืองของตนได้ ดังนั้น การเข้าร่วมกันของพรรคการเมืองต่าง ๆ จึงขึ้นอยู่กับ “นโยบาย” ของพรรคการเมืองเหล่านั้นที่ต้องมีความสอดคล้องใกล้เคียงกัน
70 กว่าปีของระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยให้ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบของรัฐบาลในบ้านเราครบทุกรูปแบบ เราเคยมีรัฐบาลที่เกิดจากพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวมาแล้ว เราเคยมีรัฐบาลเสียงข้างน้อยมาแล้ว แต่ทั้งสองรูปแบบก็เกิดขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับรัฐบาลส่วนใหญ่ของประเทศไทยที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการรวบรวมพรรคการเมืองต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อจัดตั้งเป็น “รัฐบาลผสม”
“แบ่งผลประโยชน์” ลงตัว หรือไม่
ในประเทศไทย การเกิดขึ้นของรัฐบาลผสมดูจะเป็นเรื่องปกติเสียแล้วสำหรับ “คอการเมือง” เพราะแทบจะเรียกได้ว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีพรรคการเมืองพรรคใดมีเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ดังนั้น เมื่อผ่านวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บรรดาสื่อมวลชนจึงสนใจที่จะไปทำข่าวตามบ้านของหัวหน้าพรรคการเมืองขนาดกลางกันมากกว่าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ เพราะพรรคการเมืองขนาดกลางจะเป็น “ตัวชี้” ว่า พรรคการเมืองขนาดใหญ่พรรคใดจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
รัฐบาลผสมในประเทศไทยเกิดขึ้นมาภายใต้บริบทที่แตกต่างไปจากรัฐบาลผสมในต่างประเทศดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ด้วยเหตุที่บรรดาพรรคการเมืองของไทยแทบจะทุกพรรคการเมืองต่างก็มี “นโยบาย” ที่เรียกได้ว่า “ใกล้เคียงกัน” และก็มีนโยบายที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ “สามารถเข้าร่วมกับใครก็ได้” การเกิดขึ้นของรัฐบาลผสมในประเทศไทยจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของพรรคการเมืองเป็นสำคัญ แต่จะไปขึ้นอยู่กับเรื่องอื่น ๆ
เช่น ตำแหน่งในรัฐบาล กระทรวงที่จะรับผิดชอบ และแม้กระทั่งผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับตามมาจากการเข้าร่วมรัฐบาล หากการตกลงร่วมกันได้ข้อยุติที่ดี รัฐบาลก็เกิดขึ้นได้ ส่วนจะมีความมั่นคงเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับ “ผู้บริหารจัดการ” รัฐบาลว่าจะสามารถ “แบ่งผลประโยชน์” ต่าง ๆ ให้กับบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลได้อย่างลงตัวหรือไม่
รัฐบาลผสมอยู่ได้เท่าที่การแบ่งผลประโยชน์ลงตัวและไม่มีความขัดแย้งกัน โดยผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้รับบทบาทหนักที่สุดและเหนื่อยที่สุดและต้องเป็นนักประสานประโยชน์ที่ดีเพราะต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการไม่ว่าจะเป็นการแก่งแย่งตำแหน่ง การต่อรองต่าง ๆ ซึ่งก็จะนำมาสู่ความขัดแย้งในรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีส่วนมากก็จะต้อง “ยอม” เพราะถ้าไม่ยอมรัฐบาลก็ถึงจุดจบได้อย่างง่าย ๆ ครับ
พรรคร่วมทุจริต สุกงอม แล้วก็รัฐประหาร
และนอกจากนี้ จุดจบของรัฐบาลอาจมาถึงได้ง่ายอีกเช่นกันดังที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในบ้านเรา นั่นก็คือการทุจริตคอร์รัปชันของพรรคร่วมรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจทำอะไรได้เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อสถานภาพของรัฐบาล ในที่สุดเมื่อเหตุการณ์สุกงอม การรัฐประหารจึงเกิดขึ้นตามมาครับ
เมื่ออายุของรัฐบาลผสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่ “ไม่แน่นอน” พรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาลจึงมักจะรีบเร่งที่จะ “สร้างงาน” ให้กับพรรคการเมืองของตนเอง ทำทุกอย่างโดยมีสมมติฐานว่าหากรัฐบาลต้องจบสิ้นลง พรรคการเมืองของตนก็จะยังคงมี “ปัจจัย” เพียงพอที่จะกลับมาได้อีก
รัฐบาลผสมจึงเป็นสิ่งที่ “ไม่แน่นอน” สำหรับระบบการเมืองของไทยเพราะเท่าที่ผ่านมาและที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนือง ๆ การต่อรองต่าง ๆ ของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง แต่ในทางกลับกัน ภาพที่ปรากฏออกมากลับเป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์ของพรรคการเมืองของตนเสียมากกว่า
ด้านมืดของรัฐบาลผสมแบบไทยๆ
เช่น การต่อรองกันเรื่องตำแหน่งด้วยการส่งภรรยาหรือน้องสาวไปเป็นรัฐมนตรีเนื่องจากตัวเองถูกตัดสิทธิทางการเมือง การรวบรวมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของตัวเองเพื่อเอาจำนวนเสียงไปใช้ต่อรองให้ตัวเองได้เป็นรัฐมนตรี
หรือแม้กระทั่งการที่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อวางฐานอำนาจทางการเมืองให้กับพรรคการเมืองของตัวเอง รวมไปถึงการจัดให้มีโครงการต่าง ๆ เพื่อสะสม “ปัจจัย” เอาไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ แต่ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งภายใต้บรรยากาศของการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาลของรัฐบาลผสมในที่สุด
ที่กล่าวไปทั้งหมดข้างต้นนั้นไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลผสมไม่ดีแล้วรัฐบาลพรรคเดียวจะเป็นรูปแบบของรัฐบาลที่ดีกว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคเดียวก็ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากรัฐบาลผสมเท่าไรนักในเรื่อง “ผลประโยชน์” เพราะแม้รัฐบาลจะประกอบด้วยพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว แต่หัวหน้าพรรคการเมืองก็สามารถทำให้พรรคการเมืองของตนถึงจุดจบไปได้เช่นกันเพราะหากการดำเนินการต่าง ๆ ของหัวหน้าพรรคการเมืองเป็นไปในลักษณะ “ทุบโต๊ะ” ที่ลูกพรรคต้องยอมหรือไม่ก็หลับหูหลับตายอม การตรวจสอบการใช้อำนาจต่าง ๆ ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ วันหนึ่งพรรคการเมืองดังกล่าวก็ต้องถึงจุดจบไปเช่นกันดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ต้องการทำให้ระบบพรรคการเมืองแข็งแกร่ง ผลที่เกิดขึ้นทำให้มีพรรคการเมืองมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
ข้อหา “เผด็จการทางรัฐสภา”?
แต่ต่อมารัฐบาลถึงจุดจบเพราะใช้อำนาจมากเกินไปและตรวจสอบไม่ได้ แต่เหตุดังกล่าวคงไม่ใช่เหตุเดียวที่ทำให้พรรคการเมืองดังกล่าวถึงจุดจบเพราะยังมีเหตุอื่น ๆ ประกอบอีกด้วย เช่น มีพรรคการเมืองบางพรรค “อิจฉา” ที่เลือกตั้งมาไม่รู้กี่หนไม่เคยได้เสียงข้างมากเสียที เลยงัดเอาข้อหา “เผด็จการทางรัฐสภา” มาใช้จนกลายเป็นปัญหาสำคัญของประเทศในเวลาต่อมา เป็นต้น
ประเทศอังกฤษเป็นประเทศที่มีรัฐบาลเสียงข้างมากพรรคเดียวมาตลอดซึ่งแตกต่างไปจากประเทศอื่น ๆ ในยุโรปที่มีแต่รัฐบาลผสม แต่อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปจะมีรัฐบาลผสมแต่รัฐบาลผสมของเขาก็ไม่ได้สร้างปัญหาและอุปสรรคให้กับการบริหารประเทศมากเช่นในบ้านเราเพราะเมื่อพรรคการเมืองต่าง ๆ ตัดสินใจเข้าร่วมงานกันแล้วก็จะต้องทำการบริหารประเทศให้ได้
ส่วนรัฐบาลผสมของอังกฤษในปัจจุบันนั้นเท่าที่ทราบข่าว พรรคการเมืองขนาดเล็กที่เข้าร่วมรัฐบาลก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นเรื่องใหญ่ แต่กลับทำการต่อรองให้รัฐบาลเอานโยบายของพรรคการเมืองของตนไปเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล ผมมีโอกาสได้อ่านบทวิเคราะห์วิจารณ์การจัดตั้งรัฐบาลผสมของอังกฤษในปัจจุบันจากหนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศสฉบับหนึ่ง ก็ได้พบสาระที่เกี่ยวกับ “ข้อดีของรัฐบาลผสม” ในต่างประเทศที่มีอยู่บ้าง
ดังเช่นในการพิจารณากฎหมายสำคัญ ๆ ที่เสนอโดยรัฐบาลพรรคเดียวนั้น แม้กฎหมายจะสามารถผ่านการพิจารณาของสภาออกไปได้ง่ายแต่ผลก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะกว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจหรือยอมรับก็ต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าหากเป็นกฎหมายที่เสนอโดยรัฐบาลผสม พรรคร่วมรัฐบาลซึ่งมีฐานเสียงของประชาชนหลากหลายก็จะมีส่วนที่ทำให้ประชาชนที่เป็นฐานเสียงของตนเข้าใจในกฎหมายนั้นได้กว้างกว่าและมากกว่า ส่วนรูปแบบของรัฐบาลผสมเองก็มีข้อดีอยู่ในตัวเพราะสามารถนำเอาตัวแทนของกลุ่มต่าง ๆ เข้ามาอยู่ร่วมกันได้ เช่นพรรคเขียวหรือพรรคสังคมนิยม เป็นต้น เมื่อพรรคการเมืองเหล่านี้มารวมกันและทำงานร่วมกัน ความขัดแย้งในสังคมก็จะลดน้อยลงไปด้วย
กลับมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในวันนี้กันบ้าง แน่นอนครับว่า ภาพของ “รัฐบาลผสม” ชุดปัจจุบันไม่ได้ให้ความมั่นใจ (อย่างน้อยก็กับผม) ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหนและจะทำอะไรให้กับประเทศไทยได้บ้าง คงไม่ต้องพูดถึง “ที่มา” และ “กระบวนการจัดตั้ง” รัฐบาลชุดนี้
รัฐบาลผสมอยู่นานแค่ไหนขึ้นกับ2 ปัจจัย
แต่ผมอยากจะดูว่า รัฐบาลผสมชุดปัจจุบันจะทนอยู่ได้นานขนาดไหน การทนอยู่ได้นานขนาดไหนนั้นคงขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการด้วยกันคือ ปัจจัยที่เกิดจากภายในรัฐบาลและปัจจัยที่เกิดจากภายนอกรัฐบาล ปัจจัยทั้งสองนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาหลายสิบครั้งแล้วในอดีตที่ผ่านมาครับ
ปัจจัยภายในที่จะทำให้รัฐบาลผสมอยู่หรือไปคงได้แก่ “ความปรองดอง” ของพรรคร่วมรัฐบาลครับ ที่ผ่านมาเราคงได้เห็นภาพของการปรองดองอยู่บ้าง เช่นโครงการต่าง ๆ หลายโครงการรวมทั้งการเช่ารถเมล์ 4,000 คันด้วยราคาที่แพงกว่าซื้อของพรรคร่วมรัฐบาลที่แม้พรรคแกนนำจะ “วิตก” อยู่บ้างแต่ก็ไม่กล้า “ยกเลิก” ที่ทำได้ก็คือพยายาม “ถ่วงเวลา” เอาไว้เพื่อให้รัฐบาลอยู่ต่อไปได้ ดังนั้น ปัจจัยภายในที่สำคัญที่จะทำให้รัฐบาลอยู่หรือไปก็คงอยู่ที่การ “ยอม” ซึ่งกันและกันมากกว่าครับ เมื่อไรพรรคการเมืองหนึ่งไม่ยอมอีกพรรคการเมืองหนึ่ง รัฐบาลก็แตก แค่นั้นเองครับ
แต่อย่างไรก็ตาม สภาพการเมืองในบ้านเราวันนี้คงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการยอมกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ปัจจุบันเราพบว่าภายในพรรคการเมืองมีการแบ่งเป็นกลุ่ม เป็นก๊วน เป็นแก๊ง กันเต็มไปหมด บรรดากลุ่ม ก๊วนหรือแก๊งเหล่านี้พร้อมที่จะลุกขึ้นมามีปากมีเสียงกับพรรคของตัวเองและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นหาก “ผลประโยชน์” ของกลุ่ม ก๊วนหรือแก๊งของตัวเองได้รับผลกระทบ คลื่นใต้น้ำภายในพรรคการเมืองจึงเกิดขึ้นและมากขึ้น ๆ ทุกทีครับ
ดังนั้น ความมั่นคงของรัฐบาลผสมจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับประโยชน์ของพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะขึ้นอยู่กับประโยชน์ของกลุ่ม ก๊วน หรือแก๊งทางการเมืองที่อยู่ภายในพรรคการเมืองต่าง ๆ รวมทั้งในพรรคการเมืองของตนเองด้วยครับ
คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีคือ นักปรองดอง
เห็นด้วยกับผมไหมครับว่า นายกรัฐมนตรี หากจะอยู่ในตำแหน่งได้นาน ๆ จะต้องมีคุณสมบัติที่ดีข้อหนึ่งคือ เป็นนักปรองดองที่ดีครับ !!!
ส่วนปัจจัยภายนอกที่จะทำให้รัฐบาลผสมอยู่หรือไปนั้น จากการศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองของไทยพบว่า การปฏิวัติรัฐประหารเกือบทุกครั้งมักมีการหยิบยกเรื่องที่นักการเมืองทุจริตคอร์รัปชันและใช้อำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรมมาเป็น “ข้ออ้าง” ในการปฏิวัติรัฐประหาร
นั่นหมายความว่า “ทหาร” กับ “การเมือง” ต้องมีข้อขัดแย้งกันด้วยนะครับ !!! แต่ถ้าหากพิจารณาดูจากสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งก็จะพบว่าเมื่อใดก็ตามที่ “ทหาร” กับ “การเมือง” ไปได้ด้วยดีด้วยกัน การปฏิวัติรัฐประหารก็ไม่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นจึงมาถึงโจทย์ที่สำคัญคือ ทำอย่างไรที่จะไม่ให้ทหารลุกขึ้นมาปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลผสมที่ “อ่อนแอ” แล้วก็ “ไม่สามารถบริหารประเทศ” ได้อย่างดีเท่าที่ควรครับ !!!
เป็นที่ปรากฏชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่มีความสัมพันธ์อันดีกับทหาร เริ่มตั้งแต่การ “จัดตั้ง” การ “ให้ความสำคัญ” กับทหารในการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ การ “ยอม” อยู่ในความคุ้มครองของทหาร ฯลฯ เพราะฉะนั้น ทหารกับรัฐบาลชุดปัจจุบันจึงน่าจะ “ไปด้วยกันได้” ด้วยดี
งบประมาณทางทหารที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
นอกจากความสัมพันธ์ดังกล่าวแล้ว เมื่อผมมองดูงบประมาณแผ่นดินประจำปี 2554 จำนวน 2.07 ล้านล้านบาทก็จะพบว่า ในปีนี้ งบประมาณของกระทรวงกลาโหม(ซึ่งบรรดาสื่อต่าง ๆ กล่าวว่ารัฐบาลอัดฉีดงบประมาณจำนวนกว่าร้อยละ 8 ของยอดงบประมาณของประเทศโดยรวมให้กับทหาร) เป็นงบประมาณทางทหารที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาและมากกว่าในยุคของการรัฐประหารครั้งที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำไป
ลองมาดูตัวอย่างบางกรณีกันเล่น ๆ ว่าทหารจะซื้ออะไรกันบ้างนะครับ ปืน 15,000 กระบอก ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท รถถัง 60 คันใช้งบประมาณ 7,2000 ล้านบาท เฮลิคอปเตอร์ 8 ลำ ใช้งบประมาณ 1,600 ล้านบาท รถวีโก้กันกระสุน 300 คัน ใช้งบประมาณ 700 ล้านบาท รถหุ้มเกราะล้อยาง 121 คัน ใช้งบประมาณ 6,000 ล้านบาท เป็นต้น
งบประมาณจำนวนมากมายมหาศาลนี้ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ในเมื่อรัฐบาล “ดูแล” ทหารเป็นอย่างดี ทหารก็น่าจะ “ดูแล” รัฐบาลเป็นอย่างดีด้วยเช่นกันครับ เพราะฉะนั้น ปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่งที่ “คว่ำ” รัฐบาลมาแล้วหลายรัฐบาล จึงไม่น่าที่จะเป็น “ปัจจัยเสี่ยง” ของรัฐบาลชุดนี้ตราบใดที่ “ทหาร” กับ “รัฐบาล” ยังไปด้วยกันได้อย่างดี
รัฐบาลผสมกับการปรองดองแบบขี้ขลาด!
จากปัจจัยทั้งสองประการข้างต้น รัฐบาลผสมชุดปัจจุบันจะอยู่หรือไปคง (น่าจะ) ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญเพียงปัจจัยเดียวคือ ปัจจัยภายใน ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองทำให้ทุกพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาลและทุกกลุ่ม ก๊วน หรือแก๊งที่อยู่ภายในพรรคการเมืองต้อง “รีบเร่ง” ทำทุกอย่างอย่างรวดเร็ว
เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็จะมีการกระทำต่าง ๆ ที่เป็น “ปฏิปักษ์” ตามมาไม่ว่าจะเป็นความไม่ร่วมมือในการบริหารประเทศ การไม่เข้าร่วมพิจารณาร่างกฎหมาย การไม่ออกเสียงหรือออกเสียงสวนทางกับรัฐบาลและก็แน่นอนที่สุดที่จะต้องมีเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันตามมาอีกด้วย
วันหนึ่ง หากมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งพรรคใดถอนตัวออกจากรัฐบาลหรือหากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร ก็จะถึงจุดจบของรัฐบาลผสมครับ แต่ถ้าพรรคร่วมรัฐบาล “ปรองดอง” กันได้ รัฐบาลผสมชุดนี้ก็คงอยู่ครบวาระได้ไม่ยากครับ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลผสมจะ “อยู่ได้” แต่ก็ยังมีสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ต้องคิดก็คือ ประเทศชาติและประชาชนจะ “อยู่ได้” อย่างดีด้วยหรือไม่เพราะการปรองดองภายในพรรคร่วมรัฐบาลอาจเป็นผลดีกับพรรคการเมือง แต่ในทางกลับกัน ผลกระทบก็อาจเกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชนด้วยเพราะโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนแต่พรรคร่วมรัฐบาลไม่สามารถ “ปรองดอง” กันได้ก็อาจถูก “เก็บ” เอาไว้ในลิ้นชัก
เช่นเดียวกับข้อมูลที่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันของพรรคร่วมรัฐบาลก็ถูก “เก็บ” เอาไว้ในลิ้นชักเช่นกัน ปรองดองอย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นการ “ปรองดองแบบขี้ขลาด” เพราะเป็นการปรองดองเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ปรองดองเพื่อให้ตัวเองและพรรคการเมืองของตนและพรรคการเมืองที่อยู่ร่วมกับตน “ได้” ในสิ่งที่ “ต้องการ” เป็นการปรองดองเพื่อประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน เป็นการปรองดองที่ไม่ได้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่กล้า “หักหาญ”
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า “ไม่ถูกต้อง” เพราะหาก “หักหาญ” เมื่อใด รัฐบาลก็จะถึงจุดจบทันทีครับ การปรองดองแบบขี้ขลาดจึงเป็นการปรองดองที่ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อประเทศชาติและประชาชนเลยครับ !!!
---------------------------------------------------------------------------
"ประจวบ-ประชัย"ให้การคดียุบปชป.
ข่าวสดรายวัน
รายงานพิเศษ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำโดย นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานฝ่ายผู้ร้อง 3 ปาก ในคดีที่ กกต. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ คดีใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ กรณีนำเงินไปใช้ทำป้ายโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง
ประกอบด้วย นายคณาปติ หรือประจวบ สังข์ขาว ผู้บริหารบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) และน.ส.วไลลักษณ์ ประสงค์ ภรรยานายประจวบ โดยมีทนายฝ่ายผู้ร้องคือกกต. และฝ่ายผู้ถูกร้องคือนายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ซักค้าน มีเนื้อหาดังนี้
ประจวบ สังข์ขาว
ผู้บริหารบริษัท เมซไซอะฯ
เมื่อต้นปี 2547 ได้รับทำป้ายหาเสียงให้กับ นายนวพล บุญญามณี น้องชายของ นายนิพนธ์ บุญญามณี รวมทั้งยังรับทำประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัท ทีพีไอ โพลีนฯ จำนวน 8 โครงการ แต่ยอมรับว่างานที่รับมาทั้งหมดไม่สามารถทำได้ทัน จึงต้องจ้างบริษัทซัพพลายเออร์รับช่วงต่อไป ระหว่างนั้นมีการโอนเงินไปให้ผู้อื่น อาทิ ญาติพี่น้องของตนเอง 63 ล้านบาท กลุ่มของนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ 41 ล้านบาท และกลุ่มของนายนิพนธ์ 46 ล้านบาท รวมถึงโอนให้ธุรกิจโฆษณา 34 ล้านบาทด้วย
ทนาย กกต. - บริษัท เมซไซอะฯ มีรายได้มากขึ้นอย่างผิดสังเกต ในปี 2544 มีรายได้ 9.3 ล้านบาท ปี 2545 มี 6.5 ล้านบาท ปี 2546 มี 8.2 ล้านบาท แต่ปี 2547 เพิ่มขึ้นเป็น 152 ล้านบาท และปี 2548 มีรายได้ 147 ล้านบาท และกลุ่มคนที่นายประจวบ โอนเงินไปให้ก็ไม่ได้เป็นหนี้นายประจวบ
ประจวบ - ในส่วนที่เป็นของญาติ ได้โอนเงินให้ไป เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในการทำธุรกิจ
ทนาย กกต. - นายประจวบ เป็นหนี้จนถึงต้องถูกยึดบ้าน แต่เมื่อได้รับเงินค่าจ้างโฆษณาจำนวนมาก เหตุใดไม่นำไปใช้หนี้แต่กลับโอนให้ผู้อื่น รวมทั้งนำเงินส่วนใดไปจัดซื้ออุปกรณ์ทำป้าย
ประจวบ - เป็นเรื่องของธุรกิจในการหมุนเวียนเงิน หากการทำงานให้บริษัททีพีไอฯ แล้วมีกำไร คงไม่ถูกยึดบ้าน ส่วนบริษัท ไชยเชาวโรจน์ บริษัท พีซีจี และบริษัท สินพัฒนาเอเชี่ยน เอนเตอร์ไพรส์ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ และมีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายเช็คและออกใบเสร็จนั้น ผมไม่ทราบว่าบริษัททั้ง 3 แห่งมีปัญหา และถูกกรมสรรพากรยกเลิกการออกใบกำกับภาษีไปแล้ว
ทนาย กกต. - เคยเข้าไปทำงานในพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
ประจวบ - เคยไปทำงานที่ชั้นล่างของพรรคเพื่อทำป้าย โดยมีนายธงชัย ดลศรีชัย ญาตินายประดิษฐ์ เป็นผู้จัดการเรื่องสถานที่ให้
ทนาย กกต. - นายประจวบ มีเรื่องโกรธเคืองกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
ประจวบ - ผมรักทุกคน
บัณฑิต - นายประจวบ นำเอกสารไปมอบให้กับ ส.ต.อ.ทชภณ พรหมจันทร์ ผู้ร้องเรียนคดีต่อดีเอสไอ โดยส.ต.อ.ทชภณ บอกจะนำไปมอบให้กับนายประดิษฐ์ เพื่อเรียกเงินหลายล้านบาทตามที่นายตำรวจคนหนึ่งแนะนำใช่หรือไม่
ประจวบ - จำไม่ได้
บัณฑิต - เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2552 นายประจวบ ได้ไปพบนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่กระทรวงมหาดไทยใช่หรือไม่
ประจวบ - ได้ไปพบจริง แต่ไปพบหลายคนและจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
บัณฑิต - คดีดังกล่าวเกิดจากพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย อดีตรองอธิบดีดีเอสไอ รู้เรื่องจากส.ต.อ.ทชภณ และขอให้พานายประจวบไปพบ โดยการไปดีเอสไอครั้งแรก พ.ต.อ.สุชาติ ได้เข้ามาจับมือและบอกให้เป็นเพื่อนกัน และบอกให้การ พาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์เพื่อจะได้ดำเนินการ และนายประจวบบอกว่ามีปัญหาบ้านจะถูกธนาคารยึดและขอเงิน 5 ล้านบาทนำไปไถ่บ้านแล้วจะช่วย ซึ่งพ.ต.อ.สุชาติตกลง และขอให้นายประจวบให้การไปก่อน จากนั้นจะพาไปหลบซ่อนในเซฟเฮาส์ที่พัทยา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือไม่
ประจวบ - ไม่ขอตอบ เนื่องจากจะไปพาดพิงบุคคล ที่สาม แต่ยอมรับว่าได้พบพ.ต.อ.สุชาติและได้จับมือกัน โดยขอให้เป็นเพื่อน
บัณฑิต - จากคำให้การกับดีเอสไอระบุว่าได้รู้จักกับนายนิพนธ์ นายประดิษฐ์ และนายประชัย โดยไปพบกันที่โรงแรมเพรสซิเดนท์ แต่พอปรากฏเป็นข่าวนายประดิษฐ์และนายนิพนธ์ ยืนยันไม่ได้ไปพบ
ประจวบ - เขาบอกให้ให้การอย่างนั้น
บัณฑิต - เขาเป็นใคร
ประจวบ - ขอไม่ตอบ
บัณฑิต - เมื่อรับงานมาแล้วและมีการโอนเงินไปให้คนใกล้ชิด เนื่องจากกลัวว่าเจ้าหนี้จะมายึดทรัพย์ใช่หรือไม่ เพราะมีเจ้าหนี้เยอะ
ประจวบ - ไม่ขอตอบ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว
บัณฑิต - นายประจวบ นับถือพล.ต.มนูญกฤต รูปขจร จนเรียกว่าพ่อ และรู้จักกับร.ต.อ.อรรถกวี ขุนพินิจ นายตำรวจติดตาม พล.ต.มนูญกฤต ทั้งสองแนะนำให้ไปพบกับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องนี้ คือก่อนวันที่ 20 มี.ค.2552 ซึ่งมีโอกาสพบร.ต.อ.เฉลิมถึง 2 ครั้ง เนื้อหาอภิปรายส่วนหนึ่งได้มาจากนายประจวบ นำเอกสารของดีเอสไอไปให้
ประจวบ - ไม่ขอตอบ เพราะไม่อยากพาดพิงบุคคลที่สาม
บัณฑิต - นายประจวบ เป็นหนี้ธนาคารกรุงไทย 4 ล้านบาท จนถูกยึดบ้านที่ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี กระทั่งหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 เดือน วันที่ 28 พ.ค. 2552 ร.ต.อ.อรรถกวี ไปซื้อบ้านหลังดังกล่าวในราคา 4 ล้านบาทให้นายประจวบพักอาศัย ในเมื่อไม่เคยมีบุญคุณต่อกัน เหตุใดจึงซื้อบ้านคืนมาให้อยู่ หรือเป็นเงินที่ได้มาจากฝ่ายค้านที่ให้ตอบแทน
ประจวบ - ผมไม่แน่ใจว่าเงินมาจากไหน และไม่ขอตอบ แต่ที่ทราบในปัจจุบันบ้านหลังดังกล่าวก็ยังติดหนี้ธนาคารอยู่ การที่ร.ต.อ.อรรถกวีไปซื้อบ้าน เนื่องจากผมไปบอกว่าบ้านไม่ควรถูกขายในราคาแค่ 4 ล้านบาท เพราะผมตกแต่งบ้านไปกว่า 3 ล้านบาท ดังนั้น บ้านน่าจะมีราคาอยู่ที่ 7 ล้านบาท จึงบอกว่าหากร.ต.อ.อรรถกวี พอจะมีปัญญา ขอให้ช่วยซื้อเก็บไว้ให้หน่อย หากผมมีเงินก็จะซื้อคืน แต่หากผมไม่มีเงิน บ้านจะยังเป็นของร.ต.อ.อรรถกวี และวันที่มีการขายทอดตลาด ผมได้เดินทางไปกับร.ต.อ.อรรถกวี
บัณฑิต - ร.ต.อ.อรรถกวี ไปจัดตั้งพรรคประชาธิวัฒน์ ที่มีชื่อใกล้เคียงกับพรรคประชาธิปัตย์ ร.ต.อ.อรรถกวีเคยเล่าให้ฟังหรือไม่ว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ พล.ต. มนูญกฤต จะมาเป็นหัวหน้าพรรค
ประจวบ - ไม่ขอตอบ เพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัททีพีไอฯ
ในบริษัท ทีพีไอ โพลีนฯ ผมมีอำนาจในการลงนามและดำเนินการ ถึงแม้จะไม่มีกำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับของบริษัท แต่โดยธรรมเนียมการค้าก็ทำกันอย่างนี้ รวมถึงทำสัญญากับต่างชาติก็ทำกันเช่นนี้ และถือว่ามีผลผูกพัน อีกทั้งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไม่เคยมาขอตรวจสอบ แต่หากเป็นสัญญากับหน่วยงานรัฐ จำเป็นต้องนำเข้าที่ประชุมหรือมีกรรมการ 2 คนลงนามร่วม ทำเช่นนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว และที่ปรึกษากฎหมายบอกว่าทำได้โดยได้ยื่นคำพิพากษาศาลฎีกาที่เคยพิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐาน
สำหรับการว่าจ้างบริษัทเมซไซอะฯ ผมลงนามเพียงคนเดียวตามคำแนะนำของนายศิลปิน บูรณศิลปิน รองผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ โดยไม่เคยตรวจสอบว่าบริษัทเมซไซอะฯ มีปัญหาหรือไม่ เพราะเชื่อใจนายศิลปิน ซึ่งเป็นผู้จัดการเรื่องการประชาสัมพันธ์
แม้กระทั่งเรื่องที่ทีพีไอฯ ไม่สั่งปรับเมซไซอะฯ ที่ส่งมอบงานมูลค่า 65 ล้านบาทไม่ทัน เพราะนายศิลปินเสนอว่าไม่ได้ทำให้บริษัทเสียหาย ผมจึงไม่นำเข้าที่ประชุม
ยืนยันว่าผมไม่เคยรู้จักกับนายประจวบมาก่อน และเพิ่งมารู้จักที่ห้องพยานที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้
ส่วนนายประดิษฐ์ และนักการเมืองคนอื่นรู้จักขณะที่ผมดำรงตำแหน่งส.ว. และเมื่อครั้งที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผมไปแสดงความยินดีเพื่อเรียกร้องให้พรรคยกเลิกกฎหมาย 11 ฉบับที่ขายชาติ และไปพบกับหัวหน้าพรรคอื่นอีกหลายพรรค
ก่อนหน้านี้ที่ไม่เดินทางมาให้การในชั้น กกต.หรือดีเอสไอ เนื่องจากไม่ไว้ใจ โดยเฉพาะดีเอสไอที่มีพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นอธิบดี เพราะถือว่ารับใช้ระบอบทักษิณ และเป็นลูกน้องของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ทนาย กกต. - มีเหตุโกรธเคืองกับพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
ประชัย - ผมถือว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรุ่นน้อง ผมเรียนที่อัสสัมชัญ กทม. และพ.ต.ท.ทักษิณ เรียนโรงเรียนในเครือ อัสสัมชัญ ที่ จ.เชียงใหม่ แต่จิตใจของเขาอาจจะไม่ปกติ
-----------------------------------------------------------------------------
รายงานพิเศษ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำโดย นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานฝ่ายผู้ร้อง 3 ปาก ในคดีที่ กกต. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ คดีใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ กรณีนำเงินไปใช้ทำป้ายโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง
ประกอบด้วย นายคณาปติ หรือประจวบ สังข์ขาว ผู้บริหารบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) และน.ส.วไลลักษณ์ ประสงค์ ภรรยานายประจวบ โดยมีทนายฝ่ายผู้ร้องคือกกต. และฝ่ายผู้ถูกร้องคือนายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ซักค้าน มีเนื้อหาดังนี้
ประจวบ สังข์ขาว
ผู้บริหารบริษัท เมซไซอะฯ
เมื่อต้นปี 2547 ได้รับทำป้ายหาเสียงให้กับ นายนวพล บุญญามณี น้องชายของ นายนิพนธ์ บุญญามณี รวมทั้งยังรับทำประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัท ทีพีไอ โพลีนฯ จำนวน 8 โครงการ แต่ยอมรับว่างานที่รับมาทั้งหมดไม่สามารถทำได้ทัน จึงต้องจ้างบริษัทซัพพลายเออร์รับช่วงต่อไป ระหว่างนั้นมีการโอนเงินไปให้ผู้อื่น อาทิ ญาติพี่น้องของตนเอง 63 ล้านบาท กลุ่มของนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ 41 ล้านบาท และกลุ่มของนายนิพนธ์ 46 ล้านบาท รวมถึงโอนให้ธุรกิจโฆษณา 34 ล้านบาทด้วย
ทนาย กกต. - บริษัท เมซไซอะฯ มีรายได้มากขึ้นอย่างผิดสังเกต ในปี 2544 มีรายได้ 9.3 ล้านบาท ปี 2545 มี 6.5 ล้านบาท ปี 2546 มี 8.2 ล้านบาท แต่ปี 2547 เพิ่มขึ้นเป็น 152 ล้านบาท และปี 2548 มีรายได้ 147 ล้านบาท และกลุ่มคนที่นายประจวบ โอนเงินไปให้ก็ไม่ได้เป็นหนี้นายประจวบ
ประจวบ - ในส่วนที่เป็นของญาติ ได้โอนเงินให้ไป เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในการทำธุรกิจ
ทนาย กกต. - นายประจวบ เป็นหนี้จนถึงต้องถูกยึดบ้าน แต่เมื่อได้รับเงินค่าจ้างโฆษณาจำนวนมาก เหตุใดไม่นำไปใช้หนี้แต่กลับโอนให้ผู้อื่น รวมทั้งนำเงินส่วนใดไปจัดซื้ออุปกรณ์ทำป้าย
ประจวบ - เป็นเรื่องของธุรกิจในการหมุนเวียนเงิน หากการทำงานให้บริษัททีพีไอฯ แล้วมีกำไร คงไม่ถูกยึดบ้าน ส่วนบริษัท ไชยเชาวโรจน์ บริษัท พีซีจี และบริษัท สินพัฒนาเอเชี่ยน เอนเตอร์ไพรส์ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ และมีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายเช็คและออกใบเสร็จนั้น ผมไม่ทราบว่าบริษัททั้ง 3 แห่งมีปัญหา และถูกกรมสรรพากรยกเลิกการออกใบกำกับภาษีไปแล้ว
ทนาย กกต. - เคยเข้าไปทำงานในพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
ประจวบ - เคยไปทำงานที่ชั้นล่างของพรรคเพื่อทำป้าย โดยมีนายธงชัย ดลศรีชัย ญาตินายประดิษฐ์ เป็นผู้จัดการเรื่องสถานที่ให้
ทนาย กกต. - นายประจวบ มีเรื่องโกรธเคืองกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
ประจวบ - ผมรักทุกคน
บัณฑิต - นายประจวบ นำเอกสารไปมอบให้กับ ส.ต.อ.ทชภณ พรหมจันทร์ ผู้ร้องเรียนคดีต่อดีเอสไอ โดยส.ต.อ.ทชภณ บอกจะนำไปมอบให้กับนายประดิษฐ์ เพื่อเรียกเงินหลายล้านบาทตามที่นายตำรวจคนหนึ่งแนะนำใช่หรือไม่
ประจวบ - จำไม่ได้
บัณฑิต - เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2552 นายประจวบ ได้ไปพบนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่กระทรวงมหาดไทยใช่หรือไม่
ประจวบ - ได้ไปพบจริง แต่ไปพบหลายคนและจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
บัณฑิต - คดีดังกล่าวเกิดจากพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย อดีตรองอธิบดีดีเอสไอ รู้เรื่องจากส.ต.อ.ทชภณ และขอให้พานายประจวบไปพบ โดยการไปดีเอสไอครั้งแรก พ.ต.อ.สุชาติ ได้เข้ามาจับมือและบอกให้เป็นเพื่อนกัน และบอกให้การ พาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์เพื่อจะได้ดำเนินการ และนายประจวบบอกว่ามีปัญหาบ้านจะถูกธนาคารยึดและขอเงิน 5 ล้านบาทนำไปไถ่บ้านแล้วจะช่วย ซึ่งพ.ต.อ.สุชาติตกลง และขอให้นายประจวบให้การไปก่อน จากนั้นจะพาไปหลบซ่อนในเซฟเฮาส์ที่พัทยา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือไม่
ประจวบ - ไม่ขอตอบ เนื่องจากจะไปพาดพิงบุคคล ที่สาม แต่ยอมรับว่าได้พบพ.ต.อ.สุชาติและได้จับมือกัน โดยขอให้เป็นเพื่อน
บัณฑิต - จากคำให้การกับดีเอสไอระบุว่าได้รู้จักกับนายนิพนธ์ นายประดิษฐ์ และนายประชัย โดยไปพบกันที่โรงแรมเพรสซิเดนท์ แต่พอปรากฏเป็นข่าวนายประดิษฐ์และนายนิพนธ์ ยืนยันไม่ได้ไปพบ
ประจวบ - เขาบอกให้ให้การอย่างนั้น
บัณฑิต - เขาเป็นใคร
ประจวบ - ขอไม่ตอบ
บัณฑิต - เมื่อรับงานมาแล้วและมีการโอนเงินไปให้คนใกล้ชิด เนื่องจากกลัวว่าเจ้าหนี้จะมายึดทรัพย์ใช่หรือไม่ เพราะมีเจ้าหนี้เยอะ
ประจวบ - ไม่ขอตอบ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว
บัณฑิต - นายประจวบ นับถือพล.ต.มนูญกฤต รูปขจร จนเรียกว่าพ่อ และรู้จักกับร.ต.อ.อรรถกวี ขุนพินิจ นายตำรวจติดตาม พล.ต.มนูญกฤต ทั้งสองแนะนำให้ไปพบกับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องนี้ คือก่อนวันที่ 20 มี.ค.2552 ซึ่งมีโอกาสพบร.ต.อ.เฉลิมถึง 2 ครั้ง เนื้อหาอภิปรายส่วนหนึ่งได้มาจากนายประจวบ นำเอกสารของดีเอสไอไปให้
ประจวบ - ไม่ขอตอบ เพราะไม่อยากพาดพิงบุคคลที่สาม
บัณฑิต - นายประจวบ เป็นหนี้ธนาคารกรุงไทย 4 ล้านบาท จนถูกยึดบ้านที่ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี กระทั่งหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 เดือน วันที่ 28 พ.ค. 2552 ร.ต.อ.อรรถกวี ไปซื้อบ้านหลังดังกล่าวในราคา 4 ล้านบาทให้นายประจวบพักอาศัย ในเมื่อไม่เคยมีบุญคุณต่อกัน เหตุใดจึงซื้อบ้านคืนมาให้อยู่ หรือเป็นเงินที่ได้มาจากฝ่ายค้านที่ให้ตอบแทน
ประจวบ - ผมไม่แน่ใจว่าเงินมาจากไหน และไม่ขอตอบ แต่ที่ทราบในปัจจุบันบ้านหลังดังกล่าวก็ยังติดหนี้ธนาคารอยู่ การที่ร.ต.อ.อรรถกวีไปซื้อบ้าน เนื่องจากผมไปบอกว่าบ้านไม่ควรถูกขายในราคาแค่ 4 ล้านบาท เพราะผมตกแต่งบ้านไปกว่า 3 ล้านบาท ดังนั้น บ้านน่าจะมีราคาอยู่ที่ 7 ล้านบาท จึงบอกว่าหากร.ต.อ.อรรถกวี พอจะมีปัญญา ขอให้ช่วยซื้อเก็บไว้ให้หน่อย หากผมมีเงินก็จะซื้อคืน แต่หากผมไม่มีเงิน บ้านจะยังเป็นของร.ต.อ.อรรถกวี และวันที่มีการขายทอดตลาด ผมได้เดินทางไปกับร.ต.อ.อรรถกวี
บัณฑิต - ร.ต.อ.อรรถกวี ไปจัดตั้งพรรคประชาธิวัฒน์ ที่มีชื่อใกล้เคียงกับพรรคประชาธิปัตย์ ร.ต.อ.อรรถกวีเคยเล่าให้ฟังหรือไม่ว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ พล.ต. มนูญกฤต จะมาเป็นหัวหน้าพรรค
ประจวบ - ไม่ขอตอบ เพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัททีพีไอฯ
ในบริษัท ทีพีไอ โพลีนฯ ผมมีอำนาจในการลงนามและดำเนินการ ถึงแม้จะไม่มีกำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับของบริษัท แต่โดยธรรมเนียมการค้าก็ทำกันอย่างนี้ รวมถึงทำสัญญากับต่างชาติก็ทำกันเช่นนี้ และถือว่ามีผลผูกพัน อีกทั้งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไม่เคยมาขอตรวจสอบ แต่หากเป็นสัญญากับหน่วยงานรัฐ จำเป็นต้องนำเข้าที่ประชุมหรือมีกรรมการ 2 คนลงนามร่วม ทำเช่นนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว และที่ปรึกษากฎหมายบอกว่าทำได้โดยได้ยื่นคำพิพากษาศาลฎีกาที่เคยพิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐาน
สำหรับการว่าจ้างบริษัทเมซไซอะฯ ผมลงนามเพียงคนเดียวตามคำแนะนำของนายศิลปิน บูรณศิลปิน รองผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ โดยไม่เคยตรวจสอบว่าบริษัทเมซไซอะฯ มีปัญหาหรือไม่ เพราะเชื่อใจนายศิลปิน ซึ่งเป็นผู้จัดการเรื่องการประชาสัมพันธ์
แม้กระทั่งเรื่องที่ทีพีไอฯ ไม่สั่งปรับเมซไซอะฯ ที่ส่งมอบงานมูลค่า 65 ล้านบาทไม่ทัน เพราะนายศิลปินเสนอว่าไม่ได้ทำให้บริษัทเสียหาย ผมจึงไม่นำเข้าที่ประชุม
ยืนยันว่าผมไม่เคยรู้จักกับนายประจวบมาก่อน และเพิ่งมารู้จักที่ห้องพยานที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้
ส่วนนายประดิษฐ์ และนักการเมืองคนอื่นรู้จักขณะที่ผมดำรงตำแหน่งส.ว. และเมื่อครั้งที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผมไปแสดงความยินดีเพื่อเรียกร้องให้พรรคยกเลิกกฎหมาย 11 ฉบับที่ขายชาติ และไปพบกับหัวหน้าพรรคอื่นอีกหลายพรรค
ก่อนหน้านี้ที่ไม่เดินทางมาให้การในชั้น กกต.หรือดีเอสไอ เนื่องจากไม่ไว้ใจ โดยเฉพาะดีเอสไอที่มีพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นอธิบดี เพราะถือว่ารับใช้ระบอบทักษิณ และเป็นลูกน้องของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ทนาย กกต. - มีเหตุโกรธเคืองกับพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
ประชัย - ผมถือว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรุ่นน้อง ผมเรียนที่อัสสัมชัญ กทม. และพ.ต.ท.ทักษิณ เรียนโรงเรียนในเครือ อัสสัมชัญ ที่ จ.เชียงใหม่ แต่จิตใจของเขาอาจจะไม่ปกติ
-----------------------------------------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
"ดร.สมบัติ " ประธานแก้ไขรัฐธรรมนูญ... เราไม่ได้สนว่าใครจะได้ประโยชน์
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ดร. อมร จันทรสมบูรณ์ กูรูใหญ่กฎหมายมหาชน กล่าวไว้ว่า หลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ประเทศไทยมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2540 และปี 2550 ซึ่งจะพบว่า ผู้ที่อาสาเข้ามา "ปฏิรูปประเทศ" ให้คนไทยในขณะนี้ พ.ศ. 2553 ไม่ว่าจะเป็น นักการเมืองนายทุนที่มาจากการเลือกตั้งก็ดี หรือชนชั้นนำ - Elite ที่ไม่ใช่นักการเมืองก็ดี ก็ดูเหมือนว่า ล้วนเป็น " บุคคลเดิม ๆ" ที่ได้สร้างระบบนี้ให้คนไทย และรักษาระบบนี้ไว้ เป็นเวลา 17 ปีมาแล้วนั่นเอง
ถ้าหาก “ชนชั้นนำ”ของประเทศไทย อันประกอบด้วย นักการเมือง , นักกฎหมายและนักวิชาการ , Elite ที่ไม่ใช่นักการเมือง ยังอยู่ในสภาพเช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ ประเทศไทยจะปฏิรูปประเทศ และทำความปรองดองให้เกิดขึ้นได้
แต่ นักรัฐศาสตร์ ชื่อ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในฐานะ"ประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมาย" ไม่คิดเช่นนั้น เขาเชื่อว่า การแก้ไขปรับปรุง รัฐธรรมนูญปี 2550 บางมาตรา ยังดีกว่า ไม่ทำอะไรเสียเลย
"เราไม่สามารถจะไปกำหนดให้ตรงใจใครได้ แต่เราคิดว่าหลักการที่ควรจะเป็น มันเป็นอย่างไร และอนาคตมันควรจะเป็นอย่างไร"
ปลายสิงหาคม ที่ผ่านมา ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ให้สัมภาษณ์ ดังนี้
เค้าโครงการแก้ไข รธน.ของคณะกรรมการเริ่มออกมาแล้ว
เริ่มตั้งแต่ประเด็นแรก มาตรา 190 ว่าด้วยการทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศ ซึ่งทางคณะกรรมการสมานฉันท์เห็นควรจะแก้ไข โดยเพิ่มคำว่าประเภทและกรอบการเจรจาเข้าไป ทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะข้อความเดิมทำให้การปฏิบัติเป็นไปได้ยาก ก็เลยกำหนดว่าให้เป็นไปตามที่กฎหมายลูกกำหนด เพื่อให้กำหนดเรื่องเข้าสู่สภาได้ชัดเจน ว่าเรื่องอะไรที่ต้องเข้า เรื่องอะไรไม่ต้องเข้าสภา
ขณะนี้ทุกเรื่องรัฐบาลไม่กล้าหมดเลย เพราะกลัวจะโดนฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้เชื่อว่าทุกพรรคการเมืองจะเห็นด้วยหมด เพราะพรรคไหนมาเป็นรัฐบาลก็มีปัญหาเหมือนกันหมด
เรื่องที่มาของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ส.ส.เขต
มาตรา 93-98 ว่าด้วยที่มาของ ส.ส. เราคิดว่าจำนวน 500 ก็น่าจะเหมาะแล้ว แต่ก็มีความเห็นว่า ถ้าไปลด ส.ส.เขตน้อยลง ส.ส.ก็จะไม่ยอม เราก็ปรับจาก 1 ใน 5 มาเป็น 1 ใน 4 ก็คือ 125 คน เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ ส่วน ส.ส. จากการเลือกตั้ง ก็เป็น 375 ลดไป 25 คน เขาอาจจะพอรับได้ แล้วก็ 25 คนที่ลดไม่ตัดทิ้ง เอาไปเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็เชื่อว่า ส.ส.น่าจะพอรับได้ หลักการตรงนี้จะทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ คือไม่ใช่นักเลือกตั้ง เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะการบริหารการจัดการ จะเป็นองค์ประกอบทำให้พรรคมีความสมบูรณ์มากขึ้น เราก็มองตรงนี้ จึงตัดสินใจเอาเขตประเทศ ไม่แบ่งเขตเป็นภาค
เรื่องเขตเลือกตั้ง เขตใหญ่-เขตเล็ก
ที่ถกเถียงกันมากว่า ส.ส.เขต จะแบ่งเป็นเขตใหญ่หรือเขตเล็ก หลักการสำคัญทั่วโลกที่เราไปดู คือหลัก 1 man 1 vote การเลือกผู้แทน ต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมกันของประชาชน จึงแก้เป็นเขตเดียว เบอร์เดียว เพราะฉะนั้น ถ้าจะไปเอาหลักเรื่องของการซื้อขายเสียง ไม่ว่าเขตเล็กหรือเขตใหญ่ ในประเทศไทยซื้อทั้งสิ้น หลักเขตเดียว คนเดียวนี้ เป็นหลักสากล และจะสอดคล้องกับแนวโน้มของการเลือกตั้งของโลก และการให้มีการจัดการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว เช่น ภายใน 30 วัน ทำให้เขตใหญ่เลือกตั้งเร็วไม่ได้ ยิ่งเขตใหญ่ ก็ยิ่งใช้เงินเยอะ เพราะพื้นที่มันกว้าง
เรื่อง ส.ว.และที่มา จะเลือกตั้ง หรือสรรหา
มาตรา 111-121 ที่ประชุมเห็นว่ารูปแบบผสมแบบ 2550 ก็ไม่ขัดต่อหลักการเลือกตั้งส่วนหนึ่ง สรรหาส่วนหนึ่ง ส่วนจำนวนยัง 150 เหมือนเดิม ยังมีคนให้ข้อมูลว่า ส.ว.ที่มาจากการสรรหา ทำงานแข็งขันกว่า ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง คณะกรรมการก็เห็นด้วย อยากให้คง ส.ว.ที่มาจากการสรรหาต่อไป แต่มีข้อวิพากษ์ มีความเห็นว่าเป็นจุดอ่อนของ ส.ว.สรรหา ก็คือคณะกรรมการสรรหา 7 คน มาทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งประเทศ เราก็เลยกำหนดว่า กรรมการน่าจะมาจากที่ประชุมใหญ่ ศาลฎีกาให้เลือกกันเอง 5 คน ให้ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง องค์กรอิสระ มาจากองค์กรละ 1 คน แล้วมีองค์กรวิชาชีพตามกฎหมาย เช่น แพทยสภา, สภาพยาบาล, เภสัชสภา, สภาสถาปนิก, สภาทนายความ แห่งละ 1 คน มีศาสตราจารย์ เลือกกันเองมา 10 คน คาดว่าจะมีประมาณ 40 กว่าคน
ประเด็นที่ว่าด้วยการทำหน้าที่ของ ส.ส.ในฝ่ายบริหาร
มาตรา 265-266 เราก็เห็นว่าไม่แก้ ตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์เสนอว่าให้ ส.ส.มาทำหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีได้ ทางกรรมการพิจารณากันแล้วเห็นว่า การทำงานน่าจะยึดหลักแบ่งแยกอำนาจ ระหว่างนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร เพราะดูจากการทำงานของ ส.ส.ในปัจจุบัน ก็มีปัญหาข้อบกพร่องในสภาเยอะ ประชุมในสภา ก็ทำสภาล่ม มาตรา 266 ที่บอกว่า ถ้าให้ ส.ส.ไปติดตามงานจากหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐได้ มันจะมีข้อกำหนดว่า ห้าม ส.ส.ไปแทรกแซงการทำงานของรัฐ เราก็เห็นด้วย แต่ยกเว้นว่า เรื่องที่มีประชาชนเดือดร้อนและมาร้องเรียน ให้ ส.ส.สามารถนำเรื่องบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบของรัฐให้ดำเนินการได้
มาตราที่ว่าด้วยการยุบพรรค จะแก้อย่างไร
มาตรา 237 เราเข้าใจเจตนารมณ์ที่อยากจะให้เป็นการป้องปรามว่า พรรคต้องระวัง ถ้ามีการซื้อเสียง คุณจะถูกยุบ แต่ปรากฏว่า พอเอามาใช้ นึกว่าคนจะกลัว แต่คนไม่กลัว หลายพรรคจึงถูกยุบไปหมด ขณะนี้พรรคสำคัญ ๆ กำลังจะจ่อคิว โดนยุบไปหมดเลย แล้วถามว่า ยุบแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ดีขึ้นบ้าง คำตอบ คือไม่มี เพราะพรรคนั้น ก็รวมตัวกันตั้งนอมินีใหม่ ตั้งชื่อใหม่ เราก็มีชื่อพรรคการเมืองที่ประหลาด ๆ เยอะแยะไปหมดเลย การยุบพรรคบ่อย ๆ เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อกระบวนการพัฒนาทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตย จึงให้ลงโทษเฉพาะตัวคนที่ทำผิด ถ้าผู้สมัครกระทำผิด ก็ให้ถอนสิทธิผู้สมัคร 5 ปี ถ้ากรรมการบริหารกระทำการ หรือมีส่วนรู้เห็นในการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ให้ลงโทษกรรมการบริหาร โดยตัดสิทธิ์ 10 ปี ถ้าหัวหน้าพรรคการเมืองที่กระทำการหรือมีส่วนรู้เห็นในการกระทำการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้งเพื่อให้ได้รับชัยชนะ ให้ตัดสิทธิ์ 15 ปี
ต้องออกจากการเมืองไปเลย
ใช่...ต้องให้เป็นอย่างนั้น แต่พรรคยังอยู่ แล้วเอาตัวคนออกไป ถ้าคิดไม่ดี ต้องเลิกเล่นการเมือง เราเน้นตัวบุคคลที่ทำผิด แต่รักษาพรรคไว้ ไม่งั้น คนไม่กี่คนทำผิด แต่มีสมาชิกเป็นล้าน ต้องถูกยุบสลายพรรคไปด้วย
กระบวนการหลังจากแก้ไขเสร็จแล้ว
ทั้ง 6 ประเด็นเป็นข้อสรุปเบื้องต้น ในวันที่ 3 กันยายน จะมากรองกันทั้งหมดอีกทีหนึ่ง เสร็จแล้ว เราจะเอาไปส่งให้สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจความเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ ว่ามีความเห็นอย่างไร ต้นเดือนตุลาคม ได้รับผลกลับมา เราก็จะเอามาประมวลใหม่ แล้วเสนอรัฐบาลเลย เรารีบทำ อีกส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องการเสริมสร้างความเข้มแข็งของการเมืองระบอบประชาธิปไตย เราก็จะเสนอภาพรวมระยะยาว ว่าควรจะแก้อย่างไร เสนอไว้เป็นแนวทางให้คนในสังคมถกเถียงกัน
เนื้อหาระยะยาวที่จะเสนอเป็นแนว จะครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง
เราเห็นว่ารูปแบบขั้วอำนาจหรือระบบรัฐสภาที่ใช้อยู่นี้อ่อนแอ ไม่มีเสถียรภาพ ถ้ารัฐบาลมีเสถียรภาพมากแบบคุณทักษิณ ก็กลายเป็นเผด็จการ พอไม่มีเสถียรภาพแบบคุณอภิสิทธิ์ ก็มีการป่วนเมืองอยู่ตลอดเวลา การทำงานในสภา ก็มีการป่วนตลอดเวลา หาความสงบร่มเย็นไม่ได้เลย
นักการเมือง ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลการแก้รัฐธรรมนูญโดยตรง เขาจะมีส่วนร่วมอย่างไร
เขาก็ให้ความเห็นมา หรือโทรศัพท์เข้ามาก็ได้ คือคณะกรรมการสมานฉันท์ ก็เป็นผลผลิตของพรรคการเมืองอยู่แล้ว ฉะนั้น จะบอกว่าเราไม่ฟังนักการเมืองไม่ได้
นักการเมืองจะรู้สึกว่าบทลงโทษพุ่งไปที่เขาเป็นหลัก
ก็ต้องแลกกัน คุณจะให้ยุบพรรค หรือคุณจะให้ลงโทษคน ถ้าคุณบอกว่าพรรคก็ไม่ให้ยุบ คนก็ได้รับการลงโทษเบา แล้วใครเขาจะเอา คุณก็อย่าทำผิดสิ คุณบอกโทษมันแรง คุณก็อย่าทำผิดสิ ก็ไม่มีโทษแล้ว กลัวอะไรใช่ไหม โทษเบา มันจูงใจให้คุณทำผิดใช่ไหม
เมื่อก่อนแค่ตัดสิทธิ์ แต่ต่อไปเหมือนประหารชีวิตทางการเมืองไปเลย 15 ปี
ก็ต้องประหารชีวิต (ทางการเมือง) ไปเลย อย่าเอาไว้ คนที่เป็นหัวหน้าพรรค และคิดโกงชาติ โกงแบบนี้ อย่างน้อยพรรคก็อยู่ เราจะให้โอกาสคนโกงทำไม เราไม่ควรให้โอกาสนักการเมืองที่ไม่ดี ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สำหรับนักการเมืองที่ไม่ดี เรารู้ว่าขี้โกง แล้วจะให้เป็นหัวหน้าอีกเหรอ หาคนดีกว่านี้เป็นหัวหน้าไม่ได้แล้วเหรอ
มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าร่างทรงอำมาตย์มาออกแบบรัฐธรรมนูญ
ก็ฟังเขาได้ ใครเขาจะพูดอะไร ก็ต้องฟัง เพราะคนพูดได้ร้อยแปดพันเก้า คุณเป็นคนดี เขาก็ด่าว่าดีเกินไป เรื่องธรรมดาในสังคมแบบนี้ แต่สำหรับผม ถ้าคนวิจารณ์เป็นคน มีต้นทุนทางสังคม เราต้องคิดเยอะ ว่าพลาดไปได้ยังไง แต่ถ้าคนไม่มีต้นทุนทางสังคมมาวิจารณ์ เราก็ถือเป็นเสียงนกเสียงกา ไปใส่ใจมากไม่ได้ คนบางคน ผีเจาะปากมาพูด ฟังมากไม่ได้ ต้องรู้จักคนพูด ว่าควรให้น้ำหนักไหม คือคนชั่วเนี่ย กล้าพูดมากกว่าคนดี และคนร้ายจะกล้าพูดเยอะ คนดี บางทีเขาก็ไม่ค่อยพูดอะไร คนที่ไม่ดี โอ้โห พูดเสียงดังตลอด
ถ้ามีการกดดันนายกฯ ว่ากรรมการชุดนี้เสนอไม่สอดคล้องกับ ปชป.
ถ้าสรุปมาแล้วตรงกับ ปชป.หมด พรรคตรงข้าม ปชป. ก็ต้องบอกว่าเราเป็นลูกไล่ หาว่าพรรค ปชป.ตั้งมา ก็ทำงานให้ ปชป. เป็นการด่าเราโดยไม่ใช้สมอง แต่พอเราทำมาไม่ตรงกับ ปชป. ไปตรงกับเขา เขาได้ประโยชน์ แล้วเขาพูดว่าไงตอนนี้ (หัวเราะ) ไม่ใช่เราไม่รู้ คิดว่าเราโง่เหรอ ถึงไม่ฟังเสียงใครว่า เขาคิดอะไร แต่พอพูดอย่างนี้ มีคนบอกว่า เราไปเข้าข้างพรรคฝ่ายค้าน พวกเสื้อแดงสิ เราก็ไม่ใช่เสื้อแดง (หัวเราะ) เราไม่ได้สนว่าใครจะได้ประโยชน์ เราคิดประโยชน์สำคัญของประเทศ เรื่องยุบพรรค ก็อาจจะมีบางกลุ่มไม่ชอบ เช่น กลุ่มพันธมิตร ไม่อยากให้แก้ เพราะเขาจะชอบให้ยุบพรรค แต่เราก็ไม่ใช่พวกเขา เราไม่ได้ต้องการให้ใครต้องมาชอบเรา เราเป็นนักวิชาการผู้ใหญ่ แต่ละคน ไม่ใช่ว่าใครไปครอบงำเขาได้ แต่ละคนไม่ธรรมดา เขามีเหตุมีผลทั้งนั้น เพราะคำถามของแต่ละท่าน คือให้ทำงานครั้งนี้ คืออิสระไหม ถ้าไม่อิสระ เขาไม่ทำ
คณะกรรมการต้องทำงานท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างหลายสี หลายคนก็บอกว่าเปลืองตัว แต่ก็บอกว่า เราก็อายุปูนนี้ จะไม่ทำอะไรเพื่อชาติกันบ้างเลยเหรอ จะรักษาเนื้อรักษาตัวไปทำไมกัน
จะทันใช้เลือกตั้งคราวหน้าเลยไหม
ถ้ารัฐบาลเขาทำก็ทัน แก้แบบนี้แก้ง่าย ถ้ารัฐบาลเสนอเข้าสภา แล้วคนในสภาเห็นด้วย ก็ใช้เวลาสัก 2 เดือนก็จบ เพราะเวลาแก้ เขาแก้เป็นวาระ เป็นฉบับ ฉบับละเรื่อง ฉบับละมาตรา ว่าเป็นเรื่อง ๆ ไม่ปนกัน ถ้าเรื่องไหนเห็นด้วยก็ผ่าน ถ้าไม่เห็นด้วยก็ตก ก็จะผ่านเป็นเรื่อง ๆ ไป
ถ้าภาวะการเมืองอยู่ในโหมดปกติ คิดว่าการเลือกตั้งคราวหน้าจะได้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่อาจารย์แก้ไข
จริง ๆ ผมไม่อยากเห็นการยุบพรรคที่ทำกันอยู่ ผมว่าเลอะเทอะไป ไม่เป็นประโยชน์กับประเทศ ถึงผมจะไม่ชอบคุณทักษิณ ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมเห็นด้วยกับการไปยุบพรรคไทยรักไทยนะ หลักการก็คือหลักการ ว่าพรรคไม่ควรโดนยุบแบบนี้ ส่วนเรื่องคน ถ้าทำไม่ดี ก็ต้องลงโทษ
*****************************************************************************
ดร. อมร จันทรสมบูรณ์ กูรูใหญ่กฎหมายมหาชน กล่าวไว้ว่า หลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ประเทศไทยมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2540 และปี 2550 ซึ่งจะพบว่า ผู้ที่อาสาเข้ามา "ปฏิรูปประเทศ" ให้คนไทยในขณะนี้ พ.ศ. 2553 ไม่ว่าจะเป็น นักการเมืองนายทุนที่มาจากการเลือกตั้งก็ดี หรือชนชั้นนำ - Elite ที่ไม่ใช่นักการเมืองก็ดี ก็ดูเหมือนว่า ล้วนเป็น " บุคคลเดิม ๆ" ที่ได้สร้างระบบนี้ให้คนไทย และรักษาระบบนี้ไว้ เป็นเวลา 17 ปีมาแล้วนั่นเอง
ถ้าหาก “ชนชั้นนำ”ของประเทศไทย อันประกอบด้วย นักการเมือง , นักกฎหมายและนักวิชาการ , Elite ที่ไม่ใช่นักการเมือง ยังอยู่ในสภาพเช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ ประเทศไทยจะปฏิรูปประเทศ และทำความปรองดองให้เกิดขึ้นได้
แต่ นักรัฐศาสตร์ ชื่อ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในฐานะ"ประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมาย" ไม่คิดเช่นนั้น เขาเชื่อว่า การแก้ไขปรับปรุง รัฐธรรมนูญปี 2550 บางมาตรา ยังดีกว่า ไม่ทำอะไรเสียเลย
"เราไม่สามารถจะไปกำหนดให้ตรงใจใครได้ แต่เราคิดว่าหลักการที่ควรจะเป็น มันเป็นอย่างไร และอนาคตมันควรจะเป็นอย่างไร"
ปลายสิงหาคม ที่ผ่านมา ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ให้สัมภาษณ์ ดังนี้
เค้าโครงการแก้ไข รธน.ของคณะกรรมการเริ่มออกมาแล้ว
เริ่มตั้งแต่ประเด็นแรก มาตรา 190 ว่าด้วยการทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศ ซึ่งทางคณะกรรมการสมานฉันท์เห็นควรจะแก้ไข โดยเพิ่มคำว่าประเภทและกรอบการเจรจาเข้าไป ทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะข้อความเดิมทำให้การปฏิบัติเป็นไปได้ยาก ก็เลยกำหนดว่าให้เป็นไปตามที่กฎหมายลูกกำหนด เพื่อให้กำหนดเรื่องเข้าสู่สภาได้ชัดเจน ว่าเรื่องอะไรที่ต้องเข้า เรื่องอะไรไม่ต้องเข้าสภา
ขณะนี้ทุกเรื่องรัฐบาลไม่กล้าหมดเลย เพราะกลัวจะโดนฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้เชื่อว่าทุกพรรคการเมืองจะเห็นด้วยหมด เพราะพรรคไหนมาเป็นรัฐบาลก็มีปัญหาเหมือนกันหมด
เรื่องที่มาของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ส.ส.เขต
มาตรา 93-98 ว่าด้วยที่มาของ ส.ส. เราคิดว่าจำนวน 500 ก็น่าจะเหมาะแล้ว แต่ก็มีความเห็นว่า ถ้าไปลด ส.ส.เขตน้อยลง ส.ส.ก็จะไม่ยอม เราก็ปรับจาก 1 ใน 5 มาเป็น 1 ใน 4 ก็คือ 125 คน เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ ส่วน ส.ส. จากการเลือกตั้ง ก็เป็น 375 ลดไป 25 คน เขาอาจจะพอรับได้ แล้วก็ 25 คนที่ลดไม่ตัดทิ้ง เอาไปเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็เชื่อว่า ส.ส.น่าจะพอรับได้ หลักการตรงนี้จะทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ คือไม่ใช่นักเลือกตั้ง เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะการบริหารการจัดการ จะเป็นองค์ประกอบทำให้พรรคมีความสมบูรณ์มากขึ้น เราก็มองตรงนี้ จึงตัดสินใจเอาเขตประเทศ ไม่แบ่งเขตเป็นภาค
เรื่องเขตเลือกตั้ง เขตใหญ่-เขตเล็ก
ที่ถกเถียงกันมากว่า ส.ส.เขต จะแบ่งเป็นเขตใหญ่หรือเขตเล็ก หลักการสำคัญทั่วโลกที่เราไปดู คือหลัก 1 man 1 vote การเลือกผู้แทน ต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมกันของประชาชน จึงแก้เป็นเขตเดียว เบอร์เดียว เพราะฉะนั้น ถ้าจะไปเอาหลักเรื่องของการซื้อขายเสียง ไม่ว่าเขตเล็กหรือเขตใหญ่ ในประเทศไทยซื้อทั้งสิ้น หลักเขตเดียว คนเดียวนี้ เป็นหลักสากล และจะสอดคล้องกับแนวโน้มของการเลือกตั้งของโลก และการให้มีการจัดการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว เช่น ภายใน 30 วัน ทำให้เขตใหญ่เลือกตั้งเร็วไม่ได้ ยิ่งเขตใหญ่ ก็ยิ่งใช้เงินเยอะ เพราะพื้นที่มันกว้าง
เรื่อง ส.ว.และที่มา จะเลือกตั้ง หรือสรรหา
มาตรา 111-121 ที่ประชุมเห็นว่ารูปแบบผสมแบบ 2550 ก็ไม่ขัดต่อหลักการเลือกตั้งส่วนหนึ่ง สรรหาส่วนหนึ่ง ส่วนจำนวนยัง 150 เหมือนเดิม ยังมีคนให้ข้อมูลว่า ส.ว.ที่มาจากการสรรหา ทำงานแข็งขันกว่า ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง คณะกรรมการก็เห็นด้วย อยากให้คง ส.ว.ที่มาจากการสรรหาต่อไป แต่มีข้อวิพากษ์ มีความเห็นว่าเป็นจุดอ่อนของ ส.ว.สรรหา ก็คือคณะกรรมการสรรหา 7 คน มาทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งประเทศ เราก็เลยกำหนดว่า กรรมการน่าจะมาจากที่ประชุมใหญ่ ศาลฎีกาให้เลือกกันเอง 5 คน ให้ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง องค์กรอิสระ มาจากองค์กรละ 1 คน แล้วมีองค์กรวิชาชีพตามกฎหมาย เช่น แพทยสภา, สภาพยาบาล, เภสัชสภา, สภาสถาปนิก, สภาทนายความ แห่งละ 1 คน มีศาสตราจารย์ เลือกกันเองมา 10 คน คาดว่าจะมีประมาณ 40 กว่าคน
ประเด็นที่ว่าด้วยการทำหน้าที่ของ ส.ส.ในฝ่ายบริหาร
มาตรา 265-266 เราก็เห็นว่าไม่แก้ ตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์เสนอว่าให้ ส.ส.มาทำหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีได้ ทางกรรมการพิจารณากันแล้วเห็นว่า การทำงานน่าจะยึดหลักแบ่งแยกอำนาจ ระหว่างนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร เพราะดูจากการทำงานของ ส.ส.ในปัจจุบัน ก็มีปัญหาข้อบกพร่องในสภาเยอะ ประชุมในสภา ก็ทำสภาล่ม มาตรา 266 ที่บอกว่า ถ้าให้ ส.ส.ไปติดตามงานจากหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐได้ มันจะมีข้อกำหนดว่า ห้าม ส.ส.ไปแทรกแซงการทำงานของรัฐ เราก็เห็นด้วย แต่ยกเว้นว่า เรื่องที่มีประชาชนเดือดร้อนและมาร้องเรียน ให้ ส.ส.สามารถนำเรื่องบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบของรัฐให้ดำเนินการได้
มาตราที่ว่าด้วยการยุบพรรค จะแก้อย่างไร
มาตรา 237 เราเข้าใจเจตนารมณ์ที่อยากจะให้เป็นการป้องปรามว่า พรรคต้องระวัง ถ้ามีการซื้อเสียง คุณจะถูกยุบ แต่ปรากฏว่า พอเอามาใช้ นึกว่าคนจะกลัว แต่คนไม่กลัว หลายพรรคจึงถูกยุบไปหมด ขณะนี้พรรคสำคัญ ๆ กำลังจะจ่อคิว โดนยุบไปหมดเลย แล้วถามว่า ยุบแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ดีขึ้นบ้าง คำตอบ คือไม่มี เพราะพรรคนั้น ก็รวมตัวกันตั้งนอมินีใหม่ ตั้งชื่อใหม่ เราก็มีชื่อพรรคการเมืองที่ประหลาด ๆ เยอะแยะไปหมดเลย การยุบพรรคบ่อย ๆ เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อกระบวนการพัฒนาทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตย จึงให้ลงโทษเฉพาะตัวคนที่ทำผิด ถ้าผู้สมัครกระทำผิด ก็ให้ถอนสิทธิผู้สมัคร 5 ปี ถ้ากรรมการบริหารกระทำการ หรือมีส่วนรู้เห็นในการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ให้ลงโทษกรรมการบริหาร โดยตัดสิทธิ์ 10 ปี ถ้าหัวหน้าพรรคการเมืองที่กระทำการหรือมีส่วนรู้เห็นในการกระทำการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้งเพื่อให้ได้รับชัยชนะ ให้ตัดสิทธิ์ 15 ปี
ต้องออกจากการเมืองไปเลย
ใช่...ต้องให้เป็นอย่างนั้น แต่พรรคยังอยู่ แล้วเอาตัวคนออกไป ถ้าคิดไม่ดี ต้องเลิกเล่นการเมือง เราเน้นตัวบุคคลที่ทำผิด แต่รักษาพรรคไว้ ไม่งั้น คนไม่กี่คนทำผิด แต่มีสมาชิกเป็นล้าน ต้องถูกยุบสลายพรรคไปด้วย
กระบวนการหลังจากแก้ไขเสร็จแล้ว
ทั้ง 6 ประเด็นเป็นข้อสรุปเบื้องต้น ในวันที่ 3 กันยายน จะมากรองกันทั้งหมดอีกทีหนึ่ง เสร็จแล้ว เราจะเอาไปส่งให้สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจความเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ ว่ามีความเห็นอย่างไร ต้นเดือนตุลาคม ได้รับผลกลับมา เราก็จะเอามาประมวลใหม่ แล้วเสนอรัฐบาลเลย เรารีบทำ อีกส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องการเสริมสร้างความเข้มแข็งของการเมืองระบอบประชาธิปไตย เราก็จะเสนอภาพรวมระยะยาว ว่าควรจะแก้อย่างไร เสนอไว้เป็นแนวทางให้คนในสังคมถกเถียงกัน
เนื้อหาระยะยาวที่จะเสนอเป็นแนว จะครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง
เราเห็นว่ารูปแบบขั้วอำนาจหรือระบบรัฐสภาที่ใช้อยู่นี้อ่อนแอ ไม่มีเสถียรภาพ ถ้ารัฐบาลมีเสถียรภาพมากแบบคุณทักษิณ ก็กลายเป็นเผด็จการ พอไม่มีเสถียรภาพแบบคุณอภิสิทธิ์ ก็มีการป่วนเมืองอยู่ตลอดเวลา การทำงานในสภา ก็มีการป่วนตลอดเวลา หาความสงบร่มเย็นไม่ได้เลย
นักการเมือง ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลการแก้รัฐธรรมนูญโดยตรง เขาจะมีส่วนร่วมอย่างไร
เขาก็ให้ความเห็นมา หรือโทรศัพท์เข้ามาก็ได้ คือคณะกรรมการสมานฉันท์ ก็เป็นผลผลิตของพรรคการเมืองอยู่แล้ว ฉะนั้น จะบอกว่าเราไม่ฟังนักการเมืองไม่ได้
นักการเมืองจะรู้สึกว่าบทลงโทษพุ่งไปที่เขาเป็นหลัก
ก็ต้องแลกกัน คุณจะให้ยุบพรรค หรือคุณจะให้ลงโทษคน ถ้าคุณบอกว่าพรรคก็ไม่ให้ยุบ คนก็ได้รับการลงโทษเบา แล้วใครเขาจะเอา คุณก็อย่าทำผิดสิ คุณบอกโทษมันแรง คุณก็อย่าทำผิดสิ ก็ไม่มีโทษแล้ว กลัวอะไรใช่ไหม โทษเบา มันจูงใจให้คุณทำผิดใช่ไหม
เมื่อก่อนแค่ตัดสิทธิ์ แต่ต่อไปเหมือนประหารชีวิตทางการเมืองไปเลย 15 ปี
ก็ต้องประหารชีวิต (ทางการเมือง) ไปเลย อย่าเอาไว้ คนที่เป็นหัวหน้าพรรค และคิดโกงชาติ โกงแบบนี้ อย่างน้อยพรรคก็อยู่ เราจะให้โอกาสคนโกงทำไม เราไม่ควรให้โอกาสนักการเมืองที่ไม่ดี ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สำหรับนักการเมืองที่ไม่ดี เรารู้ว่าขี้โกง แล้วจะให้เป็นหัวหน้าอีกเหรอ หาคนดีกว่านี้เป็นหัวหน้าไม่ได้แล้วเหรอ
มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าร่างทรงอำมาตย์มาออกแบบรัฐธรรมนูญ
ก็ฟังเขาได้ ใครเขาจะพูดอะไร ก็ต้องฟัง เพราะคนพูดได้ร้อยแปดพันเก้า คุณเป็นคนดี เขาก็ด่าว่าดีเกินไป เรื่องธรรมดาในสังคมแบบนี้ แต่สำหรับผม ถ้าคนวิจารณ์เป็นคน มีต้นทุนทางสังคม เราต้องคิดเยอะ ว่าพลาดไปได้ยังไง แต่ถ้าคนไม่มีต้นทุนทางสังคมมาวิจารณ์ เราก็ถือเป็นเสียงนกเสียงกา ไปใส่ใจมากไม่ได้ คนบางคน ผีเจาะปากมาพูด ฟังมากไม่ได้ ต้องรู้จักคนพูด ว่าควรให้น้ำหนักไหม คือคนชั่วเนี่ย กล้าพูดมากกว่าคนดี และคนร้ายจะกล้าพูดเยอะ คนดี บางทีเขาก็ไม่ค่อยพูดอะไร คนที่ไม่ดี โอ้โห พูดเสียงดังตลอด
ถ้ามีการกดดันนายกฯ ว่ากรรมการชุดนี้เสนอไม่สอดคล้องกับ ปชป.
ถ้าสรุปมาแล้วตรงกับ ปชป.หมด พรรคตรงข้าม ปชป. ก็ต้องบอกว่าเราเป็นลูกไล่ หาว่าพรรค ปชป.ตั้งมา ก็ทำงานให้ ปชป. เป็นการด่าเราโดยไม่ใช้สมอง แต่พอเราทำมาไม่ตรงกับ ปชป. ไปตรงกับเขา เขาได้ประโยชน์ แล้วเขาพูดว่าไงตอนนี้ (หัวเราะ) ไม่ใช่เราไม่รู้ คิดว่าเราโง่เหรอ ถึงไม่ฟังเสียงใครว่า เขาคิดอะไร แต่พอพูดอย่างนี้ มีคนบอกว่า เราไปเข้าข้างพรรคฝ่ายค้าน พวกเสื้อแดงสิ เราก็ไม่ใช่เสื้อแดง (หัวเราะ) เราไม่ได้สนว่าใครจะได้ประโยชน์ เราคิดประโยชน์สำคัญของประเทศ เรื่องยุบพรรค ก็อาจจะมีบางกลุ่มไม่ชอบ เช่น กลุ่มพันธมิตร ไม่อยากให้แก้ เพราะเขาจะชอบให้ยุบพรรค แต่เราก็ไม่ใช่พวกเขา เราไม่ได้ต้องการให้ใครต้องมาชอบเรา เราเป็นนักวิชาการผู้ใหญ่ แต่ละคน ไม่ใช่ว่าใครไปครอบงำเขาได้ แต่ละคนไม่ธรรมดา เขามีเหตุมีผลทั้งนั้น เพราะคำถามของแต่ละท่าน คือให้ทำงานครั้งนี้ คืออิสระไหม ถ้าไม่อิสระ เขาไม่ทำ
คณะกรรมการต้องทำงานท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างหลายสี หลายคนก็บอกว่าเปลืองตัว แต่ก็บอกว่า เราก็อายุปูนนี้ จะไม่ทำอะไรเพื่อชาติกันบ้างเลยเหรอ จะรักษาเนื้อรักษาตัวไปทำไมกัน
จะทันใช้เลือกตั้งคราวหน้าเลยไหม
ถ้ารัฐบาลเขาทำก็ทัน แก้แบบนี้แก้ง่าย ถ้ารัฐบาลเสนอเข้าสภา แล้วคนในสภาเห็นด้วย ก็ใช้เวลาสัก 2 เดือนก็จบ เพราะเวลาแก้ เขาแก้เป็นวาระ เป็นฉบับ ฉบับละเรื่อง ฉบับละมาตรา ว่าเป็นเรื่อง ๆ ไม่ปนกัน ถ้าเรื่องไหนเห็นด้วยก็ผ่าน ถ้าไม่เห็นด้วยก็ตก ก็จะผ่านเป็นเรื่อง ๆ ไป
ถ้าภาวะการเมืองอยู่ในโหมดปกติ คิดว่าการเลือกตั้งคราวหน้าจะได้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่อาจารย์แก้ไข
จริง ๆ ผมไม่อยากเห็นการยุบพรรคที่ทำกันอยู่ ผมว่าเลอะเทอะไป ไม่เป็นประโยชน์กับประเทศ ถึงผมจะไม่ชอบคุณทักษิณ ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมเห็นด้วยกับการไปยุบพรรคไทยรักไทยนะ หลักการก็คือหลักการ ว่าพรรคไม่ควรโดนยุบแบบนี้ ส่วนเรื่องคน ถ้าทำไม่ดี ก็ต้องลงโทษ
*****************************************************************************
เอาใจ‘มะกัน’ ทำไทยเจ๊ง!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
วิคเตอร์ บูท
รู้สึกพอใจเป็นอย่างมากที่ผู้ก่อการร้ายนานาชาติ อดีตสายลับเคจีบี พ่อค้าอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในโลก นายวิคเตอร์ บูท ถูกส่งกลับไปยังศาลในสหรัฐอเมริกา”
จำได้หรือไม่? กับคำพูดของผู้ประกาศข่าวทางสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีช่องหนึ่ง...ที่พูดถึง “สรรพคุณ” และ “ความเก่งกาจ” ของนายวิคเตอร์ บูท กรณีประเทศสหรัฐฯ ร้องขอให้ทางการไทยส่งตัวผู้ต้องหาชาวรัสเซียคนนี้เพื่อไปดำเนินคดีในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ประเด็นดังกล่าวคอลัมนิส์อาวุโสอย่าง “นิติภูมิ นวรัตน์” ได้กล่าวไว้ในคอลัมน์ “เปิดฟ้า..ส่องโลก” โดยนำข้อมูลความเป็นจริงมาตีแผ่ให้เห็นว่า...นายวิคเตอร์ บูท คือพ่อค้าอาวุธ “ตัวฉกาจ” ที่รัฐบาลทั่วโลกกำลังต้องการตัวอย่างนั้นหรือ?
คำตอบคือ “ไม่ใช่” เพราะเมื่อไล่ดูกิจวัตรประจำวันของผู้ต้องหารายนี้...ซึ่งหลายคนคิดว่าเขาเป็น “อภิมหาเศรษฐี” มีเงินถุงเงินถังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมีบอดี้การ์ดรายล้อม...แต่ความเป็นจริงวันหนึ่งๆ เงินทองที่หามาได้กลับไม่พอใช้...เพราะต้องไปหยิบยืมจากคนรู้จัก เพื่อนำมาใช้จ่ายภายในครอบครัว
แล้วทำไมประเทศสหรัฐฯ กับรัฐบาลไทยถึงได้ “ให้ค่า” กับนายวิเตอร์ บูท มากมายนัก...หรือว่าประเทศทั้งสองกำลัง “ทำสัญญาซ่อนเร้น” อะไรบางอย่าง?...เพราะเท่าที่เห็น “รัฐมนตรี” ของพรรคประชาธิปัตย์ ต่างทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงขั้น “คอขาดบาดตาย” เชื่อว่า...พรรคประชาธิปัตย์คงหันหน้ามาแก้ไขปัญหาภายในประเทศ เพราะยังมีปัญหาทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมซึ่งประชาชนกำลังรอความช่วยเหลือจากรัฐบาล...แต่มันน่าแปลกตรงที่ว่า ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลครั้งนี้กลับเดินไปในยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศ
เรื่องนี้ดูได้การที่คนในพรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่งที่เดินเข้าไปเพื่อเจรจากับนายวิเตอร์ บูท ถึงในเรือนจำ...กับรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งที่กล้าไปเจรจากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย เพื่อเจรจาแลกตัว “นายวิคเตอร์ บูท” กับอดีตนายกรัฐมนตรี “พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร” เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของไทย
หากพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองในเวลานี้...ประชาชนทุกคนคงมองออกว่า “รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์” กำลังตกที่นั่งลำบาก โดยเฉพาะเรื่อง “คำสั่ง” ให้มีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงจนมีบาดเจ็บและเสียชีวิต...ซึ่งว่ากันว่า เรื่องดังกล่าวมันเกินเลยขอบเขตแห่งอำนาจในการที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดการและปิดคดี
เพราะเวลานี้ชาวต่างชาติทั้งสื่อสารมวลชน รวมถึงองค์กรยุติธรรมกำลังจับตามองดูความเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทยทุกฝีก้าว รวมถึงข้อมูลข่าวสารในโลกอินเตอร์เน็ตทั้งภาพและเสียงซึ่งรัฐบาลไม่สามารถ “ปกปิด” ได้อีกต่อไป ถึงแม้จะอยู่ในช่วงของการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ตาม
เรื่องของ “สัญญาซ่อนเร้น” ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ถึงวันนี้แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ แต่จากคำพูดของ “นายพีระพันธ์ พาลุสุข” ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ด้วยพยานและหลักฐานได้ว่า...คนภายในรัฐบาล ได้เดินทางไปเจรจากับ “นายวิคเตอร์ บูท” ถึงในเรือนจำจริง แต่จะใช่คนเดียวกับที่ออกข่าวหรือไม่? นายวิคเตอร์ บูทเท่านั้นที่สามารถชี้ตัวถูกต้องได้
โดยเฉพาะคำยืนยันจากปากของ “นายวิคเตอร์ บูท” ที่กล่าวว่า...ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ได้มีผู้มาพบเขาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมกับพูดบอกว่า “ถ้ายูจะรอดปลอดภัย ยูจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไปให้การในศาลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดนการขนอาวุธจากเกาหลีเหนือมายังประเทศไทย และอาวุธดังกล่าวจะมาใช้กับพวกเสื้อแดง”
ที่สำคัญเรื่องระหองระแหงระหว่างไทยกับรัสซัยในครั้งนี้...เชื่อว่าอีกไม่นานจะกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่จะสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยอย่างยิ่งยวด...เพราะเวลานี้สภาผู้แทนราษฎรสหพันธรัฐรัสเซียหรือ “สภาดูมา” ก็ได้มีการแสดงการตอบโต้รัฐบาลไทยด้วยการประกาศไม่ให้นักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย
แน่นอนว่า...ประเทศไทยจะสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล เพราะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียถือเป็นตลาดที่เติบโตเร็วมาก...และมีแนวโน้มที่มีความสำคัญต่อการท่องเที่ยวไทยมากขึ้นตามลำดับ โดยปัจจุบันตลาดนักท่องเที่ยวรัสเซียสร้างรายได้ท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท
ซึ่งเรื่องนี้ได้ส่งผลกระทบไปถึงการส่งทหารไทยไปดูงานที่ประเทสรัสเซีย ซึ่งเวลานี้ทางด้าน “พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ” ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร กำลังนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมอย่างเร่งด่วน เพราะเชื่อได้ว่าการแลกเปลี่ยนและดูงานของทั้งสองประเทศจะต้องเกิดปัญหาขึ้นตามมาอย่างแน่นอน
ถึงตรงนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า...ประเทศไทยกำลังเล่นตามเกมของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ที่หลายประเทศต้องให้ความเกรงอกเกรงใจหรือไม่? เพราะหากผู้มีอำนาจในประเทศไม่ได้คิดถึงศักดิ์ศรีของประเทศชาติ...แต่อย่างไรก็ควรนึกถึง “หัวอก” ของประชาชนเอาไว้บ้าง
โดยเฉพาะการที่ประเทศไทยเลือกที่จะเป็น “มหามิตร”กับสหรัฐอเมริกา...และยอมกลายเป็น “อริราชศัตรู” กับประเทศรัสเซีย...ถามว่าผู้มีอำนาจในประเทศคิดตรึกตรองดีแล้วหรือ โดยเฉพาะในอดีตเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน รวมถึงบรรพบุรุษ พวกท่านได้สร้างความปรองดองและความสามัคคีกับทั้งสองประเทศมาด้วยความยากลำบาก
แล้วปัจจุบันนี้เล่า..ใครกันที่เป็นคนมาทำลาย!
************************************************************************
วิคเตอร์ บูท
รู้สึกพอใจเป็นอย่างมากที่ผู้ก่อการร้ายนานาชาติ อดีตสายลับเคจีบี พ่อค้าอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในโลก นายวิคเตอร์ บูท ถูกส่งกลับไปยังศาลในสหรัฐอเมริกา”
จำได้หรือไม่? กับคำพูดของผู้ประกาศข่าวทางสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีช่องหนึ่ง...ที่พูดถึง “สรรพคุณ” และ “ความเก่งกาจ” ของนายวิคเตอร์ บูท กรณีประเทศสหรัฐฯ ร้องขอให้ทางการไทยส่งตัวผู้ต้องหาชาวรัสเซียคนนี้เพื่อไปดำเนินคดีในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ประเด็นดังกล่าวคอลัมนิส์อาวุโสอย่าง “นิติภูมิ นวรัตน์” ได้กล่าวไว้ในคอลัมน์ “เปิดฟ้า..ส่องโลก” โดยนำข้อมูลความเป็นจริงมาตีแผ่ให้เห็นว่า...นายวิคเตอร์ บูท คือพ่อค้าอาวุธ “ตัวฉกาจ” ที่รัฐบาลทั่วโลกกำลังต้องการตัวอย่างนั้นหรือ?
คำตอบคือ “ไม่ใช่” เพราะเมื่อไล่ดูกิจวัตรประจำวันของผู้ต้องหารายนี้...ซึ่งหลายคนคิดว่าเขาเป็น “อภิมหาเศรษฐี” มีเงินถุงเงินถังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมีบอดี้การ์ดรายล้อม...แต่ความเป็นจริงวันหนึ่งๆ เงินทองที่หามาได้กลับไม่พอใช้...เพราะต้องไปหยิบยืมจากคนรู้จัก เพื่อนำมาใช้จ่ายภายในครอบครัว
แล้วทำไมประเทศสหรัฐฯ กับรัฐบาลไทยถึงได้ “ให้ค่า” กับนายวิเตอร์ บูท มากมายนัก...หรือว่าประเทศทั้งสองกำลัง “ทำสัญญาซ่อนเร้น” อะไรบางอย่าง?...เพราะเท่าที่เห็น “รัฐมนตรี” ของพรรคประชาธิปัตย์ ต่างทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงขั้น “คอขาดบาดตาย” เชื่อว่า...พรรคประชาธิปัตย์คงหันหน้ามาแก้ไขปัญหาภายในประเทศ เพราะยังมีปัญหาทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมซึ่งประชาชนกำลังรอความช่วยเหลือจากรัฐบาล...แต่มันน่าแปลกตรงที่ว่า ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลครั้งนี้กลับเดินไปในยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศ
เรื่องนี้ดูได้การที่คนในพรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่งที่เดินเข้าไปเพื่อเจรจากับนายวิเตอร์ บูท ถึงในเรือนจำ...กับรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งที่กล้าไปเจรจากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย เพื่อเจรจาแลกตัว “นายวิคเตอร์ บูท” กับอดีตนายกรัฐมนตรี “พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร” เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของไทย
หากพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองในเวลานี้...ประชาชนทุกคนคงมองออกว่า “รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์” กำลังตกที่นั่งลำบาก โดยเฉพาะเรื่อง “คำสั่ง” ให้มีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงจนมีบาดเจ็บและเสียชีวิต...ซึ่งว่ากันว่า เรื่องดังกล่าวมันเกินเลยขอบเขตแห่งอำนาจในการที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดการและปิดคดี
เพราะเวลานี้ชาวต่างชาติทั้งสื่อสารมวลชน รวมถึงองค์กรยุติธรรมกำลังจับตามองดูความเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทยทุกฝีก้าว รวมถึงข้อมูลข่าวสารในโลกอินเตอร์เน็ตทั้งภาพและเสียงซึ่งรัฐบาลไม่สามารถ “ปกปิด” ได้อีกต่อไป ถึงแม้จะอยู่ในช่วงของการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ตาม
เรื่องของ “สัญญาซ่อนเร้น” ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ถึงวันนี้แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ แต่จากคำพูดของ “นายพีระพันธ์ พาลุสุข” ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ด้วยพยานและหลักฐานได้ว่า...คนภายในรัฐบาล ได้เดินทางไปเจรจากับ “นายวิคเตอร์ บูท” ถึงในเรือนจำจริง แต่จะใช่คนเดียวกับที่ออกข่าวหรือไม่? นายวิคเตอร์ บูทเท่านั้นที่สามารถชี้ตัวถูกต้องได้
โดยเฉพาะคำยืนยันจากปากของ “นายวิคเตอร์ บูท” ที่กล่าวว่า...ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ได้มีผู้มาพบเขาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมกับพูดบอกว่า “ถ้ายูจะรอดปลอดภัย ยูจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไปให้การในศาลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดนการขนอาวุธจากเกาหลีเหนือมายังประเทศไทย และอาวุธดังกล่าวจะมาใช้กับพวกเสื้อแดง”
ที่สำคัญเรื่องระหองระแหงระหว่างไทยกับรัสซัยในครั้งนี้...เชื่อว่าอีกไม่นานจะกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่จะสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยอย่างยิ่งยวด...เพราะเวลานี้สภาผู้แทนราษฎรสหพันธรัฐรัสเซียหรือ “สภาดูมา” ก็ได้มีการแสดงการตอบโต้รัฐบาลไทยด้วยการประกาศไม่ให้นักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย
แน่นอนว่า...ประเทศไทยจะสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล เพราะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียถือเป็นตลาดที่เติบโตเร็วมาก...และมีแนวโน้มที่มีความสำคัญต่อการท่องเที่ยวไทยมากขึ้นตามลำดับ โดยปัจจุบันตลาดนักท่องเที่ยวรัสเซียสร้างรายได้ท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท
ซึ่งเรื่องนี้ได้ส่งผลกระทบไปถึงการส่งทหารไทยไปดูงานที่ประเทสรัสเซีย ซึ่งเวลานี้ทางด้าน “พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ” ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร กำลังนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมอย่างเร่งด่วน เพราะเชื่อได้ว่าการแลกเปลี่ยนและดูงานของทั้งสองประเทศจะต้องเกิดปัญหาขึ้นตามมาอย่างแน่นอน
ถึงตรงนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า...ประเทศไทยกำลังเล่นตามเกมของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ที่หลายประเทศต้องให้ความเกรงอกเกรงใจหรือไม่? เพราะหากผู้มีอำนาจในประเทศไม่ได้คิดถึงศักดิ์ศรีของประเทศชาติ...แต่อย่างไรก็ควรนึกถึง “หัวอก” ของประชาชนเอาไว้บ้าง
โดยเฉพาะการที่ประเทศไทยเลือกที่จะเป็น “มหามิตร”กับสหรัฐอเมริกา...และยอมกลายเป็น “อริราชศัตรู” กับประเทศรัสเซีย...ถามว่าผู้มีอำนาจในประเทศคิดตรึกตรองดีแล้วหรือ โดยเฉพาะในอดีตเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน รวมถึงบรรพบุรุษ พวกท่านได้สร้างความปรองดองและความสามัคคีกับทั้งสองประเทศมาด้วยความยากลำบาก
แล้วปัจจุบันนี้เล่า..ใครกันที่เป็นคนมาทำลาย!
************************************************************************
สัมพันธ์"ไทย-เขมร"รอวันปะทุ
ข่าวสดรายวัน
รายงานพิเศษ
สัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาที่มีปัญหาอึมครึมมานาน สดใสขึ้นทันตา ถึงขนาดต่างฝ่ายต่างส่งทูตกลับไปประจำในประเทศนั้นๆ
หลังจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศลาออกจากการเป็นที่ปรึกษา ทั้งที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ
จุดเริ่มต้นปมขัดแย้ง มาจากเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร และการบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบตัวปราสาท ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2505 แต่ถูกจุดกระแสโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อ เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ
ท่าทีของสมเด็จฮุนเซน ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ต่อกรณีการไล่ล่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเพื่อนรัก จนเกิดการกระทบกระทั่งตอบโต้กันไปมา
ก่อนที่สัมพันธ์จะสะบั้นลงเมื่อสมเด็จฮุนเซน แต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา ไม่สนใจคำขอของรัฐบาลไทยที่ให้ส่งตัว พ.ต.ท. ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในไทย
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ตอบโต้ทางการทูต ด้วยการสั่งนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัคร ราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ เดินทางกลับประเทศภายใน 24 ชั่วโมง โดยให้เหตุผลว่าการกระทำของผู้นำกัมพูชาเป็นการแทรกแซงกิจการภายในประเทศ ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมของไทย และไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน
จึงขอตัดความสัมพันธ์ทางการทูต และทบทวนพันธกรณี ฐานใช้ความสัมพันธ์และผลประโยชน์ส่วนบุคคลอยู่เหนือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โดยทางกัมพูชาก็สั่งทูตกลับประเทศเช่นกัน ส่งผลให้บรรยากาศของ 2 ประเทศคุกรุ่นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ล่าสุด จากกรณีที่รัฐบาลไทยคัดค้านกัมพูชาในการยื่นเรื่องต่อยูเนสโก ขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯที่นัดชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา กดดันรัฐบาลให้ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อุณหภูมิร้อนฉ่าขึ้น คือคำประกาศของนายอภิสิทธิ์ บนเวทีพันธมิตรฯ ว่าจะใช้มาตรการด้านการทูตกับการทหารกับกัมพูชา
นำมาซึ่งประเด็นที่ทำให้สมเด็จฮุนเซน นำไปฟ้องสห ประชาชาติ(ยูเอ็น) เรียกร้องให้ยูเอ็นและประชาคมอาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางแก้ปัญหาข้อพิพาท
ความขัดแย้งเริ่มบานปลายหนัก มีการตรึงกำลังบริเวณพื้นที่ทับซ้อน รวมทั้งมีการจับกุมตัวคนไทยที่ล่วงล้ำเข้าไปภายในพื้นที่
กระทั่งมีจดหมายฉบับหนึ่งที่ส่งตรงถึงนายอภิสิทธิ์ โดยระบุว่ามาจากที่ปรึกษาสมเด็จพระนโรดมสีหนุ อดีตกษัตริย์แห่งกัมพูชา แสดงความปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับไทยอย่างสันติ แต่ขณะเดียวกัน ขอให้ไทยเคารพในสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อกว่า 100 ปีก่อน เกี่ยวพรมแดนของสองประเทศ
ตามติดด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษากัมพูชาของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยอ้างว่าไม่มีเวลาเนื่องจากต้องทำธุรกิจในหลายประเทศ และไม่ต้องการให้ประเด็นตำแหน่งที่ปรึกษา มาเป็นปมขัดแย้งให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างสองประเทศ
ท่ามกลางเสียงขานรับของหน่วยงานด้านความมั่นคง หรือแม้แต่กระทรวงการต่างประเทศว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ
พร้อมๆ กับการเตรียมการเจรจาหาทางออกร่วมกันระหว่างนายกฯอภิสิทธิ์ และนายกฯฮุนเซน กรณีข้อพิพาทในพื้นที่ปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน ก่อนเวทีการประชุมสุดยอดเอเชียยุโรป (อาเซม) ที่ประเทศเบลเยียม ในเดือนต.ค.นี้
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่พลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือครั้งนี้ ในส่วนของนักวิชาการ โดย นางสีดา สอนศรี อาจารย์รัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า เขมรต้องการแชร์ว่าอยากอยู่ในอาเซียน
ดิฉันคิดว่ากระทรวงการต่างประเทศและระดับรัฐบาลเองน่าจะได้เจรจากันแล้ว จึงทำให้ดูความสัมพันธ์ออกมาดีขึ้น
ที่สำคัญอีกหน่อยจะมีการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่ประเทศเวียดนาม ถือเป็นตัวแปรสำคัญให้ทุกอย่างดูอ่อนลง เพราะเวียดนามไปลงทุนในกัมพูชาและลาวมาก เวียดนามน่าจะมีการสื่ออะไร ทั้งเรื่องการค้าระหว่างประเทศ และเรื่องอื่นๆ
ผู้นำ 3 ประเทศ เวียดนาม กัมพูชา และลาวถือว่ามีความใกล้ชิดกันมาก เวียดนามกับกัมพูชาน่าจะมีการพูดคุยกัน อีกทั้งประเทศในอาเซียนอย่างไรก็ต้องช่วยกันพัฒนาอาเซียน 2019 และ 2020 ไทยกับกัมพูชาก็ยังต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันทั้งสองประเทศ
เวียดนามน่าจะช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย ช่วยทำให้ความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาดีขึ้น ส่วนประเด็นพ.ต.ท.ทักษิณลดบทบาทในเขมรลง ก็อาจทำให้กัมพูชามีท่าทีเปลี่ยนไป มีส่วนทำให้การเมืองเปลี่ยนแปลงไป ทางเขมรเองก็ต้องดูลู่ทางเหมือนกัน
ส่วนปัญหาการอ้างสิทธิในเขตแดน น่าจะปล่อยไว้ก่อน เหมือนกรณีซาบา ที่มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ต่างอ้างสิทธิทำให้ไม่มีการพัฒนาในพื้นที่ พอมาสมัยนางอาคิโน พยายามไม่พูดเรื่องซาบา เพื่อให้เกิดการพัฒนาโดยรวมก่อน
ไทยกับกัมพูชาน่าจะเป็นลักษณะนี้ อาจจะหยุดหรือลดกระแสความขัดแย้งที่คาราคาซังไปก่อน หรือในอนาคตอาจมีปะทุขึ้นมาอีกก็เป็นอีกเรื่อง แต่ในช่วงใกล้ประชุมก็อาจมีการลดกระแส ซึ่งต่างคนน่าจะเห็นแก่ส่วนรวม ยึดประโยชน์ส่วนใหญ่เพื่อให้เกิดการพัฒนาในภูมิภาคอาเซียน
ขณะที่ นายสุริชัย หวันแก้ว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า จากการที่ทางการไทยส่งทูตกลับไปประจำการที่กัมพูชา แล้วนั้น ถือว่าความสัมพันธ์มีแนวโน้มที่ดี
แต่กรณีปัญหาเรื่องปราสาทพระวิหาร เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องใจเย็นๆ เพราะเราเป็นประเทศที่ใหญ่กว่ากัมพูชา หากใจร้อนแล้วรบชนะกัมพูชา ประเทศไทยจะเป็นหัวเน่าทันที ไม่มีประเทศอื่นคบด้วย เพราะเป็นประเทศใหญ่แต่ไปรังแกประเทศเล็กกว่า ขณะที่กัมพูชาจะได้รับความสงสารจากประ เทศอื่น
ส่วนตัวมองว่า การลาออกจากที่ปรึกษาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนั้น ถือเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากที่ผ่านมาเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออก ทำให้เห็นว่า ทั้งไทยและกัมพูชาอยากคืนดีกัน ถือเป็นเรื่องเชิงบวก
ทางที่ดี ประเทศไทยเราควรใจ เย็นๆ ในการแก้ไขปัญหา เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดังนั้น ผู้แทนไทยและกัมพูชาต้องคุยกัน ต้องร่วมมือกันในด้านการท่องเที่ยว กรณีปราสาทพระวิหารควรใช้ประโยชน์ร่วมกัน หากใจ ร้อนจะมีแต่เสียกับเสีย
***************************************************************
รายงานพิเศษ
สัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาที่มีปัญหาอึมครึมมานาน สดใสขึ้นทันตา ถึงขนาดต่างฝ่ายต่างส่งทูตกลับไปประจำในประเทศนั้นๆ
หลังจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศลาออกจากการเป็นที่ปรึกษา ทั้งที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ
จุดเริ่มต้นปมขัดแย้ง มาจากเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร และการบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบตัวปราสาท ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2505 แต่ถูกจุดกระแสโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อ เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ
ท่าทีของสมเด็จฮุนเซน ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ต่อกรณีการไล่ล่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเพื่อนรัก จนเกิดการกระทบกระทั่งตอบโต้กันไปมา
ก่อนที่สัมพันธ์จะสะบั้นลงเมื่อสมเด็จฮุนเซน แต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา ไม่สนใจคำขอของรัฐบาลไทยที่ให้ส่งตัว พ.ต.ท. ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในไทย
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ตอบโต้ทางการทูต ด้วยการสั่งนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัคร ราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ เดินทางกลับประเทศภายใน 24 ชั่วโมง โดยให้เหตุผลว่าการกระทำของผู้นำกัมพูชาเป็นการแทรกแซงกิจการภายในประเทศ ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมของไทย และไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน
จึงขอตัดความสัมพันธ์ทางการทูต และทบทวนพันธกรณี ฐานใช้ความสัมพันธ์และผลประโยชน์ส่วนบุคคลอยู่เหนือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โดยทางกัมพูชาก็สั่งทูตกลับประเทศเช่นกัน ส่งผลให้บรรยากาศของ 2 ประเทศคุกรุ่นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ล่าสุด จากกรณีที่รัฐบาลไทยคัดค้านกัมพูชาในการยื่นเรื่องต่อยูเนสโก ขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯที่นัดชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา กดดันรัฐบาลให้ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อุณหภูมิร้อนฉ่าขึ้น คือคำประกาศของนายอภิสิทธิ์ บนเวทีพันธมิตรฯ ว่าจะใช้มาตรการด้านการทูตกับการทหารกับกัมพูชา
นำมาซึ่งประเด็นที่ทำให้สมเด็จฮุนเซน นำไปฟ้องสห ประชาชาติ(ยูเอ็น) เรียกร้องให้ยูเอ็นและประชาคมอาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางแก้ปัญหาข้อพิพาท
ความขัดแย้งเริ่มบานปลายหนัก มีการตรึงกำลังบริเวณพื้นที่ทับซ้อน รวมทั้งมีการจับกุมตัวคนไทยที่ล่วงล้ำเข้าไปภายในพื้นที่
กระทั่งมีจดหมายฉบับหนึ่งที่ส่งตรงถึงนายอภิสิทธิ์ โดยระบุว่ามาจากที่ปรึกษาสมเด็จพระนโรดมสีหนุ อดีตกษัตริย์แห่งกัมพูชา แสดงความปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับไทยอย่างสันติ แต่ขณะเดียวกัน ขอให้ไทยเคารพในสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อกว่า 100 ปีก่อน เกี่ยวพรมแดนของสองประเทศ
ตามติดด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษากัมพูชาของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยอ้างว่าไม่มีเวลาเนื่องจากต้องทำธุรกิจในหลายประเทศ และไม่ต้องการให้ประเด็นตำแหน่งที่ปรึกษา มาเป็นปมขัดแย้งให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างสองประเทศ
ท่ามกลางเสียงขานรับของหน่วยงานด้านความมั่นคง หรือแม้แต่กระทรวงการต่างประเทศว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ
พร้อมๆ กับการเตรียมการเจรจาหาทางออกร่วมกันระหว่างนายกฯอภิสิทธิ์ และนายกฯฮุนเซน กรณีข้อพิพาทในพื้นที่ปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน ก่อนเวทีการประชุมสุดยอดเอเชียยุโรป (อาเซม) ที่ประเทศเบลเยียม ในเดือนต.ค.นี้
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่พลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือครั้งนี้ ในส่วนของนักวิชาการ โดย นางสีดา สอนศรี อาจารย์รัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า เขมรต้องการแชร์ว่าอยากอยู่ในอาเซียน
ดิฉันคิดว่ากระทรวงการต่างประเทศและระดับรัฐบาลเองน่าจะได้เจรจากันแล้ว จึงทำให้ดูความสัมพันธ์ออกมาดีขึ้น
ที่สำคัญอีกหน่อยจะมีการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่ประเทศเวียดนาม ถือเป็นตัวแปรสำคัญให้ทุกอย่างดูอ่อนลง เพราะเวียดนามไปลงทุนในกัมพูชาและลาวมาก เวียดนามน่าจะมีการสื่ออะไร ทั้งเรื่องการค้าระหว่างประเทศ และเรื่องอื่นๆ
ผู้นำ 3 ประเทศ เวียดนาม กัมพูชา และลาวถือว่ามีความใกล้ชิดกันมาก เวียดนามกับกัมพูชาน่าจะมีการพูดคุยกัน อีกทั้งประเทศในอาเซียนอย่างไรก็ต้องช่วยกันพัฒนาอาเซียน 2019 และ 2020 ไทยกับกัมพูชาก็ยังต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันทั้งสองประเทศ
เวียดนามน่าจะช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย ช่วยทำให้ความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาดีขึ้น ส่วนประเด็นพ.ต.ท.ทักษิณลดบทบาทในเขมรลง ก็อาจทำให้กัมพูชามีท่าทีเปลี่ยนไป มีส่วนทำให้การเมืองเปลี่ยนแปลงไป ทางเขมรเองก็ต้องดูลู่ทางเหมือนกัน
ส่วนปัญหาการอ้างสิทธิในเขตแดน น่าจะปล่อยไว้ก่อน เหมือนกรณีซาบา ที่มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ต่างอ้างสิทธิทำให้ไม่มีการพัฒนาในพื้นที่ พอมาสมัยนางอาคิโน พยายามไม่พูดเรื่องซาบา เพื่อให้เกิดการพัฒนาโดยรวมก่อน
ไทยกับกัมพูชาน่าจะเป็นลักษณะนี้ อาจจะหยุดหรือลดกระแสความขัดแย้งที่คาราคาซังไปก่อน หรือในอนาคตอาจมีปะทุขึ้นมาอีกก็เป็นอีกเรื่อง แต่ในช่วงใกล้ประชุมก็อาจมีการลดกระแส ซึ่งต่างคนน่าจะเห็นแก่ส่วนรวม ยึดประโยชน์ส่วนใหญ่เพื่อให้เกิดการพัฒนาในภูมิภาคอาเซียน
ขณะที่ นายสุริชัย หวันแก้ว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า จากการที่ทางการไทยส่งทูตกลับไปประจำการที่กัมพูชา แล้วนั้น ถือว่าความสัมพันธ์มีแนวโน้มที่ดี
แต่กรณีปัญหาเรื่องปราสาทพระวิหาร เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องใจเย็นๆ เพราะเราเป็นประเทศที่ใหญ่กว่ากัมพูชา หากใจร้อนแล้วรบชนะกัมพูชา ประเทศไทยจะเป็นหัวเน่าทันที ไม่มีประเทศอื่นคบด้วย เพราะเป็นประเทศใหญ่แต่ไปรังแกประเทศเล็กกว่า ขณะที่กัมพูชาจะได้รับความสงสารจากประ เทศอื่น
ส่วนตัวมองว่า การลาออกจากที่ปรึกษาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนั้น ถือเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากที่ผ่านมาเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออก ทำให้เห็นว่า ทั้งไทยและกัมพูชาอยากคืนดีกัน ถือเป็นเรื่องเชิงบวก
ทางที่ดี ประเทศไทยเราควรใจ เย็นๆ ในการแก้ไขปัญหา เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดังนั้น ผู้แทนไทยและกัมพูชาต้องคุยกัน ต้องร่วมมือกันในด้านการท่องเที่ยว กรณีปราสาทพระวิหารควรใช้ประโยชน์ร่วมกัน หากใจ ร้อนจะมีแต่เสียกับเสีย
***************************************************************
วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553
แบตเตอรี่ของเอเชีย
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คนเดินตรอก
โดย...วีรพงษ์ รามางกูร
เมื่อกลางเดือนสิงหาคมปี 2553 นี้ ได้มีโอกาสให้การต้อนรับ คุณช้าง ขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกลุ่มมติชน กับคณะราว ๆ 15 ท่าน ในฐานะประธานบริษัทน้ำงึม 2 ซึ่งจะผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนน้ำงึม 2 ได้ประมาณ 650 เมกะวัตต์ต่อปี
คุณขรรค์ชัยกับคณะไปแวะจังหวัด หนองคายก่อน เพื่อไปนมัสการหลวงพ่อใสที่วัดโพธิ์ชัยในตัวเมืองจังหวัดหนองคาย
หลวงพ่อใสนั้นเป็นพระพุทธรูปที่พระราชธิดาของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงสร้างขึ้น 3 องค์ คือ หลวงพ่อสุก หลวงพ่อใส และหลวงพ่อเสิม ซึ่งตรงกับ รัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิของกรุงศรีอยุธยา ราวประมาณ 450 ปีมาแล้ว
ส่วนหลวงพ่อเสิมนั้น บัดนี้ประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารในวัดปทุมวนาราม ก่อนนั้นประดิษฐานอยู่ที่วัดส้มเกลี้ยง หรือวัดราชผาติการาม สำหรับหลวงพ่อสุกนั้นตอนขณะเคลื่อนย้ายข้ามแม่น้ำโขง แพแตกจึงจมลงที่ปากน้ำงึม ยังกู้ขึ้นมาไม่ได้ จนบัดนี้
เมื่อแวะนมัสการหลวงพ่อใสแล้วคณะจึงได้ข้ามแม่น้ำโขงผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเข้าสู่นครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
วันรุ่งขึ้นคณะจึงเดินทางจากนครหลวงเวียงจันทน์ โดยทางบริษัทจัดให้เลือก 2 ทาง คือ ทางเฮลิคอปเตอร์ และทางเรือ ข้ามอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนน้ำงึม 1
เขื่อนน้ำงึม 1 นั้นสร้างเสร็จก่อน ′การปลดปล่อย′ โดยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารโลก ไฟฟ้าส่วนใหญ่ส่งขายให้ประเทศไทย แล้วซื้อไฟฟ้าจากประเทศไทยกลับไปที่เมืองสุวรรณเขตอีกทีหนึ่ง
ทางคณะมติชนเลือกเดินทางโดยทางเรือ เพื่อชมทัศนียภาพในบริเวณอ่างเก็บน้ำของน้ำงึม 1 ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา มียอดเขาโผล่ขึ้นมากลางน้ำเป็นระยะ ๆ ตลอดทาง
โครงการน้ำงึม 1 นี้ในสมัยสงครามกลางเมือง และหลัง′ปลดปล่อย′ เป็นแหล่งทำเงินตราต่างประเทศที่สำคัญ อันเดียวของประเทศลาวอยู่หลายปี
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนานใหญ่หลัง ′การปลดปล่อย′ ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ลาว จะมีปัญหาทางการเมืองตามกระแสการเมืองระหว่างประเทศ หรือระหว่างฝ่ายเสรีประชาธิปไตยกับค่ายประชาธิปไตยสังคมนิยม ทางฝ่ายลาวก็ยังปฏิบัติตามสัญญาที่ทำกันไว้ เมื่อก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างเคร่งครัดในการส่งไฟฟ้ามาขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ทางฝ่ายไทยก็ปฏิบัติตามสัญญาในการรับซื้อไฟฟ้าจากลาวอย่างเคร่งครัด
ปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศมิได้ทำให้การไฟฟ้าลาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตไม่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายให้กันและกันแต่ประการใด
การพึ่งพากันระหว่างไทยกับลาวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรจะทำให้เราทั้งสองประเทศขาดซึ่งกันและกันได้
สมกับคำที่ว่า ′ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มั่นคงแนบแน่นนั้นต้องเป็นความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งการมีผลประโยชน์ร่วมกัน′ ยิ่งสองประเทศนั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันมากขึ้นเท่าใดความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันก็ยิ่งจะมั่นคงแนบแน่นขึ้นเท่านั้น
สำหรับไทยนั้นเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของลาว ในขณะเดียวกันไทยก็ยังครองความเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดของลาว แม้ว่าจะเสียความเป็นแชมป์ไประยะหนึ่งเมื่อ 2-3 ปีก่อน แต่เดี๋ยวนี้ก็กลับมาเป็นประเทศที่ลงทุนในลาวมากที่สุด
เมื่อคณะเดินทางไปถึงเขื่อนน้ำงึม 2 ซึ่งจะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 650 เมกะวัตต์ต่อปี ซึ่งถ้าเทียบเขื่อนที่ผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของไทยเราแล้ว ต้องถือว่าเป็นเขื่อนที่ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ ความที่ระดับน้ำเหนือเขื่อนสูงกว่าระดับน้ำท้ายเขื่อนเป็นอันมาก น้ำจำนวนเท่ากันจึงมีพลังผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า
ทางบริษัทน้ำงึม 2 ได้จัดเรือเร็วที่เพิ่ง ซื้อใหม่ไว้รับรอง โดยแล่นขึ้นไปทางเหนือเขื่อน ระดับน้ำขณะนั้นสูงกว่า 180 เมตรแล้ว น้ำเหนือเขื่อนที่มีความเขียวชอุ่มของ ป่าไม้ที่ขึ้นอยู่บนเทือกเขา ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมูป่าเก้ง กวาง และอื่น ๆ น้ำที่เพิ่งเอ่อขึ้นมาใสสะอาดมองไปสะท้อนท้องฟ้าเป็นสีคราม ลมพัดเอื่อย ๆ เย็นสบาย
ตลอดทางที่เรือแล่นขึ้นไปตามลำน้ำเหนือเขื่อน มีน้ำตกไหลซ่า เสียงดังจ๊อก ๆ โครม ๆ หลายสิบแห่ง ทำให้นึกถึงเพลงเขมรไทรโยค ซึ่งประพันธ์ขึ้นมาชมความงามของน้ำตกไทรโยค
ประเทศลาวนั้นมีศักยภาพทางด้านการผลิตไฟฟ้าทั้งจากพลังน้ำและถ่านหินลิกไนต์เกือบ 30,000 เมกะวัตต์ต่อปี เท่า ๆ กับไฟฟ้าที่ประเทศไทยใช้ทั้งประเทศในขณะนี้
น้ำที่ไหลจากเทือกเขาที่ยาวเหยียดจากเหนือจดใต้ กั้นระหว่างลาวกับเวียดนามลงผ่านลำน้ำทางเหนือของประเทศเรียกว่า ′แม่′ ตอนกลางเรียกว่า ′น้ำ′ และทางใต้ก็เรียกว่า ′เซ′ ลงมาสู่น้ำโขงออกปากน้ำทางตอนใต้ของเวียดนาม เป็นปริมาณน้ำจากประเทศลาวเสียกว่า 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำทั้งหมดที่ไหลมาจากทิเบต จีน พม่าลงมาสู่ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม
ถ้าศักยภาพทั้งหมดถูกนำมาใช้แล้วส่งขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน คือ ไทย จีน เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งล้วนแต่เป็นตลาดใหญ่ ลาวก็จะเป็น ′แบตเตอรี่แห่งเอเชีย′ อย่างไม่มีปัญหา ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดปราศจากมลพิษ
การที่ลาวจะยังคงรักษาศักยภาพของการเป็นแบตเตอรี่แห่งเอเชียได้ ทางผู้ใหญ่ของลาวทั้งในภาครัฐบาล และผู้ใหญ่ในพรรคตระหนักดีว่า ′การรักษาสิ่งแวดล้อม′ ไว้อย่างเหนียวแน่นเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดในการจะเป็นแบตเตอรี่ของเอเชีย
ประชาชนที่อาศัยทำมาหากินอยู่บริเวณเหนือเขื่อนซึ่งมีไม่มาก มีประมาณ 1,000 ครัวเรือนก็ได้รับการชดใช้ค่าที่ดินอย่างเป็นธรรม ขณะเดียวกันก็มีการจัดที่อยู่อาศัยให้ใหม่ จัดระบบชลประทานและระบบไฟฟ้า ให้เป็นที่พอใจของฝ่ายปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าแขวงและคณะกรรมการพรรคประจำแขวง
ประชาชนทั้ง 1,000 ครอบครัว เป็นชาว ′กัมมุ′ คนไทยเราเรียกชนเผ่านี้ว่า ′ขมุ′ ภาษากัมมุเป็นสาขาหนึ่งในกลุ่มภาษาที่เราเรียกว่า ′มอญ-แขมร์′ เช่นคำว่า ′เมือง′ เขาเรียกว่า ′กรุง′ เป็นต้น คล้าย ๆ กับ ชนเผ่า ′โซ่′ และ ′ส่วย′ ในบ้านเรา แถว ๆ นครพนม มุกดาหาร และสกลนคร
น้ำงึมนั้นเป็นสาขาที่สำคัญของแม่น้ำโขงไหลพาดลงมาจากเทือกเขาที่ยาวเหยียด ภูเขาลูกที่แม่น้ำงึมก่อกำเนิดไหลลงแม่น้ำโขงในแขวงเวียงจันทน์นั้นเรียกว่า ′ภูเขาควาย′ ระบบของแม่น้ำงึมสายเดียวสามารถสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าได้ถึง 5 เขื่อน ตั้งแต่เขื่อนน้ำงึม 1 สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ บัดนี้เขื่อนน้ำงึม 2 สร้างเสร็จแล้ว เขื่อนน้ำงึม 3 กำลังเริ่มสร้าง ต่อไปจึงเป็นน้ำงึม 4 และน้ำงึม 5 สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนกับเขื่อนที่มีหลายระดับกั้นแม่น้ำสายเดียวตามเทือกเขาร็อกกี้ ในมลรัฐโคโลราโด ของสหรัฐอเมริกา
น้ำงึมที่สามารถสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าได้ 5 เขื่อนนี้ไหลผ่านป่าเขาที่ไม่ค่อยมีประชากรอาศัยอยู่มากนัก เพราะลาวเป็นประเทศที่มีประชากรไม่มากเมื่อเทียบกับพื้นที่ของประเทศ
อาหารเย็นมื้อนั้นได้แม่ครัวจากเวียงจันทน์มาทำอาหารลาวให้ อาหารลาวแท้ ๆ รสไม่จัด ไม่เผ็ด เปรี้ยว เค็ม เหมือนอาหารอีสานเรา อาหารเย็นวันนั้นดูเหมือนจะประกอบด้วยปลาน้ำจืดจากอ่างเก็บน้ำงึม ประกอบด้วย ลาบปลาแข้ ปิ้งไก่ลาด ต้มปลาพอน ผัดเผ็ดหมู ปิ้งปลา แกล้มกับ ผักดอง แจ่วหมากเล็น หรือมะเขือเทศพันธุ์พื้นเมืองลูกเล็ก ๆ เป็นพวงคล้ายมะเขือพวง แล้วก็เออะหลามของหลวงพระบาง ใบแก่นชะค้าน ทางเชียงใหม่เราเรียกว่า เครือจะคร้าน เป็นไม้เลื้อยขนาดใหญ่ปลูกไม่ได้ ขึ้นเองในป่า อาหารจานเด็ดก็คือ ′แมงจรวดคั่ว′ แมงจรวดเป็นจักจั่นชนิดหนึ่ง มีรูปร่างและบินเร็วเหมือนจรวด
สิ่งที่จะขาดไม่ได้ในประเทศลาว คือ หลังอาหารจะมีรายการร้องเพลงโดยเจ้าภาพและแขก ตามด้วยรำวงโดยน้อง ๆ ที่เป็นสาวที่มาช่วยเสิร์ฟอาหาร เสิร์ฟน้ำนั่นเอง ตอนหลังจากการรับประทานอาหารก็มาเชิญแขกฝ่ายชายออกไปรำวง
รำวงมาตรฐานของลาวต่างกับรำวงมาตรฐานของไทย รำวงของลาวฝ่ายหญิงอยู่วงนอก ฝ่ายชายอยู่วงใน มีเพลงหลายเพลงที่มีท่ารำต่างออกไปจากท่ามาตรฐาน คือ เพลงลำ′ตั่งหวาย′ เป็นเพลงของชนเผ่าที่อยู่ในแขวงสุวรรณเขต และเพลง สาละวันเตี้ยลงŽ ซึ่งรู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่คนไทยเรา และที่ขาดเสียมิได้คือการเต้นรำในจังหวะ ′บัดสะโลบ′ ซึ่งเป็นจังหวะพิเศษที่ลาวคิดขึ้นเอง เหมือนกับเต้นรำจังหวะตะลุงของไทยเรา
เคยได้รับการบอกเล่าว่า ′รำวง′ ของลาวนั้นมีบทบาทสำคัญในการทำสงครามปลดปล่อย เพราะพรรคประชาชนปฏิวัติลาวใช้รำวงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรวมประชาชน และสร้างความสนุกสนานคลายความเคร่งเครียดในภาวะสงคราม
คืนนั้นเข้าใจว่าทุกคนหลับเป็นตาย เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางการดูงานในเขื่อนผลิตไฟฟ้าน้ำงึม 2 เป็นโครงการร่วมกันระหว่างการไฟฟ้าลาวกับบริษัท ช.การช่าง และบริษัทราชบุรีฯของไทยเป็นส่วนใหญ่ ผลิตอยู่ในลาว แต่ผู้ใช้ไฟฟ้าอยู่ในประเทศไทย ซึ่งโรงไฟฟ้าเกือบจะสร้างขึ้นมาใหม่ไม่ได้แล้ว แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้ายังเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ
ประเทศลาวนั้นเคยได้รับการขนานนามว่าเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเล หรือ Land Locked Country แต่ปรากฏว่า ลาวอยู่ท่ามกลางตลาดใหญ่ทางเหนือ คือ จีน มีประชากร 1,300 ล้าน ทางตะวันออกติดเวียดนามมีประชากรเกือบ 80 ล้าน ด้านตะวันตกเฉียงเหนือติดพม่า มีประชากรเกือบ 50 ล้าน ตะวันตกติดกับไทยประชากร 65 ล้าน ทางใต้ติดกับกัมพูชา ประชากรกว่า 15 ล้านเข้าไปแล้ว
การติดต่อค้าขายระหว่างตลาดใหญ่ ๆ เหล่านี้ต้องผ่านลาว ถ้าระบบการขนส่งทั้งทางบก ทางอากาศ ได้รับการพัฒนาเข้าสู่ระดับสากล ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกด้านหนึ่งนอกจากเป็นแบตเตอรี่ของเอเชียแล้ว ต้องเปลี่ยนลาวเป็น Land Link CountryŽ ให้ได้ในอนาคต และมีความเป็นไปได้สูงเพราะศตวรรษนี้เป็นศตวรรษของเอเชีย
คิดถึงอนาคตอันสดใสของลาวแล้วมีความสุข
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คนเดินตรอก
โดย...วีรพงษ์ รามางกูร
เมื่อกลางเดือนสิงหาคมปี 2553 นี้ ได้มีโอกาสให้การต้อนรับ คุณช้าง ขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกลุ่มมติชน กับคณะราว ๆ 15 ท่าน ในฐานะประธานบริษัทน้ำงึม 2 ซึ่งจะผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนน้ำงึม 2 ได้ประมาณ 650 เมกะวัตต์ต่อปี
คุณขรรค์ชัยกับคณะไปแวะจังหวัด หนองคายก่อน เพื่อไปนมัสการหลวงพ่อใสที่วัดโพธิ์ชัยในตัวเมืองจังหวัดหนองคาย
หลวงพ่อใสนั้นเป็นพระพุทธรูปที่พระราชธิดาของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงสร้างขึ้น 3 องค์ คือ หลวงพ่อสุก หลวงพ่อใส และหลวงพ่อเสิม ซึ่งตรงกับ รัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิของกรุงศรีอยุธยา ราวประมาณ 450 ปีมาแล้ว
ส่วนหลวงพ่อเสิมนั้น บัดนี้ประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารในวัดปทุมวนาราม ก่อนนั้นประดิษฐานอยู่ที่วัดส้มเกลี้ยง หรือวัดราชผาติการาม สำหรับหลวงพ่อสุกนั้นตอนขณะเคลื่อนย้ายข้ามแม่น้ำโขง แพแตกจึงจมลงที่ปากน้ำงึม ยังกู้ขึ้นมาไม่ได้ จนบัดนี้
เมื่อแวะนมัสการหลวงพ่อใสแล้วคณะจึงได้ข้ามแม่น้ำโขงผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเข้าสู่นครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
วันรุ่งขึ้นคณะจึงเดินทางจากนครหลวงเวียงจันทน์ โดยทางบริษัทจัดให้เลือก 2 ทาง คือ ทางเฮลิคอปเตอร์ และทางเรือ ข้ามอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนน้ำงึม 1
เขื่อนน้ำงึม 1 นั้นสร้างเสร็จก่อน ′การปลดปล่อย′ โดยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารโลก ไฟฟ้าส่วนใหญ่ส่งขายให้ประเทศไทย แล้วซื้อไฟฟ้าจากประเทศไทยกลับไปที่เมืองสุวรรณเขตอีกทีหนึ่ง
ทางคณะมติชนเลือกเดินทางโดยทางเรือ เพื่อชมทัศนียภาพในบริเวณอ่างเก็บน้ำของน้ำงึม 1 ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา มียอดเขาโผล่ขึ้นมากลางน้ำเป็นระยะ ๆ ตลอดทาง
โครงการน้ำงึม 1 นี้ในสมัยสงครามกลางเมือง และหลัง′ปลดปล่อย′ เป็นแหล่งทำเงินตราต่างประเทศที่สำคัญ อันเดียวของประเทศลาวอยู่หลายปี
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนานใหญ่หลัง ′การปลดปล่อย′ ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ลาว จะมีปัญหาทางการเมืองตามกระแสการเมืองระหว่างประเทศ หรือระหว่างฝ่ายเสรีประชาธิปไตยกับค่ายประชาธิปไตยสังคมนิยม ทางฝ่ายลาวก็ยังปฏิบัติตามสัญญาที่ทำกันไว้ เมื่อก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างเคร่งครัดในการส่งไฟฟ้ามาขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ทางฝ่ายไทยก็ปฏิบัติตามสัญญาในการรับซื้อไฟฟ้าจากลาวอย่างเคร่งครัด
ปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศมิได้ทำให้การไฟฟ้าลาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตไม่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายให้กันและกันแต่ประการใด
การพึ่งพากันระหว่างไทยกับลาวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรจะทำให้เราทั้งสองประเทศขาดซึ่งกันและกันได้
สมกับคำที่ว่า ′ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มั่นคงแนบแน่นนั้นต้องเป็นความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งการมีผลประโยชน์ร่วมกัน′ ยิ่งสองประเทศนั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันมากขึ้นเท่าใดความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันก็ยิ่งจะมั่นคงแนบแน่นขึ้นเท่านั้น
สำหรับไทยนั้นเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของลาว ในขณะเดียวกันไทยก็ยังครองความเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดของลาว แม้ว่าจะเสียความเป็นแชมป์ไประยะหนึ่งเมื่อ 2-3 ปีก่อน แต่เดี๋ยวนี้ก็กลับมาเป็นประเทศที่ลงทุนในลาวมากที่สุด
เมื่อคณะเดินทางไปถึงเขื่อนน้ำงึม 2 ซึ่งจะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 650 เมกะวัตต์ต่อปี ซึ่งถ้าเทียบเขื่อนที่ผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของไทยเราแล้ว ต้องถือว่าเป็นเขื่อนที่ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ ความที่ระดับน้ำเหนือเขื่อนสูงกว่าระดับน้ำท้ายเขื่อนเป็นอันมาก น้ำจำนวนเท่ากันจึงมีพลังผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า
ทางบริษัทน้ำงึม 2 ได้จัดเรือเร็วที่เพิ่ง ซื้อใหม่ไว้รับรอง โดยแล่นขึ้นไปทางเหนือเขื่อน ระดับน้ำขณะนั้นสูงกว่า 180 เมตรแล้ว น้ำเหนือเขื่อนที่มีความเขียวชอุ่มของ ป่าไม้ที่ขึ้นอยู่บนเทือกเขา ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมูป่าเก้ง กวาง และอื่น ๆ น้ำที่เพิ่งเอ่อขึ้นมาใสสะอาดมองไปสะท้อนท้องฟ้าเป็นสีคราม ลมพัดเอื่อย ๆ เย็นสบาย
ตลอดทางที่เรือแล่นขึ้นไปตามลำน้ำเหนือเขื่อน มีน้ำตกไหลซ่า เสียงดังจ๊อก ๆ โครม ๆ หลายสิบแห่ง ทำให้นึกถึงเพลงเขมรไทรโยค ซึ่งประพันธ์ขึ้นมาชมความงามของน้ำตกไทรโยค
ประเทศลาวนั้นมีศักยภาพทางด้านการผลิตไฟฟ้าทั้งจากพลังน้ำและถ่านหินลิกไนต์เกือบ 30,000 เมกะวัตต์ต่อปี เท่า ๆ กับไฟฟ้าที่ประเทศไทยใช้ทั้งประเทศในขณะนี้
น้ำที่ไหลจากเทือกเขาที่ยาวเหยียดจากเหนือจดใต้ กั้นระหว่างลาวกับเวียดนามลงผ่านลำน้ำทางเหนือของประเทศเรียกว่า ′แม่′ ตอนกลางเรียกว่า ′น้ำ′ และทางใต้ก็เรียกว่า ′เซ′ ลงมาสู่น้ำโขงออกปากน้ำทางตอนใต้ของเวียดนาม เป็นปริมาณน้ำจากประเทศลาวเสียกว่า 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำทั้งหมดที่ไหลมาจากทิเบต จีน พม่าลงมาสู่ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม
ถ้าศักยภาพทั้งหมดถูกนำมาใช้แล้วส่งขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน คือ ไทย จีน เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งล้วนแต่เป็นตลาดใหญ่ ลาวก็จะเป็น ′แบตเตอรี่แห่งเอเชีย′ อย่างไม่มีปัญหา ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดปราศจากมลพิษ
การที่ลาวจะยังคงรักษาศักยภาพของการเป็นแบตเตอรี่แห่งเอเชียได้ ทางผู้ใหญ่ของลาวทั้งในภาครัฐบาล และผู้ใหญ่ในพรรคตระหนักดีว่า ′การรักษาสิ่งแวดล้อม′ ไว้อย่างเหนียวแน่นเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดในการจะเป็นแบตเตอรี่ของเอเชีย
ประชาชนที่อาศัยทำมาหากินอยู่บริเวณเหนือเขื่อนซึ่งมีไม่มาก มีประมาณ 1,000 ครัวเรือนก็ได้รับการชดใช้ค่าที่ดินอย่างเป็นธรรม ขณะเดียวกันก็มีการจัดที่อยู่อาศัยให้ใหม่ จัดระบบชลประทานและระบบไฟฟ้า ให้เป็นที่พอใจของฝ่ายปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าแขวงและคณะกรรมการพรรคประจำแขวง
ประชาชนทั้ง 1,000 ครอบครัว เป็นชาว ′กัมมุ′ คนไทยเราเรียกชนเผ่านี้ว่า ′ขมุ′ ภาษากัมมุเป็นสาขาหนึ่งในกลุ่มภาษาที่เราเรียกว่า ′มอญ-แขมร์′ เช่นคำว่า ′เมือง′ เขาเรียกว่า ′กรุง′ เป็นต้น คล้าย ๆ กับ ชนเผ่า ′โซ่′ และ ′ส่วย′ ในบ้านเรา แถว ๆ นครพนม มุกดาหาร และสกลนคร
น้ำงึมนั้นเป็นสาขาที่สำคัญของแม่น้ำโขงไหลพาดลงมาจากเทือกเขาที่ยาวเหยียด ภูเขาลูกที่แม่น้ำงึมก่อกำเนิดไหลลงแม่น้ำโขงในแขวงเวียงจันทน์นั้นเรียกว่า ′ภูเขาควาย′ ระบบของแม่น้ำงึมสายเดียวสามารถสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าได้ถึง 5 เขื่อน ตั้งแต่เขื่อนน้ำงึม 1 สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ บัดนี้เขื่อนน้ำงึม 2 สร้างเสร็จแล้ว เขื่อนน้ำงึม 3 กำลังเริ่มสร้าง ต่อไปจึงเป็นน้ำงึม 4 และน้ำงึม 5 สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนกับเขื่อนที่มีหลายระดับกั้นแม่น้ำสายเดียวตามเทือกเขาร็อกกี้ ในมลรัฐโคโลราโด ของสหรัฐอเมริกา
น้ำงึมที่สามารถสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าได้ 5 เขื่อนนี้ไหลผ่านป่าเขาที่ไม่ค่อยมีประชากรอาศัยอยู่มากนัก เพราะลาวเป็นประเทศที่มีประชากรไม่มากเมื่อเทียบกับพื้นที่ของประเทศ
อาหารเย็นมื้อนั้นได้แม่ครัวจากเวียงจันทน์มาทำอาหารลาวให้ อาหารลาวแท้ ๆ รสไม่จัด ไม่เผ็ด เปรี้ยว เค็ม เหมือนอาหารอีสานเรา อาหารเย็นวันนั้นดูเหมือนจะประกอบด้วยปลาน้ำจืดจากอ่างเก็บน้ำงึม ประกอบด้วย ลาบปลาแข้ ปิ้งไก่ลาด ต้มปลาพอน ผัดเผ็ดหมู ปิ้งปลา แกล้มกับ ผักดอง แจ่วหมากเล็น หรือมะเขือเทศพันธุ์พื้นเมืองลูกเล็ก ๆ เป็นพวงคล้ายมะเขือพวง แล้วก็เออะหลามของหลวงพระบาง ใบแก่นชะค้าน ทางเชียงใหม่เราเรียกว่า เครือจะคร้าน เป็นไม้เลื้อยขนาดใหญ่ปลูกไม่ได้ ขึ้นเองในป่า อาหารจานเด็ดก็คือ ′แมงจรวดคั่ว′ แมงจรวดเป็นจักจั่นชนิดหนึ่ง มีรูปร่างและบินเร็วเหมือนจรวด
สิ่งที่จะขาดไม่ได้ในประเทศลาว คือ หลังอาหารจะมีรายการร้องเพลงโดยเจ้าภาพและแขก ตามด้วยรำวงโดยน้อง ๆ ที่เป็นสาวที่มาช่วยเสิร์ฟอาหาร เสิร์ฟน้ำนั่นเอง ตอนหลังจากการรับประทานอาหารก็มาเชิญแขกฝ่ายชายออกไปรำวง
รำวงมาตรฐานของลาวต่างกับรำวงมาตรฐานของไทย รำวงของลาวฝ่ายหญิงอยู่วงนอก ฝ่ายชายอยู่วงใน มีเพลงหลายเพลงที่มีท่ารำต่างออกไปจากท่ามาตรฐาน คือ เพลงลำ′ตั่งหวาย′ เป็นเพลงของชนเผ่าที่อยู่ในแขวงสุวรรณเขต และเพลง สาละวันเตี้ยลงŽ ซึ่งรู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่คนไทยเรา และที่ขาดเสียมิได้คือการเต้นรำในจังหวะ ′บัดสะโลบ′ ซึ่งเป็นจังหวะพิเศษที่ลาวคิดขึ้นเอง เหมือนกับเต้นรำจังหวะตะลุงของไทยเรา
เคยได้รับการบอกเล่าว่า ′รำวง′ ของลาวนั้นมีบทบาทสำคัญในการทำสงครามปลดปล่อย เพราะพรรคประชาชนปฏิวัติลาวใช้รำวงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรวมประชาชน และสร้างความสนุกสนานคลายความเคร่งเครียดในภาวะสงคราม
คืนนั้นเข้าใจว่าทุกคนหลับเป็นตาย เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางการดูงานในเขื่อนผลิตไฟฟ้าน้ำงึม 2 เป็นโครงการร่วมกันระหว่างการไฟฟ้าลาวกับบริษัท ช.การช่าง และบริษัทราชบุรีฯของไทยเป็นส่วนใหญ่ ผลิตอยู่ในลาว แต่ผู้ใช้ไฟฟ้าอยู่ในประเทศไทย ซึ่งโรงไฟฟ้าเกือบจะสร้างขึ้นมาใหม่ไม่ได้แล้ว แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้ายังเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ
ประเทศลาวนั้นเคยได้รับการขนานนามว่าเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเล หรือ Land Locked Country แต่ปรากฏว่า ลาวอยู่ท่ามกลางตลาดใหญ่ทางเหนือ คือ จีน มีประชากร 1,300 ล้าน ทางตะวันออกติดเวียดนามมีประชากรเกือบ 80 ล้าน ด้านตะวันตกเฉียงเหนือติดพม่า มีประชากรเกือบ 50 ล้าน ตะวันตกติดกับไทยประชากร 65 ล้าน ทางใต้ติดกับกัมพูชา ประชากรกว่า 15 ล้านเข้าไปแล้ว
การติดต่อค้าขายระหว่างตลาดใหญ่ ๆ เหล่านี้ต้องผ่านลาว ถ้าระบบการขนส่งทั้งทางบก ทางอากาศ ได้รับการพัฒนาเข้าสู่ระดับสากล ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกด้านหนึ่งนอกจากเป็นแบตเตอรี่ของเอเชียแล้ว ต้องเปลี่ยนลาวเป็น Land Link CountryŽ ให้ได้ในอนาคต และมีความเป็นไปได้สูงเพราะศตวรรษนี้เป็นศตวรรษของเอเชีย
คิดถึงอนาคตอันสดใสของลาวแล้วมีความสุข
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เจาะห้อง Morning Brief 5 อรหันต์ แห่งตึกไทยคู่ฟ้า เตือนภัยวิกฤต-พายุแดงถล่มหนักปลายปี
ประชาชาติธุรกิจ
รายงานพิเศษ
สารพัดพายุ-มรสุมและม่านฝน กำลังพัดโหมเข้าใส่ตึกไทยคู่ฟ้า ทั้งปัญหาเกม-กับดักการเมืองและการผลักดันเมกะโปรเจ็กต์ จากพรรคร่วมรัฐบาล
ทั้งฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน ปัญหาแนวรบที่ชายแดนด้านกัมพูชา
ทั้งแนวร่วม ที่พลิกผันกลายเป็นแนวรบ จากพรรคภูมิใจไทย
ทั้งวาระ-ภาระแห่งมิตร ที่แปลงร่างจากพันธมิตร ไปเป็นพรรคการเมืองใหม่
สารพัดปัจจัยภายนอก พุ่งเข้าใส่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" จนบางครั้งแทบถอดใจ
ในห้องประชุมคณะกุนซือ 5 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทุกเช้าวันศุกร์ จึงมีวาระ "เพื่อเป็นกำลังใจ" มากกว่าวาระเพื่อพิจารณา
เมื่อข้าราชการเสิร์ฟข้าวต้มกุ้ง หรือข้าวต้มหมู พร้อมปาท่องโก๋ ซ้ำไปซ้ำมา จำเจ วนเวียนนานนับปี จึงไม่มีที่ปรึกษา คนใด ใส่ใจกับอาหารประกอบการประชุมตรงหน้า
ทั้ง คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่รับผิดชอบงานด้านสังคม การแก้ปัญหาผู้ด้อยโอกาส องค์กรชุมชน สิทธิเด็ก สตรี คนชรา
ทั้ง นายสาวิตต์ โพธิวิหค ที่ให้คำแนะนำด้านเศรษฐกิจมหภาค วิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ และงานนโยบายพลังงาน
ทั้ง นายกนก วงษ์ตระหง่าน ที่มีการบ้านเรื่องทิศทางการศึกษา-สาธารณสุข แรงงาน และไอซีที พร้อมนำเสนอ
หรือ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่รับหน้าเสื่อเรื่องสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการไทยเข้มแข็ง
เฉพาะอย่างยิ่ง นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ที่มีดีกรีหัวหน้าสำนักงานทนายความ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่รับภาระแห่งคดี ยุบพรรค และหัวข้อกฎหมาย แทบไม่มีใครเห็นเขาปรากฏตัวที่อื่น นอกจากในตึก ไทยคู่ฟ้าและที่ศาลรัฐธรรมนูญ
Think Tank 1 ใน 5 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เล่าหลังโต๊ะอาหารเช้าวันศุกร์ จากตึกไทยคู่ฟ้า ว่า "วงประชุม 5 ที่ปรึกษา กับนายกรัฐมนตรี ไม่ได้คุยเอามติ แต่คุยเอาความเห็น หาประเด็น"
ยกเว้นวาระของคุณหญิงสุพัตรา และวาระของนายอภิรักษ์ ที่มี "เนื้อหา" นำเสนอ เพื่อนำไปปฏิบัติ
"วาระของท่านบัณฑิต เรื่องในรัฐบาลแทบไม่มี ถึงมีก็น้อย เพราะท่านรับภาระที่ใหญ่หลวงกว่านั้น พรรคเราอยู่มาตั้ง 64 ปี ต้องสู้เต็มที่" 1 ใน 5 กุนซือเล่าบรรยากาศวงประชุม
ครั้งหนึ่ง หลังกลับจากกองบัญชาการกรมทหารราบ 11 วงประชุม-ถกเรื่องปัญหาความแตกแยกในสังคมการเมือง
มีการปุจฉาว่า : หลังเหตุการณ์ "พฤษภา 53" มีคนมองว่า เราอยู่รักษาอำนาจ
คณะที่ปรึกษาบอกกับนายกรัฐมนตรีว่า : แต่เราทำหน้าที่ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีทำ มีเหตุ มีผล ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
นายกรัฐมนตรีปรารภว่า : ผมไม่ท้อ ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง พร้อมออก แต่การอยู่ในตำแหน่ง ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ครั้งหนึ่ง วงประชุมถกเรื่องเศรษฐกิจและเครื่องมือในการแก้ปัญหาหนี้
วาระมีอยู่ว่า : ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกฯ ต้องการสางหนี้นอกระบบ โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รับผิดชอบ แต่ โดนสกัดจาก ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กับ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นายกรัฐมนตรีมีความเห็นว่า : ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ หาก รมว.คลังจะส่งให้กฤษฎีกาตีความ ก็ต้องรอ เพราะเป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ สุดท้ายเรื่องก็ต้องวนกลับมา แล้วค่อยดำเนินการ
นายสาวิตต์สรุปความเห็นว่า : ที่สุดแล้วก็ต้องทำ แต่ระหว่างที่ทำมีปัญหาข้อกฎหมาย ก็ทำให้ครบขั้นตอน จะได้เดินหน้าได้โดยไม่ต้องติดขัดปัญหาระหว่างดำเนินการ
ครั้งหนึ่ง ช่วงท้ายการประชุม หลังถ้วยกาแฟและปาท่องโก๋ จากตลาดนางเลิ้ง เสิร์ฟเป็นรายการสุดท้ายของมื้อเช้า
เข้าสู่วาระที่ว่าด้วยเรื่อง : ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทยและการวิเคราะห์สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ข้อวิเคราะห์ของทีมที่ปรึกษา เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า : ปัญหาความแตกแยกขณะนี้ ถูกแกนนำใส่โปรแกรมให้กับผู้ชุมนุมว่าเป็นเรื่องอุดมการณ์ ซึ่งเป็นอันตราย เกิดความแตกแยกร้าวลึกถึงชุมชน-ชนบท ครอบครัว จะแก้ยากกว่าความแตกแยกเรื่องผลประโยชน์
"ขณะนี้ดูเหมือนทุกอย่างสงบนิ่ง เหมือนแผลสด ๆ หลังเหตุการณ์ พฤษภา 53 แต่หลังจากนี้ ตามธรรมชาติพายุใหญ่จะก่อตัวอย่างเงียบ ๆ แล้วจะถล่มซ้ำเข้ามา หลังจากลมสงบได้ไม่นาน"
"คาดว่าประมาณปลาย ๆ ปี หรือปลายเดือนตุลาคม ก็จะเห็นลมพายุใหญ่อีกครั้ง คราวนี้อาจจะเปลี่ยนรูปแบบการชุมนุม ที่น่าจะเพิ่มดีกรีความอันตราย...น่ากลัวกว่าเดิม"
จึงไม่น่าแปลกใจที่หลังจากเหตุการณ์ "พฤษภา 53" ทั้งองคาพยพของรัฐบาลขับเคลื่อนไปสู่กระบวนการปรองดอง และตั้งกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง
มีการรวบรวม-ติดต่อ เชื่อมประสานกับปัญญาชน อดีตผู้นำทางการเมืองทั้งสายเหลือง สายแดง ไว้อย่างหลวม ๆ
และมีการนำเค้าโครงนโยบาย-มาตรการ "สังคมสวัสดิการ" ที่มีเข็มมุ่งไปที่ "การให้แบบถึงมือ-ฟรี-เป็นรูปธรรม-จ่ายจริง-รับจริง" เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย
ทางหนึ่งเพื่อซื้อใจคนทุกชนชั้น
ทางหนึ่งเพื่อประคองสถานการณ์ไปจนถึงวันเลือกตั้ง
ทางหนึ่งเพื่อจัดตั้งคะแนนนิยมล่วงหน้า
ผลพวงของความพยายามและข้อวิเคราะห์ของ "อภิสิทธิ์" และ 5 อรหันต์ อาจยังไม่ออกดอกออกผล กับชนชั้น รากหญ้า-สีแดง
แต่นักธุรกิจในเมือง เปิดหน้าเผยโฉม-แสดงความคิดเห็น ตอบรับสังคมสวัสดิการ และเค้าโครงการปฏิรูปประเทศ ผ่านมติเห็นชอบของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน
นายธนินท์ เจียรวนนท์ จากสำนักธุรกิจใหญ่-ค่าย ซี.พี. เคยบอกว่า "อภิสิทธิ์" ไม่จำเป็นต้องเก่ง แต่ต้องรู้จักการใช้ กฎเกณฑ์ กล้าใช้ "กุนซือ-ที่ปรึกษา" ที่มีความสามารถ
เจ้าสัว ซี.พี.แนะแนวการตั้ง "กุนซือ" ว่า ควรตั้งเป็น 3 ทีม ทีมแรก ทีมช่วย นายกรัฐมนตรีวิเคราะห์นโยบาย
และทีมที่สอง หาคนเก่งเข้ามาช่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศ
ท้ายที่สุด ต้องมีทีมเศรษฐกิจอีกหนึ่งทีม ที่เป็นนักธุรกิจซึ่งต้องรู้จริง
จึงปรากฏ องค์คณะที่ปรึกษา 5 อรหันต์ การเมืองในตึกไทยคู่ฟ้า
กินเงินเดือนอัตราอย่างต่ำ 70,000 บาท คุณสมบัติ เป็นผู้มีความรอบรู้ มีไหวพริบ ปฏิภาณ การหักเล่ห์เพทุบาย ชิงเหลี่ยม รู้เล่ห์ทันคน
วรรณกรรม "สามก๊ก" บอกความสำเร็จของขุนพลเกิดขึ้นได้เพราะ "กุนซือ" ชื่อ "ขงเบ้ง" ฉันใด
การตั้งรับมรสุมการเมือง-วิกฤตพายุแดง ของนายกรัฐมนตรี "อภิสิทธิ์" ในตึกไทยคู่ฟ้า และการขยายอาณาจักร ประชาธิปัตย์-จะก้าวผ่านมรสุมการเมือง-ไปสู่การชนะเลือกตั้งได้ ก็อาจเป็นเพราะ "กุนซือ" ฉันนั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รายงานพิเศษ
สารพัดพายุ-มรสุมและม่านฝน กำลังพัดโหมเข้าใส่ตึกไทยคู่ฟ้า ทั้งปัญหาเกม-กับดักการเมืองและการผลักดันเมกะโปรเจ็กต์ จากพรรคร่วมรัฐบาล
ทั้งฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน ปัญหาแนวรบที่ชายแดนด้านกัมพูชา
ทั้งแนวร่วม ที่พลิกผันกลายเป็นแนวรบ จากพรรคภูมิใจไทย
ทั้งวาระ-ภาระแห่งมิตร ที่แปลงร่างจากพันธมิตร ไปเป็นพรรคการเมืองใหม่
สารพัดปัจจัยภายนอก พุ่งเข้าใส่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" จนบางครั้งแทบถอดใจ
ในห้องประชุมคณะกุนซือ 5 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทุกเช้าวันศุกร์ จึงมีวาระ "เพื่อเป็นกำลังใจ" มากกว่าวาระเพื่อพิจารณา
เมื่อข้าราชการเสิร์ฟข้าวต้มกุ้ง หรือข้าวต้มหมู พร้อมปาท่องโก๋ ซ้ำไปซ้ำมา จำเจ วนเวียนนานนับปี จึงไม่มีที่ปรึกษา คนใด ใส่ใจกับอาหารประกอบการประชุมตรงหน้า
ทั้ง คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่รับผิดชอบงานด้านสังคม การแก้ปัญหาผู้ด้อยโอกาส องค์กรชุมชน สิทธิเด็ก สตรี คนชรา
ทั้ง นายสาวิตต์ โพธิวิหค ที่ให้คำแนะนำด้านเศรษฐกิจมหภาค วิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ และงานนโยบายพลังงาน
ทั้ง นายกนก วงษ์ตระหง่าน ที่มีการบ้านเรื่องทิศทางการศึกษา-สาธารณสุข แรงงาน และไอซีที พร้อมนำเสนอ
หรือ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่รับหน้าเสื่อเรื่องสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการไทยเข้มแข็ง
เฉพาะอย่างยิ่ง นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ที่มีดีกรีหัวหน้าสำนักงานทนายความ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่รับภาระแห่งคดี ยุบพรรค และหัวข้อกฎหมาย แทบไม่มีใครเห็นเขาปรากฏตัวที่อื่น นอกจากในตึก ไทยคู่ฟ้าและที่ศาลรัฐธรรมนูญ
Think Tank 1 ใน 5 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เล่าหลังโต๊ะอาหารเช้าวันศุกร์ จากตึกไทยคู่ฟ้า ว่า "วงประชุม 5 ที่ปรึกษา กับนายกรัฐมนตรี ไม่ได้คุยเอามติ แต่คุยเอาความเห็น หาประเด็น"
ยกเว้นวาระของคุณหญิงสุพัตรา และวาระของนายอภิรักษ์ ที่มี "เนื้อหา" นำเสนอ เพื่อนำไปปฏิบัติ
"วาระของท่านบัณฑิต เรื่องในรัฐบาลแทบไม่มี ถึงมีก็น้อย เพราะท่านรับภาระที่ใหญ่หลวงกว่านั้น พรรคเราอยู่มาตั้ง 64 ปี ต้องสู้เต็มที่" 1 ใน 5 กุนซือเล่าบรรยากาศวงประชุม
ครั้งหนึ่ง หลังกลับจากกองบัญชาการกรมทหารราบ 11 วงประชุม-ถกเรื่องปัญหาความแตกแยกในสังคมการเมือง
มีการปุจฉาว่า : หลังเหตุการณ์ "พฤษภา 53" มีคนมองว่า เราอยู่รักษาอำนาจ
คณะที่ปรึกษาบอกกับนายกรัฐมนตรีว่า : แต่เราทำหน้าที่ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีทำ มีเหตุ มีผล ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
นายกรัฐมนตรีปรารภว่า : ผมไม่ท้อ ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง พร้อมออก แต่การอยู่ในตำแหน่ง ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ครั้งหนึ่ง วงประชุมถกเรื่องเศรษฐกิจและเครื่องมือในการแก้ปัญหาหนี้
วาระมีอยู่ว่า : ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกฯ ต้องการสางหนี้นอกระบบ โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รับผิดชอบ แต่ โดนสกัดจาก ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กับ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นายกรัฐมนตรีมีความเห็นว่า : ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ หาก รมว.คลังจะส่งให้กฤษฎีกาตีความ ก็ต้องรอ เพราะเป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ สุดท้ายเรื่องก็ต้องวนกลับมา แล้วค่อยดำเนินการ
นายสาวิตต์สรุปความเห็นว่า : ที่สุดแล้วก็ต้องทำ แต่ระหว่างที่ทำมีปัญหาข้อกฎหมาย ก็ทำให้ครบขั้นตอน จะได้เดินหน้าได้โดยไม่ต้องติดขัดปัญหาระหว่างดำเนินการ
ครั้งหนึ่ง ช่วงท้ายการประชุม หลังถ้วยกาแฟและปาท่องโก๋ จากตลาดนางเลิ้ง เสิร์ฟเป็นรายการสุดท้ายของมื้อเช้า
เข้าสู่วาระที่ว่าด้วยเรื่อง : ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทยและการวิเคราะห์สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ข้อวิเคราะห์ของทีมที่ปรึกษา เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า : ปัญหาความแตกแยกขณะนี้ ถูกแกนนำใส่โปรแกรมให้กับผู้ชุมนุมว่าเป็นเรื่องอุดมการณ์ ซึ่งเป็นอันตราย เกิดความแตกแยกร้าวลึกถึงชุมชน-ชนบท ครอบครัว จะแก้ยากกว่าความแตกแยกเรื่องผลประโยชน์
"ขณะนี้ดูเหมือนทุกอย่างสงบนิ่ง เหมือนแผลสด ๆ หลังเหตุการณ์ พฤษภา 53 แต่หลังจากนี้ ตามธรรมชาติพายุใหญ่จะก่อตัวอย่างเงียบ ๆ แล้วจะถล่มซ้ำเข้ามา หลังจากลมสงบได้ไม่นาน"
"คาดว่าประมาณปลาย ๆ ปี หรือปลายเดือนตุลาคม ก็จะเห็นลมพายุใหญ่อีกครั้ง คราวนี้อาจจะเปลี่ยนรูปแบบการชุมนุม ที่น่าจะเพิ่มดีกรีความอันตราย...น่ากลัวกว่าเดิม"
จึงไม่น่าแปลกใจที่หลังจากเหตุการณ์ "พฤษภา 53" ทั้งองคาพยพของรัฐบาลขับเคลื่อนไปสู่กระบวนการปรองดอง และตั้งกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง
มีการรวบรวม-ติดต่อ เชื่อมประสานกับปัญญาชน อดีตผู้นำทางการเมืองทั้งสายเหลือง สายแดง ไว้อย่างหลวม ๆ
และมีการนำเค้าโครงนโยบาย-มาตรการ "สังคมสวัสดิการ" ที่มีเข็มมุ่งไปที่ "การให้แบบถึงมือ-ฟรี-เป็นรูปธรรม-จ่ายจริง-รับจริง" เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย
ทางหนึ่งเพื่อซื้อใจคนทุกชนชั้น
ทางหนึ่งเพื่อประคองสถานการณ์ไปจนถึงวันเลือกตั้ง
ทางหนึ่งเพื่อจัดตั้งคะแนนนิยมล่วงหน้า
ผลพวงของความพยายามและข้อวิเคราะห์ของ "อภิสิทธิ์" และ 5 อรหันต์ อาจยังไม่ออกดอกออกผล กับชนชั้น รากหญ้า-สีแดง
แต่นักธุรกิจในเมือง เปิดหน้าเผยโฉม-แสดงความคิดเห็น ตอบรับสังคมสวัสดิการ และเค้าโครงการปฏิรูปประเทศ ผ่านมติเห็นชอบของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน
นายธนินท์ เจียรวนนท์ จากสำนักธุรกิจใหญ่-ค่าย ซี.พี. เคยบอกว่า "อภิสิทธิ์" ไม่จำเป็นต้องเก่ง แต่ต้องรู้จักการใช้ กฎเกณฑ์ กล้าใช้ "กุนซือ-ที่ปรึกษา" ที่มีความสามารถ
เจ้าสัว ซี.พี.แนะแนวการตั้ง "กุนซือ" ว่า ควรตั้งเป็น 3 ทีม ทีมแรก ทีมช่วย นายกรัฐมนตรีวิเคราะห์นโยบาย
และทีมที่สอง หาคนเก่งเข้ามาช่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศ
ท้ายที่สุด ต้องมีทีมเศรษฐกิจอีกหนึ่งทีม ที่เป็นนักธุรกิจซึ่งต้องรู้จริง
จึงปรากฏ องค์คณะที่ปรึกษา 5 อรหันต์ การเมืองในตึกไทยคู่ฟ้า
กินเงินเดือนอัตราอย่างต่ำ 70,000 บาท คุณสมบัติ เป็นผู้มีความรอบรู้ มีไหวพริบ ปฏิภาณ การหักเล่ห์เพทุบาย ชิงเหลี่ยม รู้เล่ห์ทันคน
วรรณกรรม "สามก๊ก" บอกความสำเร็จของขุนพลเกิดขึ้นได้เพราะ "กุนซือ" ชื่อ "ขงเบ้ง" ฉันใด
การตั้งรับมรสุมการเมือง-วิกฤตพายุแดง ของนายกรัฐมนตรี "อภิสิทธิ์" ในตึกไทยคู่ฟ้า และการขยายอาณาจักร ประชาธิปัตย์-จะก้าวผ่านมรสุมการเมือง-ไปสู่การชนะเลือกตั้งได้ ก็อาจเป็นเพราะ "กุนซือ" ฉันนั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายบูท:พ่อค้าความตาย?
เกี่ยวกับผู้เขียน
นาย กริกอรี่ ปาสโค เป็นนักข่าวและนักโทษทางการเมืองชาวรัสเซีย โดยนายปาสโคได้ถูกจับกุมและพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ในข้อหากบฏต่อต้านรัฐบาลรัสเซีย นายปาสโคถูกปล่อยตัวหลังจากถูกจำคุกเป็นเวลา 2ปี และได้รับอนุญาตให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศ 18เดือนหลังจากได้รับการปล่อยตัว นายอัมสเตอร์ดัมและนายปาสโคได้ทำงานร่วมกันในด้านการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนในรัสเซียเป็นเวลาหลายปี
พ่อค้าความตาย?
นายฟิลลิปส์ โควเลย์ ตัวแทนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ แสดงความเห็นว่าคดีของนายบูทจะไม่ส่งผลในทางลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซีย การประกาศเช่นนี้ถือเป็นการประกาศตามมารยาททางการทูตเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้ว แม้แต่บุคคลทั่วไปก็สามารถมองเห็นได้ว่าคดีของนายบูทนั้นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอย่างมาก และอันที่จริงแล้วคดีของนายบูทได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศแล้ว แม้กระทั่งในปัจจุบัน เราสามารถรับรู้ได้ว่าการแถลงข่าวของเหล่านักการทูตรัสเซียในประเทศไทยดูจะไม่ค่อยพอใจที่สหรัฐพยายามกดดันให้รัฐบาลไทยส่งตัวนายบูทไปยังสหรัฐ
ประชาชนรัสเซียโดยทั่วไปย่อมเข้าใจว่า การที่รัฐบาลรัสเซียพยายามปกป้องนายบูทอย่างหนัก แสดงให้เห็นว่านายบูทมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งไม่ดีไม่งามบางอย่าง เพราะรัฐบาลของปูตินมักจะปกป้องพียงแค่กลุ่มคนที่รัฐบาลชอบ รักใคร่ และคนที่ทำตามคำสั่งรัฐบาลเท่านั้น การปกป้องนายบูทไม่ต่างจากการปกป้องกลุ่มนักบินชาวรัสเซียที่ถูกจับกุมเมื่อหลายปีก่อนที่อินเดีย ปกป้องกลุ่มคนที่สังหารของนาย Yandarbiyev และปกป้องกลุ่มสายลับชาวรัสเซียที่ปฏิบัติการล้มเหลวในสหรัฐ
และด้วยเหตุดังกล่าว คนในประเทศรัสเซียจึงไม่แม้แต่พยายามที่จะแสวงหาความจริงว่าแท้จริงแล้วนายบูทถูกกล่าวหาด้วยข้อหาอะไร หรือเป็นใคร
ในขณะเดียวกัน มีข้อมูลกระจายอยู่ในอินเตอร์เน็ตว่านายวิกเตอร์ บูทถูกอัยการของรัฐนิวยอร์กดำเนินคดีสี่ข้อหาด้วยกัน รวมถึงข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสมรู้ร่วมคิดทางอาชญากรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะลำเลียงอาวุธสงครามให้แก่กลุ่มนักต่อสู้กองกำลังปฏิวัติแห่งโคลัมเบีย (FRRC) “โดยนายบูทรับรู้และเข้าใจว่าอาวุธเหล่านั้นได้นำไปใช้เข่นฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐ”
การข้อมูลข่าวสารบางส่วนที่ประชาชนได้รับรู้ ทำให้สามารถโยงข้อเท็จจริงทั้งสี่ประการเข้าด้วยกันได้ทันที ประการแรก ไม่กี่ปีที่ผ่านมารัฐบาลรัสเซียได้สารสัมพันธ์กับรัฐบาลนายฮูโก้ ชาเวซอย่างชัดแจ้ง กระตือรือร้น หรืออาจกว่าได้ว่าอย่างหนักหน่วง โดยลำเลียงอาวุธสงครามให้นายชาเวซ และยังสร้างข้อตกลงอันเหนียวแน่นโดยเฉพาะเรื่องการซื้อขายอาวุธสงคราม ประการที่สอง นายฮูโก้ ชาเวซ กล่าวชมเหล่านักต่อสู้โคลัมเบียบ่อยครั้ง ประการที่สาม นายฮูโก้ ซาเวชกล่าวตำหนิสหรัฐหลายครั้ง ประการสุดท้าย หากกล่าวอย่างนุ่มนวลแล้ว สามารถกล่าวได้ว่า กลุ่มผู้นำรัสเซียในปัจจุบัน ไม่ชอบกลุ่มผู้นำสหรัฐ
เบื้องหลังของเหตุการณ์เหล่านี้ยังมีเรื่องสายลับใต้ดินและสงครามทางการทูตเกิดขึ้นอีกด้วย สิ่งเหล่านี้มักถูกปิดบังจากสายตาประชาคมโลก รัฐบาลรัสเซียจึงทำทุกวิธีทางที่จะไม่ให้นายบูทถูกส่งตัวไปยังสหรัฐ
คำถามคือ กลุ่มผู้นำรัสเซียกลัวอะไร?
คำตอบสามารถหาอ่านได้ในข้อความบางตอนของนักสาวข่าวรัสเซียที่ชื่อว่า Latynina
นี่คือข้อความบางส่วนที่ Latynina เขียน : นายวิกเตอร์ บูทถูกจับกุมข้อหาพยายามขายระบบเครื่องมือป้องกันทางอากาศของรัสเซีย 100 เครื่อง (ระเบิดที่ใช้ยิงเฮลิคอปเตอร์/เครื่องบินระดับต่ำ)ให้แก่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ปลอมตัวเป็นนักต่อสู้ในโคลัมเบีย การเจรจาเกี่ยวกับคดีของนายบูท นักโทษทางการเมือง ได้ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อเราสามารถเปรียบเทียบตัวเลขเหล่านี้แล้วจะทราบได้ทันทีว่าระบบเครื่องมือป้องกันทางอากาศของรัสเซีย 100 เครื่องมีอานุภาพแค่ไหน ผมจะแสดงอีกข้อมูลหนึ่ง องค์กร CIA ได้ลำเลียงเครื่องมือชนิดเดียวกัน 500 เครื่องให้กับกลุ่มกบฎมูจาฮีดีน ชาวอัฟกานิสถาน ในราคา 183,000 ดอลล่าสหรัฐต่าเครื่อง CIA นำกลับประเทศราว 300 เครื่อง เพราะกลุ่มกบฎมูจาฮีดีนใช้แค่ 200 เครื่องก็สามารถทำลายความเป็นผู้นำทางอากาศของโวเวียตได้แล้ว
หากกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ การขนส่งระบบเครื่องมือป้องกันทางอากาศของรัสเซีย 100 เครื่องนี้ เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลรัสเซีย เพราะคงไม่มีใครสามารถดำเนินงานนี้หากปราศจากการสนับสนุนจากเบื้องบน ตามข้อมูลของศูนย์การวิเคราะห์ข้อมูล Stratfor ในสหรัฐ คนในกองทัพที่นายวิกเตอร์ บูททำงานให้ในโมซัมบิค ในยุค 80 คือนายไอกอร์ เชชิน
Latynina ยังกล่าวถึงเรือนขนส่งสินค้าแห้งที่ชื่อว่า Arctic Sea Latynina เธอเห็นว่านายบูทมีความเกี่ยวข้องเพียงน้อยนิดในคดีนี้
แต่ยังมีเหตุการณ์ที่ ในวันที่ 12 ธันวาคม 2552 เครื่องบิน I1-76 ทีใช้ขนอาวุธทั้งหมด 35ตันถูกยึดที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธชนิดที่ใช้ยิงขึ้นฟ้า มีการกล่าวว่าเครื่องบินดังกล่าวเป็นของนายบูท ภายใต้บริษัทของบูท
Latynina สรุปว่า FSB (หน่วยตำรวจลับคล้าย CIA/KGB) ซึ่งตั้งอยู่ที่ Lubyanka Square ในกรุงมอสโควมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว และหากเราร้อยเรียงเรื่องราวเข้าด้วยกัน เราจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าเบื้องหลังนายบูทนั้นไม่ใช่แค่ FSB แต่รวมถึงกลุ่มผู้นำสูงสุดของรัสเซียด้วย และกลุ่มคนเหล่านั้นต้องการตัวนายบูทกลับไปยังรัสเซีย ไม่ใช่ในเรือนจำที่ประเทศไทย และมากกว่านั้นคือ เรือนจำและต่อหน้าศาลในสหรัฐ
นาย กริกอรี่ ปาสโค เป็นนักข่าวและนักโทษทางการเมืองชาวรัสเซีย โดยนายปาสโคได้ถูกจับกุมและพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ในข้อหากบฏต่อต้านรัฐบาลรัสเซีย นายปาสโคถูกปล่อยตัวหลังจากถูกจำคุกเป็นเวลา 2ปี และได้รับอนุญาตให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศ 18เดือนหลังจากได้รับการปล่อยตัว นายอัมสเตอร์ดัมและนายปาสโคได้ทำงานร่วมกันในด้านการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนในรัสเซียเป็นเวลาหลายปี
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นาย กริกอรี่ ปาสโค เป็นนักข่าวและนักโทษทางการเมืองชาวรัสเซีย โดยนายปาสโคได้ถูกจับกุมและพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ในข้อหากบฏต่อต้านรัฐบาลรัสเซีย นายปาสโคถูกปล่อยตัวหลังจากถูกจำคุกเป็นเวลา 2ปี และได้รับอนุญาตให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศ 18เดือนหลังจากได้รับการปล่อยตัว นายอัมสเตอร์ดัมและนายปาสโคได้ทำงานร่วมกันในด้านการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนในรัสเซียเป็นเวลาหลายปี
พ่อค้าความตาย?
นายฟิลลิปส์ โควเลย์ ตัวแทนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ แสดงความเห็นว่าคดีของนายบูทจะไม่ส่งผลในทางลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซีย การประกาศเช่นนี้ถือเป็นการประกาศตามมารยาททางการทูตเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้ว แม้แต่บุคคลทั่วไปก็สามารถมองเห็นได้ว่าคดีของนายบูทนั้นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอย่างมาก และอันที่จริงแล้วคดีของนายบูทได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศแล้ว แม้กระทั่งในปัจจุบัน เราสามารถรับรู้ได้ว่าการแถลงข่าวของเหล่านักการทูตรัสเซียในประเทศไทยดูจะไม่ค่อยพอใจที่สหรัฐพยายามกดดันให้รัฐบาลไทยส่งตัวนายบูทไปยังสหรัฐ
ประชาชนรัสเซียโดยทั่วไปย่อมเข้าใจว่า การที่รัฐบาลรัสเซียพยายามปกป้องนายบูทอย่างหนัก แสดงให้เห็นว่านายบูทมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งไม่ดีไม่งามบางอย่าง เพราะรัฐบาลของปูตินมักจะปกป้องพียงแค่กลุ่มคนที่รัฐบาลชอบ รักใคร่ และคนที่ทำตามคำสั่งรัฐบาลเท่านั้น การปกป้องนายบูทไม่ต่างจากการปกป้องกลุ่มนักบินชาวรัสเซียที่ถูกจับกุมเมื่อหลายปีก่อนที่อินเดีย ปกป้องกลุ่มคนที่สังหารของนาย Yandarbiyev และปกป้องกลุ่มสายลับชาวรัสเซียที่ปฏิบัติการล้มเหลวในสหรัฐ
และด้วยเหตุดังกล่าว คนในประเทศรัสเซียจึงไม่แม้แต่พยายามที่จะแสวงหาความจริงว่าแท้จริงแล้วนายบูทถูกกล่าวหาด้วยข้อหาอะไร หรือเป็นใคร
ในขณะเดียวกัน มีข้อมูลกระจายอยู่ในอินเตอร์เน็ตว่านายวิกเตอร์ บูทถูกอัยการของรัฐนิวยอร์กดำเนินคดีสี่ข้อหาด้วยกัน รวมถึงข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสมรู้ร่วมคิดทางอาชญากรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะลำเลียงอาวุธสงครามให้แก่กลุ่มนักต่อสู้กองกำลังปฏิวัติแห่งโคลัมเบีย (FRRC) “โดยนายบูทรับรู้และเข้าใจว่าอาวุธเหล่านั้นได้นำไปใช้เข่นฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐ”
การข้อมูลข่าวสารบางส่วนที่ประชาชนได้รับรู้ ทำให้สามารถโยงข้อเท็จจริงทั้งสี่ประการเข้าด้วยกันได้ทันที ประการแรก ไม่กี่ปีที่ผ่านมารัฐบาลรัสเซียได้สารสัมพันธ์กับรัฐบาลนายฮูโก้ ชาเวซอย่างชัดแจ้ง กระตือรือร้น หรืออาจกว่าได้ว่าอย่างหนักหน่วง โดยลำเลียงอาวุธสงครามให้นายชาเวซ และยังสร้างข้อตกลงอันเหนียวแน่นโดยเฉพาะเรื่องการซื้อขายอาวุธสงคราม ประการที่สอง นายฮูโก้ ชาเวซ กล่าวชมเหล่านักต่อสู้โคลัมเบียบ่อยครั้ง ประการที่สาม นายฮูโก้ ซาเวชกล่าวตำหนิสหรัฐหลายครั้ง ประการสุดท้าย หากกล่าวอย่างนุ่มนวลแล้ว สามารถกล่าวได้ว่า กลุ่มผู้นำรัสเซียในปัจจุบัน ไม่ชอบกลุ่มผู้นำสหรัฐ
เบื้องหลังของเหตุการณ์เหล่านี้ยังมีเรื่องสายลับใต้ดินและสงครามทางการทูตเกิดขึ้นอีกด้วย สิ่งเหล่านี้มักถูกปิดบังจากสายตาประชาคมโลก รัฐบาลรัสเซียจึงทำทุกวิธีทางที่จะไม่ให้นายบูทถูกส่งตัวไปยังสหรัฐ
คำถามคือ กลุ่มผู้นำรัสเซียกลัวอะไร?
คำตอบสามารถหาอ่านได้ในข้อความบางตอนของนักสาวข่าวรัสเซียที่ชื่อว่า Latynina
นี่คือข้อความบางส่วนที่ Latynina เขียน : นายวิกเตอร์ บูทถูกจับกุมข้อหาพยายามขายระบบเครื่องมือป้องกันทางอากาศของรัสเซีย 100 เครื่อง (ระเบิดที่ใช้ยิงเฮลิคอปเตอร์/เครื่องบินระดับต่ำ)ให้แก่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ปลอมตัวเป็นนักต่อสู้ในโคลัมเบีย การเจรจาเกี่ยวกับคดีของนายบูท นักโทษทางการเมือง ได้ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อเราสามารถเปรียบเทียบตัวเลขเหล่านี้แล้วจะทราบได้ทันทีว่าระบบเครื่องมือป้องกันทางอากาศของรัสเซีย 100 เครื่องมีอานุภาพแค่ไหน ผมจะแสดงอีกข้อมูลหนึ่ง องค์กร CIA ได้ลำเลียงเครื่องมือชนิดเดียวกัน 500 เครื่องให้กับกลุ่มกบฎมูจาฮีดีน ชาวอัฟกานิสถาน ในราคา 183,000 ดอลล่าสหรัฐต่าเครื่อง CIA นำกลับประเทศราว 300 เครื่อง เพราะกลุ่มกบฎมูจาฮีดีนใช้แค่ 200 เครื่องก็สามารถทำลายความเป็นผู้นำทางอากาศของโวเวียตได้แล้ว
หากกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ การขนส่งระบบเครื่องมือป้องกันทางอากาศของรัสเซีย 100 เครื่องนี้ เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลรัสเซีย เพราะคงไม่มีใครสามารถดำเนินงานนี้หากปราศจากการสนับสนุนจากเบื้องบน ตามข้อมูลของศูนย์การวิเคราะห์ข้อมูล Stratfor ในสหรัฐ คนในกองทัพที่นายวิกเตอร์ บูททำงานให้ในโมซัมบิค ในยุค 80 คือนายไอกอร์ เชชิน
Latynina ยังกล่าวถึงเรือนขนส่งสินค้าแห้งที่ชื่อว่า Arctic Sea Latynina เธอเห็นว่านายบูทมีความเกี่ยวข้องเพียงน้อยนิดในคดีนี้
แต่ยังมีเหตุการณ์ที่ ในวันที่ 12 ธันวาคม 2552 เครื่องบิน I1-76 ทีใช้ขนอาวุธทั้งหมด 35ตันถูกยึดที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธชนิดที่ใช้ยิงขึ้นฟ้า มีการกล่าวว่าเครื่องบินดังกล่าวเป็นของนายบูท ภายใต้บริษัทของบูท
Latynina สรุปว่า FSB (หน่วยตำรวจลับคล้าย CIA/KGB) ซึ่งตั้งอยู่ที่ Lubyanka Square ในกรุงมอสโควมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว และหากเราร้อยเรียงเรื่องราวเข้าด้วยกัน เราจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าเบื้องหลังนายบูทนั้นไม่ใช่แค่ FSB แต่รวมถึงกลุ่มผู้นำสูงสุดของรัสเซียด้วย และกลุ่มคนเหล่านั้นต้องการตัวนายบูทกลับไปยังรัสเซีย ไม่ใช่ในเรือนจำที่ประเทศไทย และมากกว่านั้นคือ เรือนจำและต่อหน้าศาลในสหรัฐ
นาย กริกอรี่ ปาสโค เป็นนักข่าวและนักโทษทางการเมืองชาวรัสเซีย โดยนายปาสโคได้ถูกจับกุมและพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ในข้อหากบฏต่อต้านรัฐบาลรัสเซีย นายปาสโคถูกปล่อยตัวหลังจากถูกจำคุกเป็นเวลา 2ปี และได้รับอนุญาตให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศ 18เดือนหลังจากได้รับการปล่อยตัว นายอัมสเตอร์ดัมและนายปาสโคได้ทำงานร่วมกันในด้านการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนในรัสเซียเป็นเวลาหลายปี
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ก่อการร้าย-ซ่องโจรพธม.ชุมนุมยึดสนามบินโดนหนัก12ข้อหา
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
“สนธิ-จำลอง” นำแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯเข้ารายงายตัวรับทราบข้อกล่าวหาชุมนุมบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง เผยแกนนำรุ่น 1 และรุ่น 2 จำนวน 30 คนโดนคนละ 12 ข้อหา หนักสุดคือก่อการร้ายและซ่องโจร ทุกคนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขอเวลาทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร 30 วัน “สนธิ” ประกาศฟ้องกลับตำรวจใช้อำนาจกลั่นแกล้ง อ้างการชุมนุมไม่ได้สร้างความเสียหาย ด้านผู้ช่วย ผบ.ตร. ยืนยันทำตามกรอบกฎหมาย มั่นใจสรุปสำนวนส่งอัยการได้ก่อนสิ้นเดือน ก.ย.
ที่กองปราบปราม บรรดาแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและแนวร่วมที่ถูกตำรวจออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาจากการบุกชุมนุมยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิระหว่างวันที่ 25 พ.ย.-3 ธ.ค. 2551 ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยมีบรรดาแนวร่วมตามมาให้กำลังใจจำนวนมาก ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีการนำแผงเหล็กมากั้นบริเวณทางเข้าอาคารกองปราบ และไม่อนุญาตให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปภายใน ขณะเดียวกันได้จัดกำลังหน่วยคอมมานโดของกองปราบไว้ 170 นาย คอยดูแลความเรียบร้อยโดยรอบ รวมถึงติดกล้องวงจรปิด 50 ตัวรอบพื้นที่เพื่อบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมด สำหรับพนักงานสอบสวนจัดให้มีทั้งหมด 20 ชุดๆละ 30 นาย มาจากกองปราบปรามกองบัญชาการตำรวจนครบาลและสถานีตำรวจภูธรสมุทรปราการ
“ปฐมพงศ์-วีระ” แจ้งขอเลื่อนพบตำรวจ
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกแกนนำและแนวร่วมทั้งหมดมารับทราบข้อกล่าวหา 79 ราย ก่อนหน้านี้มีผู้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว 5 ราย ครั้งนี้มีผู้มารับทราบข้อกล่าวหา 59 ราย โดยมี 6 รายแจ้งขอเลื่อนการเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ประกอบด้วย พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรศุกร์ นายวีระ สมความคิด นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายสมบูรณ์ ทองบุราณ นายสมชาย วงศ์เทศ และ น.ส.ต้นขวัญ แสงอาทิตย์
ทุกคนพากันปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
สำหรับผู้เข้ารายงานตัวครั้งนี้ทุกคนปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอเวลา 30 วันในการทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร จากนั้นได้เดินทางกลับโดยไม่ต้องยื่นประกันตัว เนื่องจากมาเข้าพบตามหมายเรียก
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เปิดเผยว่า ถูกแจ้งข้อกล่าวหากว่า 10 ข้อ ที่หนักสุดคือซ่องโจร ก่อการร้าย ซึ่งปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอทำคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร โดยพนักงานสอบสวนนัดให้มาพบอีกครั้งในวันที่ 20 ก.ย.
“จำลอง” งงถูกยกเป็นหัวหน้าก่อการร้าย
“เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกคนที่ได้รับหมายเรียกในครั้งนี้ในหมายเรียกจะระบุเหมือนกันหมดคือ พล.ต.จำลองพร้อมพวกตำรวจอาจจะเห็นว่าผมมีอาวุโสมากที่สุดเลยยกให้เป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ในอดีตผมเป็นหัวหน้านักเรียนนายร้อย จปร. แต่ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้จะกลายมาเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย” พล.ต.จำลองกล่าวและว่า เจ้าหน้าที่อนุญาตให้พาผู้ที่ไว้วางใจมาได้จึงพา พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ อดีตนายทหารราชองครักษ์เวร มาด้วย ดูเอาแล้วกันคนที่ยืนข้างหลังเป็น พล.อ. แต่คนที่ยืนพูดอยู่ข้างหน้าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย
ด้าน พล.อ.กิตติศักดิ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยเข้าแจ้งความกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับนายวีระ มุสิกพงษ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เรื่องถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เวลาล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้วคดีกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงอยากฝากเตือนตำรวจในเรื่องนี้ด้วย
แกนนำ 30 คนโดนอ่วมคนละ 12 ข้อหา
นายสำราญ รอดเพ็ชร หนึ่งในผู้ต้องหา กล่าวว่า คดีนี้แกนนำพันธมิตรฯรุ่น 1 และรุ่น 2 รวม 30 คน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด 12 ข้อหา ซึ่งทุกคนให้การปฏิเสธทั้งหมด
ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า แม้จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาร้ายแรงก็ไม่หนักใจ เพราะมั่นใจในพยานหลักฐานว่าสามารถหักล้างข้อกล่าวหาได้หมด โดยเฉพาะข้อกล่าวหาก่อการร้าย
“สนธิ” ยันการชุมนุมไม่ทำให้เสียหาย
“การชุมนุมของพันธมิตรฯไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายเลย เพราะนายเสรีรัตน์ ปศุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้ขึ้นเบิกความต่อศาลแพ่งเองว่าพันธมิตรฯใช้พื้นที่แลนด์ไซส์ ซึ่งเป็นพื้นที่เข้าออกด้านนอก ขณะที่คนของ ทอท. เองยอมรับเรื่องนี้เช่นกัน ข้อกล่าวหาต่างๆจึงเป็นเพียงสิ่งที่เลื่อนลอย เรื่องนี้เป็นเพียงคดีการเมือง เป็นการรับงานจากนักการเมือง ผมและทุกคนที่ตกเป็นผู้ต้องหาพร้อมจะต่อสู้จนถึงที่สุด” นายสนธิกล่าวพร้อมยืนยันว่าจะฟ้องกลับ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน อย่างแน่นอน และจะฟ้องร้องในทันที ไม่รอให้คดีนี้สิ้นสุดก่อน โดยผู้ต้องหาทั้งหมดจะแยกกันฟ้องมี 79 คนก็ฟ้อง 79 คดี และฟ้องในทุกช่องทางที่มี ทั้งศาลปกครอง คดีแพ่ง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้รอขึ้นศาลได้เลย
อ้างมีใบสั่งจากนักการเมือง
นายสนธิกล่าวอีกว่า พล.ต.ท.สมยศอ้างว่าทำตามหน้าที่ แต่ข้อเท็จจริงเป็นการทำตามคำสั่งของนักการเมือง อยากฝากถึงนักการเมืองว่าพวกนี้ไม่เคยจำบทเรียนในอดีต วันนี้มีอำนาจ วันหน้าก็หมดอำนาจได้ ขอเตือนไว้สักวันกรรมจะตามทัน
นายสนธิได้พูดผ่านโทรโข่งกับแนวร่วมที่ตามมาให้กำลังใจว่า “ผมขอพูดเป็นตัวแทน 79 คนที่โดนข้อกล่าวหา เราไม่กลัว การทำงานเพื่อชาติเพื่อเมืองมันต้องมีการถูกกลั่นแกล้ง แต่เชื่อผม คนเราทำดีเพื่อแผ่นดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ถ้าไม่ได้ทำงานเพื่อชาติเพื่อเมืองจะโดนยิง 200 นัดแล้วรอดได้อย่างไร รัฐบาลรู้ว่าใครยิงผมก็รู้ และคนที่ยิงก็นอนไม่หลับ อยากยิงอีก แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นต่อชาติที่พวกพี่น้องรักจริง ไม่เหมือนคนบางคนร่วมงานกับทักษิณแล้วมาร่วมมือประชาธิปัตย์ แล้วมาบอกว่ารักสถาบัน แต่ 4 ปีที่ทักษิณหมิ่นสถาบันกลับไม่ทำอะไรเลย”
เตรียมออกหมายจับพวกที่เหลือ
พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง สรุปการรับรายงานตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาของแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯว่า จากที่ออกหมายเรียกไป 79 ราย เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาครั้งนี้ 59 ราย ขอเลื่อน 6 ราย และมีมารับทราบข้อกล่าวหาไปก่อนหน้านี้แล้ว 5 ราย ส่วนที่เหลือยังไม่ได้ติดต่อพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งสาเหตุที่ยังไม่เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งจะพิจารณาขออำนาจศาลออกหมายจับต่อไป
สรุปสำนวนส่งอัยการได้เดือนหน้า
“ทุกคนที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาให้การปฏิเสธทั้งหมด และขอใช้สิทธิให้การในชั้นศาล จากนี้ไปจะเร่งทำสำนวนให้เสร็จเพื่อส่งอัยการ ซึ่งตอนนี้คืบหน้าไปกว่า 90% แล้วก่อนสิ้นเดือน ก.ย. น่าจะส่งอัยการได้แน่นอน” พล.ต.ท.สมยศกล่าวพร้อมยืนยันว่า การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามหน้าที่และตามขั้นตอนของกฎหมาย หากผู้ต้องหาคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจะฟ้องกลับก็เป็นสิทธิ แต่ส่วนตัวมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกว่าขอบเขตของอำนาจหน้าที่
ยันไม่มีใบสั่งจากนักการเมือง
ส่วนกรณีที่นายสนธิอ้างว่ามีการเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำคดีนั้น พ.ต.ท.สมยศยืนยันว่า ตั้งแต่เข้ามารับช่วงทำคดีนี้ต่อจากผู้รับผิดชอบคนเก่าไม่เคยได้รับการติดต่อจากนักการเมือง หรือมีนักการเมืองรายใดมาสั่งการให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ การทำคดีนี้พนักงานสอบสวนทำในรูปของคณะกรรมการที่มีการประชุมกันตลอดเวลา ขอให้เห็นใจตำรวจด้วย เพราะถ้าไม่ทำจะถูกแจ้งข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
“การถูกแจ้งข้อกล่าวหาจำนวนมากอาจทำให้กระทบความรู้สึกว่าโดนหนักไป แต่ขอให้เข้าใจว่าเราทำตามกฎหมาย เรื่องนี้เมื่อส่งสำนวนถึงอัยการแล้วอัยการอาจสั่งไม่ฟ้องก็ได้ หากเห็นว่าพยานหลักฐานอ่อนเกินไป” ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อมีการแจ้งข้อหาก่อการร้ายต้องโอนคดีให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือไม่ พล.ต.ท.สมยศกล่าวว่า เรื่องนี่อยู่ที่รัฐบาล จะให้ฝ่ายปฏิบัติเป็นคนเสนอไม่ได้ ต้องให้ผู้คุมนโยบายเป็นผู้กำหนด
**********************************************************************
“สนธิ-จำลอง” นำแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯเข้ารายงายตัวรับทราบข้อกล่าวหาชุมนุมบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง เผยแกนนำรุ่น 1 และรุ่น 2 จำนวน 30 คนโดนคนละ 12 ข้อหา หนักสุดคือก่อการร้ายและซ่องโจร ทุกคนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขอเวลาทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร 30 วัน “สนธิ” ประกาศฟ้องกลับตำรวจใช้อำนาจกลั่นแกล้ง อ้างการชุมนุมไม่ได้สร้างความเสียหาย ด้านผู้ช่วย ผบ.ตร. ยืนยันทำตามกรอบกฎหมาย มั่นใจสรุปสำนวนส่งอัยการได้ก่อนสิ้นเดือน ก.ย.
ที่กองปราบปราม บรรดาแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและแนวร่วมที่ถูกตำรวจออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาจากการบุกชุมนุมยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิระหว่างวันที่ 25 พ.ย.-3 ธ.ค. 2551 ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยมีบรรดาแนวร่วมตามมาให้กำลังใจจำนวนมาก ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีการนำแผงเหล็กมากั้นบริเวณทางเข้าอาคารกองปราบ และไม่อนุญาตให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปภายใน ขณะเดียวกันได้จัดกำลังหน่วยคอมมานโดของกองปราบไว้ 170 นาย คอยดูแลความเรียบร้อยโดยรอบ รวมถึงติดกล้องวงจรปิด 50 ตัวรอบพื้นที่เพื่อบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมด สำหรับพนักงานสอบสวนจัดให้มีทั้งหมด 20 ชุดๆละ 30 นาย มาจากกองปราบปรามกองบัญชาการตำรวจนครบาลและสถานีตำรวจภูธรสมุทรปราการ
“ปฐมพงศ์-วีระ” แจ้งขอเลื่อนพบตำรวจ
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกแกนนำและแนวร่วมทั้งหมดมารับทราบข้อกล่าวหา 79 ราย ก่อนหน้านี้มีผู้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว 5 ราย ครั้งนี้มีผู้มารับทราบข้อกล่าวหา 59 ราย โดยมี 6 รายแจ้งขอเลื่อนการเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ประกอบด้วย พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรศุกร์ นายวีระ สมความคิด นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายสมบูรณ์ ทองบุราณ นายสมชาย วงศ์เทศ และ น.ส.ต้นขวัญ แสงอาทิตย์
ทุกคนพากันปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
สำหรับผู้เข้ารายงานตัวครั้งนี้ทุกคนปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอเวลา 30 วันในการทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร จากนั้นได้เดินทางกลับโดยไม่ต้องยื่นประกันตัว เนื่องจากมาเข้าพบตามหมายเรียก
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เปิดเผยว่า ถูกแจ้งข้อกล่าวหากว่า 10 ข้อ ที่หนักสุดคือซ่องโจร ก่อการร้าย ซึ่งปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอทำคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร โดยพนักงานสอบสวนนัดให้มาพบอีกครั้งในวันที่ 20 ก.ย.
“จำลอง” งงถูกยกเป็นหัวหน้าก่อการร้าย
“เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกคนที่ได้รับหมายเรียกในครั้งนี้ในหมายเรียกจะระบุเหมือนกันหมดคือ พล.ต.จำลองพร้อมพวกตำรวจอาจจะเห็นว่าผมมีอาวุโสมากที่สุดเลยยกให้เป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ในอดีตผมเป็นหัวหน้านักเรียนนายร้อย จปร. แต่ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้จะกลายมาเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย” พล.ต.จำลองกล่าวและว่า เจ้าหน้าที่อนุญาตให้พาผู้ที่ไว้วางใจมาได้จึงพา พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ อดีตนายทหารราชองครักษ์เวร มาด้วย ดูเอาแล้วกันคนที่ยืนข้างหลังเป็น พล.อ. แต่คนที่ยืนพูดอยู่ข้างหน้าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย
ด้าน พล.อ.กิตติศักดิ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยเข้าแจ้งความกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับนายวีระ มุสิกพงษ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เรื่องถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เวลาล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้วคดีกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงอยากฝากเตือนตำรวจในเรื่องนี้ด้วย
แกนนำ 30 คนโดนอ่วมคนละ 12 ข้อหา
นายสำราญ รอดเพ็ชร หนึ่งในผู้ต้องหา กล่าวว่า คดีนี้แกนนำพันธมิตรฯรุ่น 1 และรุ่น 2 รวม 30 คน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด 12 ข้อหา ซึ่งทุกคนให้การปฏิเสธทั้งหมด
ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า แม้จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาร้ายแรงก็ไม่หนักใจ เพราะมั่นใจในพยานหลักฐานว่าสามารถหักล้างข้อกล่าวหาได้หมด โดยเฉพาะข้อกล่าวหาก่อการร้าย
“สนธิ” ยันการชุมนุมไม่ทำให้เสียหาย
“การชุมนุมของพันธมิตรฯไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายเลย เพราะนายเสรีรัตน์ ปศุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้ขึ้นเบิกความต่อศาลแพ่งเองว่าพันธมิตรฯใช้พื้นที่แลนด์ไซส์ ซึ่งเป็นพื้นที่เข้าออกด้านนอก ขณะที่คนของ ทอท. เองยอมรับเรื่องนี้เช่นกัน ข้อกล่าวหาต่างๆจึงเป็นเพียงสิ่งที่เลื่อนลอย เรื่องนี้เป็นเพียงคดีการเมือง เป็นการรับงานจากนักการเมือง ผมและทุกคนที่ตกเป็นผู้ต้องหาพร้อมจะต่อสู้จนถึงที่สุด” นายสนธิกล่าวพร้อมยืนยันว่าจะฟ้องกลับ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน อย่างแน่นอน และจะฟ้องร้องในทันที ไม่รอให้คดีนี้สิ้นสุดก่อน โดยผู้ต้องหาทั้งหมดจะแยกกันฟ้องมี 79 คนก็ฟ้อง 79 คดี และฟ้องในทุกช่องทางที่มี ทั้งศาลปกครอง คดีแพ่ง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้รอขึ้นศาลได้เลย
อ้างมีใบสั่งจากนักการเมือง
นายสนธิกล่าวอีกว่า พล.ต.ท.สมยศอ้างว่าทำตามหน้าที่ แต่ข้อเท็จจริงเป็นการทำตามคำสั่งของนักการเมือง อยากฝากถึงนักการเมืองว่าพวกนี้ไม่เคยจำบทเรียนในอดีต วันนี้มีอำนาจ วันหน้าก็หมดอำนาจได้ ขอเตือนไว้สักวันกรรมจะตามทัน
นายสนธิได้พูดผ่านโทรโข่งกับแนวร่วมที่ตามมาให้กำลังใจว่า “ผมขอพูดเป็นตัวแทน 79 คนที่โดนข้อกล่าวหา เราไม่กลัว การทำงานเพื่อชาติเพื่อเมืองมันต้องมีการถูกกลั่นแกล้ง แต่เชื่อผม คนเราทำดีเพื่อแผ่นดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ถ้าไม่ได้ทำงานเพื่อชาติเพื่อเมืองจะโดนยิง 200 นัดแล้วรอดได้อย่างไร รัฐบาลรู้ว่าใครยิงผมก็รู้ และคนที่ยิงก็นอนไม่หลับ อยากยิงอีก แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นต่อชาติที่พวกพี่น้องรักจริง ไม่เหมือนคนบางคนร่วมงานกับทักษิณแล้วมาร่วมมือประชาธิปัตย์ แล้วมาบอกว่ารักสถาบัน แต่ 4 ปีที่ทักษิณหมิ่นสถาบันกลับไม่ทำอะไรเลย”
เตรียมออกหมายจับพวกที่เหลือ
พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง สรุปการรับรายงานตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาของแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯว่า จากที่ออกหมายเรียกไป 79 ราย เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาครั้งนี้ 59 ราย ขอเลื่อน 6 ราย และมีมารับทราบข้อกล่าวหาไปก่อนหน้านี้แล้ว 5 ราย ส่วนที่เหลือยังไม่ได้ติดต่อพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งสาเหตุที่ยังไม่เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งจะพิจารณาขออำนาจศาลออกหมายจับต่อไป
สรุปสำนวนส่งอัยการได้เดือนหน้า
“ทุกคนที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาให้การปฏิเสธทั้งหมด และขอใช้สิทธิให้การในชั้นศาล จากนี้ไปจะเร่งทำสำนวนให้เสร็จเพื่อส่งอัยการ ซึ่งตอนนี้คืบหน้าไปกว่า 90% แล้วก่อนสิ้นเดือน ก.ย. น่าจะส่งอัยการได้แน่นอน” พล.ต.ท.สมยศกล่าวพร้อมยืนยันว่า การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามหน้าที่และตามขั้นตอนของกฎหมาย หากผู้ต้องหาคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจะฟ้องกลับก็เป็นสิทธิ แต่ส่วนตัวมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกว่าขอบเขตของอำนาจหน้าที่
ยันไม่มีใบสั่งจากนักการเมือง
ส่วนกรณีที่นายสนธิอ้างว่ามีการเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำคดีนั้น พ.ต.ท.สมยศยืนยันว่า ตั้งแต่เข้ามารับช่วงทำคดีนี้ต่อจากผู้รับผิดชอบคนเก่าไม่เคยได้รับการติดต่อจากนักการเมือง หรือมีนักการเมืองรายใดมาสั่งการให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ การทำคดีนี้พนักงานสอบสวนทำในรูปของคณะกรรมการที่มีการประชุมกันตลอดเวลา ขอให้เห็นใจตำรวจด้วย เพราะถ้าไม่ทำจะถูกแจ้งข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
“การถูกแจ้งข้อกล่าวหาจำนวนมากอาจทำให้กระทบความรู้สึกว่าโดนหนักไป แต่ขอให้เข้าใจว่าเราทำตามกฎหมาย เรื่องนี้เมื่อส่งสำนวนถึงอัยการแล้วอัยการอาจสั่งไม่ฟ้องก็ได้ หากเห็นว่าพยานหลักฐานอ่อนเกินไป” ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อมีการแจ้งข้อหาก่อการร้ายต้องโอนคดีให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือไม่ พล.ต.ท.สมยศกล่าวว่า เรื่องนี่อยู่ที่รัฐบาล จะให้ฝ่ายปฏิบัติเป็นคนเสนอไม่ได้ ต้องให้ผู้คุมนโยบายเป็นผู้กำหนด
**********************************************************************
คนดี
ไม่ต้องเล่าเรียนจากมหาวิทยาลัยใดๆ ที่ยิ่งใหญ่คับฟ้าคับโลก..ไม่ต้องได้ที่หนึ่งเกียรตินิยมจากสังคมมหาลัยใดๆ
แต่แค่มีความเป็นคนดีเพียงเศษเสี้ยว..
มีหิริโอตัปปะ..อย่างที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนแนะนำ
เขาหรือเธอก็จะเป็น..ผู้ครองเมืองที่มีความชอบธรรมและสง่างามขึ้นมาได้..
ถ้าจะเที่ยบกันระหว่าง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศที่เจริญ..อย่างออสเตรเลีย..กับตำแหน่งหัวหน้าองค์กรอิสระสักแห่งในประเทศไทย..
ผู้หญิงอย่าง จูเลีย กิลลาร์ด ไม่ได้มีศักดินาใดๆ นำหน้า อย่าง คุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา..
แต่เมื่อการเมืองนำพาให้เธอขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค..และได้ครอบครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..ซึ่งก็เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และรัฐธรรมนูญของประเทศนั้น..เธอสามารถจะดำรงตำแหน่งไปได้ทันที
แต่เพราะความเป็นคนดีและเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้..เธอกลับไม่แยแสต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สั่งการยุบสภาและสั่งการให้มีการเลือกตั้งกันใหม่..เธอให้เหตุผลว่า..
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เธอได้มานั้น ได้มาจากการผันผวนทางการเมืองในพรรค..เธอจึงอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
วันนี้..ประชาชนเลือกเธอให้กลับมา..แต่เธอจะรวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลได้หรือไม่..แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่..ออสเตรเลียได้มี..ผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่และนักการเมืองที่ประชาชนฝากผีฝากไข้ได้ขึ้นมาแล้ว
ตรงกันข้ามกับประเทศของเราๆ ท่านๆ สปิริตและความเป็นคนดีแทบจะหาไม่พบในแทบจะทุกตัวตน..ที่อวดอ้างว่าเป็นคนของประชาชนคนของประเทศ
ไม่ว่าจะได้ตำแหน่งมาแบบไหนอย่างไร..มันขอเพียงให้ได้มา..
มันอ้างดินอ้างฟ้า..ทั้งๆ ที่มันแทบจะไม่มีสิทธิ์อวดอ้าง..เพื่อ ลาภ ยศ มันยึดถือแต่คำว่า ด้านได้อายอด..ไม่สนใจคำสรรเสริญหรือแช่งชัก
ขอเพียงให้มีตำแหน่ง..ไม่ว่าจะได้มาบนกองศพ..หรือเสียงแช่งด่า..มันไม่สนใจ
ถึงวันเลือกตั้งใหญ่ข้างหน้า..ก็เป็นหน้าที่ของเราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย..จะขับไล่รากษก..กลับไปสู่นรกที่มันจากมาซะที..หรือทนอยู่กับการกดขี่.เป็นทาสติดดินต่อไป
คอลัมน์.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แต่แค่มีความเป็นคนดีเพียงเศษเสี้ยว..
มีหิริโอตัปปะ..อย่างที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนแนะนำ
เขาหรือเธอก็จะเป็น..ผู้ครองเมืองที่มีความชอบธรรมและสง่างามขึ้นมาได้..
ถ้าจะเที่ยบกันระหว่าง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศที่เจริญ..อย่างออสเตรเลีย..กับตำแหน่งหัวหน้าองค์กรอิสระสักแห่งในประเทศไทย..
ผู้หญิงอย่าง จูเลีย กิลลาร์ด ไม่ได้มีศักดินาใดๆ นำหน้า อย่าง คุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา..
แต่เมื่อการเมืองนำพาให้เธอขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค..และได้ครอบครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..ซึ่งก็เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และรัฐธรรมนูญของประเทศนั้น..เธอสามารถจะดำรงตำแหน่งไปได้ทันที
แต่เพราะความเป็นคนดีและเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้..เธอกลับไม่แยแสต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สั่งการยุบสภาและสั่งการให้มีการเลือกตั้งกันใหม่..เธอให้เหตุผลว่า..
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เธอได้มานั้น ได้มาจากการผันผวนทางการเมืองในพรรค..เธอจึงอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
วันนี้..ประชาชนเลือกเธอให้กลับมา..แต่เธอจะรวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลได้หรือไม่..แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่..ออสเตรเลียได้มี..ผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่และนักการเมืองที่ประชาชนฝากผีฝากไข้ได้ขึ้นมาแล้ว
ตรงกันข้ามกับประเทศของเราๆ ท่านๆ สปิริตและความเป็นคนดีแทบจะหาไม่พบในแทบจะทุกตัวตน..ที่อวดอ้างว่าเป็นคนของประชาชนคนของประเทศ
ไม่ว่าจะได้ตำแหน่งมาแบบไหนอย่างไร..มันขอเพียงให้ได้มา..
มันอ้างดินอ้างฟ้า..ทั้งๆ ที่มันแทบจะไม่มีสิทธิ์อวดอ้าง..เพื่อ ลาภ ยศ มันยึดถือแต่คำว่า ด้านได้อายอด..ไม่สนใจคำสรรเสริญหรือแช่งชัก
ขอเพียงให้มีตำแหน่ง..ไม่ว่าจะได้มาบนกองศพ..หรือเสียงแช่งด่า..มันไม่สนใจ
ถึงวันเลือกตั้งใหญ่ข้างหน้า..ก็เป็นหน้าที่ของเราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย..จะขับไล่รากษก..กลับไปสู่นรกที่มันจากมาซะที..หรือทนอยู่กับการกดขี่.เป็นทาสติดดินต่อไป
คอลัมน์.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บึ้ม! ซ้ำ คิงเพาเวอร์ ซ.รางน้ำรปภ.เจ็บ1 ตร.คุมตัวชายต้องสงสัยพร้อมจยย.สอบ "สัณฐาน"ชี้มุ่งป่วนเมือง
มติชนออนไลน์
กลางดึกคืนวันที่ 26 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พญาไท รับแจ้งเหตุระเบิดบริเวณหน้าอาคาร คิงเพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ซอยรางน้ำ แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี แรงระเบิดส่งผลให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของห้างถูกวัตถุระเบิดระเบิดเข้าที่ศีรษะ และลำตัวได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ราย โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลราชวิถีแล้ว
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด กั้นพื้นที่บริเวณดังกล่าว และตรวจสอบเก็บกู้วัตถุระเบิด คาดว่า ไม่น่าจะเป็นระเบิดชนิดยิงแบบเอ็ม 79 แต่น่าจตะเป็นระเบิดชนิดขว้าง ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุไม่มีตำรวจรักษาการณ์อยู่ภายในซอยดังกล่าวแต่อย่างใด แต่มีการตั้งด่านตรวจที่ถนนพญาไทเท่านั้น
พ.ต.ท.กฤษณะ สุกันทะ สว.สส.สน.พญาไท กล่าวว่า เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณประตูทางเข้าห้างสรรพสินค้า คิงเพาเวอร์ ฝั่ง รร.เซนจูรี่ปาร์ค ซ.รางน้ำ ถนนพญาไท ทั้งนี้ แรงระเบิดส่งผลให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ของห้างได้รับบาดเจ็บ โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่ง รพ.แล้ว
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 1 ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่หน่วยพิสูจน์หลักฐาน พบหลุมระเบิดบนพื้นถนนทางเข้าอาคารจอดรถกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร โดยแรงระเบิดทำให้อาคารที่อยู่ใกล้เคียง ได้รับความเสียหาย มีกระจกแตกไป 6 บาน โดยอยู่ระหว่างตรวจสอบว่า คนร้ายใช้ระเบิดชนิดใด และวางหรือขว้างเข้าใส
พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวถึงเหตุระเบิดข้างคิงเพาเวอร์ ซ.รางน้ำว่า เบื้องต้นจากตรวจสอบ ไม่ทราบว่าเป็นระเบิดชนิดไหน ต้องรอหน่วยเก็บกู้ระเบิดตรวจสอบก่อน ตอนนี้เป็นไปได้หลายอย่างว่า คนร้ายมีการยิงหรือปาระเบิดเข้ามา ตอนนี้ ให้สายสืบตระเวนออกสืบสวนหาพยานใกล้เคียง และตรวจสอบกล้องวงจรปิด คิดว่า คนร้ายต้องการข่มขู่ สร้างสถานการณ์ไม่หวังเอาชีวิต ส่วนจะเกี่ยวข้องกับระเบิดครั้งที่ผ่านมาหรือไม่นั้นยังให้คำตอบไม่ได้ และยังไม่ทราบว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่
"จากการตรวจสอบเบื้องต้น ไม่น่าจะใช้ระเบิดแสวงเครื่อง แต่จะต้องตรวจสอบอีกครั้ง ส่วนการติดตามตัวคนร้าย อยู่ระหว่างการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ และกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ เชื่อว่า การก่อเหตุครั้งนี้ คนร้ายมุ่งสร้างสถานการณ์" พล.ต.ท.สัณฐานกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว ชายต้องสงสัยอายุประมาณ 20 กว่าปี สวมหมวกกันน๊อค พร้อมรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮนด้า คลิก สีน้ำเงินดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถ พบแผ่นป้ายทะเบียนซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะนั่ง ทะเบียน ขลก 970 สุราษฎร์ธานี พร้อมควบคุมตัวไปสอบสวนที่สน.พญาไท โดยมีพยานเห็นว่า ชายคนดังกล่าวขับขี่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวมาวนเวียนอยู่ที่เกิดเหตุ 2 รอบ หลังเกิดเหตุระเบิด ชายคนดังกล่าวเดินกลับมาดูที่จุดระเบิดครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ชายคนดังกล่าวก็เดินกลับมาที่เกิดเหตุอีกครั้ง จึงถูกเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวนำไปสอบสวน
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 30 กรกฏาคมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุระเบิดที่ซอยรางน้ำตรงข้างอาคารคิงเพาเวอร์มาแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งคนร้ายได้นำระเบิดใส่ถุงดำ แล้วนำไปวางไว้ในถังขยะ โดยระเบิดดังกล่าว ได้ใช้หนังยางมัดกระเดื่องเอาไว้ แล้วใช้น้ำมันหยอดเพื่อให้หนังยางค่อยๆ เปื่อยออกมาจนเกิดการระเบิด แต่ก่อนเกิดระเบิด ปรากฏว่า คนเก็บของเก่าที่ไปคุ้ยหาสิ่งของในถังขยะพอดี จนทำให้เกิดเหตุระเบิดขึ้น จนคนเก็บขยะได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะนี้ยังคงนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล การระเบิดอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นการระเบิดซ้ำสองในรอบระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน
************************************************************************
กลางดึกคืนวันที่ 26 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พญาไท รับแจ้งเหตุระเบิดบริเวณหน้าอาคาร คิงเพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ซอยรางน้ำ แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี แรงระเบิดส่งผลให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของห้างถูกวัตถุระเบิดระเบิดเข้าที่ศีรษะ และลำตัวได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ราย โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลราชวิถีแล้ว
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด กั้นพื้นที่บริเวณดังกล่าว และตรวจสอบเก็บกู้วัตถุระเบิด คาดว่า ไม่น่าจะเป็นระเบิดชนิดยิงแบบเอ็ม 79 แต่น่าจตะเป็นระเบิดชนิดขว้าง ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุไม่มีตำรวจรักษาการณ์อยู่ภายในซอยดังกล่าวแต่อย่างใด แต่มีการตั้งด่านตรวจที่ถนนพญาไทเท่านั้น
พ.ต.ท.กฤษณะ สุกันทะ สว.สส.สน.พญาไท กล่าวว่า เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณประตูทางเข้าห้างสรรพสินค้า คิงเพาเวอร์ ฝั่ง รร.เซนจูรี่ปาร์ค ซ.รางน้ำ ถนนพญาไท ทั้งนี้ แรงระเบิดส่งผลให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ของห้างได้รับบาดเจ็บ โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่ง รพ.แล้ว
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 1 ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่หน่วยพิสูจน์หลักฐาน พบหลุมระเบิดบนพื้นถนนทางเข้าอาคารจอดรถกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร โดยแรงระเบิดทำให้อาคารที่อยู่ใกล้เคียง ได้รับความเสียหาย มีกระจกแตกไป 6 บาน โดยอยู่ระหว่างตรวจสอบว่า คนร้ายใช้ระเบิดชนิดใด และวางหรือขว้างเข้าใส
พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวถึงเหตุระเบิดข้างคิงเพาเวอร์ ซ.รางน้ำว่า เบื้องต้นจากตรวจสอบ ไม่ทราบว่าเป็นระเบิดชนิดไหน ต้องรอหน่วยเก็บกู้ระเบิดตรวจสอบก่อน ตอนนี้เป็นไปได้หลายอย่างว่า คนร้ายมีการยิงหรือปาระเบิดเข้ามา ตอนนี้ ให้สายสืบตระเวนออกสืบสวนหาพยานใกล้เคียง และตรวจสอบกล้องวงจรปิด คิดว่า คนร้ายต้องการข่มขู่ สร้างสถานการณ์ไม่หวังเอาชีวิต ส่วนจะเกี่ยวข้องกับระเบิดครั้งที่ผ่านมาหรือไม่นั้นยังให้คำตอบไม่ได้ และยังไม่ทราบว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่
"จากการตรวจสอบเบื้องต้น ไม่น่าจะใช้ระเบิดแสวงเครื่อง แต่จะต้องตรวจสอบอีกครั้ง ส่วนการติดตามตัวคนร้าย อยู่ระหว่างการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ และกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ เชื่อว่า การก่อเหตุครั้งนี้ คนร้ายมุ่งสร้างสถานการณ์" พล.ต.ท.สัณฐานกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว ชายต้องสงสัยอายุประมาณ 20 กว่าปี สวมหมวกกันน๊อค พร้อมรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮนด้า คลิก สีน้ำเงินดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถ พบแผ่นป้ายทะเบียนซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะนั่ง ทะเบียน ขลก 970 สุราษฎร์ธานี พร้อมควบคุมตัวไปสอบสวนที่สน.พญาไท โดยมีพยานเห็นว่า ชายคนดังกล่าวขับขี่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวมาวนเวียนอยู่ที่เกิดเหตุ 2 รอบ หลังเกิดเหตุระเบิด ชายคนดังกล่าวเดินกลับมาดูที่จุดระเบิดครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ชายคนดังกล่าวก็เดินกลับมาที่เกิดเหตุอีกครั้ง จึงถูกเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวนำไปสอบสวน
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 30 กรกฏาคมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุระเบิดที่ซอยรางน้ำตรงข้างอาคารคิงเพาเวอร์มาแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งคนร้ายได้นำระเบิดใส่ถุงดำ แล้วนำไปวางไว้ในถังขยะ โดยระเบิดดังกล่าว ได้ใช้หนังยางมัดกระเดื่องเอาไว้ แล้วใช้น้ำมันหยอดเพื่อให้หนังยางค่อยๆ เปื่อยออกมาจนเกิดการระเบิด แต่ก่อนเกิดระเบิด ปรากฏว่า คนเก็บของเก่าที่ไปคุ้ยหาสิ่งของในถังขยะพอดี จนทำให้เกิดเหตุระเบิดขึ้น จนคนเก็บขยะได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะนี้ยังคงนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล การระเบิดอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นการระเบิดซ้ำสองในรอบระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน
************************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วิชามารเต็มเมืองใช้กันจนถึงก้นคุก
สำนัก(ข่าว)พระพยอม
โดย พระพยอม กัลยาโณ
วิชามารกำลังมามั่วนอกจากมาแรงแล้ว เพราะเล่นกันจนคนสับสน ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี ไม่รู้ว่าเป็นการกุเรื่อง หรือเป็นการปัดป้อง หรือกลบเกลื่อนเรื่อง ระหว่างคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ออกมาระบุว่าคุณศิริโชค โสภา ดอดเข้าไปในคุกเพื่อพบและขอให้ฝรั่งรัสเซีย ผู้ต้องหาคดีค้าอาวุธ ให้ช่วยซัดทอดว่าอาวุธที่ถูกจับได้คนอยู่เบื้องหลังคือคุณทักษิณ เพื่อแลกกับการกันตัวเป็นพยาน
ข่าวนี้ถือว่าเป็นข่าวการใช้วิชามารที่แรงมากๆ แต่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนใช้ระหว่าง 2 คนนั้น เพราะเรื่องนี้ยังไม่รู้ว่าใครโกหก ใครพูดจริงมากกว่า มันดูกันยาก (เพราะหากไม่จนด้วยหลักฐานก็ไม่ยอมรับ)
ทุกวันนี้คำพูดของคนเรา (บางคน) บางครั้งฟังแล้วเชื่อยาก ต้องมานั่งวิเคราะห์พิจารณากัน 3-4 ตลบ ไม่รู้ว่าจะเชื่อดีไม่เชื่อดี แม้แต่บรรดานักโหราศาสตร์ที่ชอบทำนายดวงนักการเมือง บางรายพลาดแล้วพลาดอีกก็ยังจะทายอยู่นั่น บางท่านบอกว่าดวงคุณทักษิณจะต้องอยู่นอกประเทศ 2 ปีแล้วจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่ดูเหตุการณ์แล้วมีทั้งล่าทั้งไล่ คงยากที่จะกลับมาใหญ่ได้ อย่าว่าแต่กลับมาใหญ่เลย ให้กลับเข้าประเทศแบบไม่ต้องถูกจับตัวส่งเข้ามาก็ยังทำไม่ได้เลย
การปูดข่าวของคุณจตุพรหากว่าไม่เป็นเรื่องจริง เป็นการสร้างเรื่อง สร้างสถานการณ์ ถือว่าน่าเห็นใจคุณศิริโชคที่อาจเข้าไปพบผู้ต้องหารายนั้นด้วยเจตนาอื่น แต่ถูกคุณจตุพรนำมาขยายให้เป็นเรื่องดังกล่าว สมมุติอีกว่าเรื่องที่คุณจตุพรปูดขึ้นมานั้นเป็นเรื่องจริง แสดงว่าคนในพรรคการเมืองนี้คิดจะใช้วิชามารแบบไหนก็ได้เพื่อให้ได้ตัวคุณทักษิณกลับมา เพราะคุณจตุพรบอกว่ามีเจ้าหน้าที่ของไทยไปพบเจ้าหน้าที่ของทางการรัสเซียเพื่อขอให้ส่งตัวคุณทักษิณกลับมาแลกกับตัวนักโทษรัสเซียคนนี้ ฉะนั้นใครจะใช้วิชามารก็อยู่ที่ว่าคุณศิริโชคไปพูดอะไรในวันนั้นบ้าง
เรื่องอย่างนี้ทำให้กลับมาคิดว่าทำไมคนในชาติเราถึงคิดแต่จะไล่ล่ากัน จะต้องล้มล้างกันไปขนาดไหน เราได้ยินเรื่องขบวนการล้มเจ้า ได้ยินแล้วก็ไม่ค่อยชอบใจ ซ้ำยังสงสารคนที่จ้องจะล้มคนที่คิดจะล้มเจ้า ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันไปแล้วประเทศไทย มองไปทางไหนก็มีแต่คนจ้องจะล้มกันอยู่นั่นแหละ และก็ล้มกันด้วยวิชามาร ใครมีวิชามารมากกว่าก็นำมาใช้ฟาดฟันห้ำหั่นกัน บางรายฟันด้วยดาบเทียมก็มี เหมือนกับว่าเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้างก็เอาออกมากล่าวหากัน
ที่ผ่านมาคนที่ไปทำอะไรไว้แต่ยังจับไม่ได้ก็แก้ตัวกันอุตลุด บางรายสามารถเอาตัวรอดไปได้ แต่ที่ไม่รอดส่วนใหญ่จนด้วยหลักฐาน ประเทศไทยเราน่าจะสงบ แต่เอาล่ะ ทุกคนที่ดูข่าวการอภิปรายร่างงบประมาณก็ไม่ควรที่จะไปเหนื่อยกับมัน อย่าไปเบื่อมัน อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะถ้าเราติดตามดูมากๆก็จะทำให้ได้ลับสมอง ลับสติปัญญาอยู่เสมอ ติดตามข่าวอย่างนี้ก็ยังดีกว่าไปนั่งกินเหล้าเมายา
ทุกวันนี้มหาวิทยาลัยในประเทศไทยมีอยู่ไม่กี่แห่งที่จะเปิดหลักสูตรการกำจัดความแตกแยก แต่ถ้าทุกมหาวิทยาลัยจัดให้มีหลักสูตรนี้น่าจะดี เมื่อจบออกมาแล้วเอาคนที่ได้เรียนหลักสูตรนี้ไปทำงานอยู่ในกระทรวงสามัคคี ซึ่งเป็นกระทรวงที่ตั้งขึ้นมาใหม่ เพื่อช่วยระงับความแยกแตกของคนในบ้านนี้เมืองนี้ เพราะทุกวันนี้เรารู้กันดีว่าความแตกแยก การแบ่งสีแบ่งข้างเป็นการขัดขวางความเจริญของชาติบ้านเมือง แม้แต่ละพวก แต่ละสีจะสำคัญตัวเองว่ารักชาติ ออกมาเพื่อกู้ชาติ หรือรักประชาธิปไตยก็ตาม แต่ก็ตะบี้ตะบันทำกันจนเสียหาย และที่อ้างกันว่ารักชาติ รักสถาบัน ไม่รู้ว่ารักกันแบบไหน เพราะรักเสียจนทำให้บ้านเมืองเดินไปสู่ความเจริญไม่ได้ เดินไปสู่ความสงบไม่ได้ ยั่วยุให้เกิดการเกลียดชังกัน
ฉะนั้นประชาชนจึงต้องฉลาด ต้องไม่หลงเกลียดคนชาติเดียวกันตามคำยุยงของคนบางคน แม้เขาจะอยู่คนละสีกับเรา แต่ก็เป็นคนไทยเหมือนกัน บางคนควรเลือกขึ้นภูดูปัญญา คือดูเขาสู้กัน ไม่ต้องโดดลงไปสู้กับเขาหรอก แม้ว่าบางครั้งจะถูกต่อว่า หากไม่มาร่วมต่อสู้เป็นพวกหลังตู้เย็น คิดเสียว่าเราอยู่หลังตู้เย็นยังดีกว่าโดดลงไปอยู่บนกองไฟ กองไฟแห่งความโกรธเกลียด ชิงชัง เคียดแค้น เดือดดาน จนยอมเลือกห้ำหั่นกัน ในรายที่ขับรถไล่ชนตำรวจครั้งสลายม็อบพันธมิตรฯ โชคดีที่ยังไม่ต้องติดคุกติดตะราง ต่างจากคนเก็บของเก่า เก็บซีดีจากกองขยะมาขายต้องติดคุก เดี๋ยวนี้ประเทศไทยมีอะไรแปลกๆ
มีฝรั่งคนหนึ่ง ขออภัยอาตมาจำชื่อไม่ได้ ออกมาบอกนายกฯว่าต้องทำอะไรถึงจะสร้างความสงบได้ เขาบอกว่าเขามีประสบการณ์ในการทำให้หลายประเทศที่มีความแตกแยกสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างสันติได้ แต่สำหรับประเทศไทยไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะพวกนักการเมืองเป็นคนชอบแสดงความแตกแยกให้ชาวบ้านเห็น เราเห็นการอภิปรายงบประมาณในสภา ตัวเลขหากนำไปใช้พัฒนาชาติบ้านเมืองก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเอาไปใช้สนับสนุนให้ตัวเองเถลิงอำนาจต่อไปก็เป็นเรื่องน่าเกลียด เป็นเรื่องน่าเสียดาย
เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นวิชามารกันแล้วเราควรใช้วิชาธรรมเพื่อนำมาสำรวจตรวจสอบ โดยเข้าใจว่าโลกใบนี้มีทั้งวิชาธรรม วิชามาร วิชาชีพ วิชาการ และวิชาชีวิต เราเองจะใช้ชีวิตท่ามกลางวิชามารกันอย่างไรถึงจะอยู่ได้อย่างสบายใจ เราต้องคิด
เจริญพร
**********************************************************************
โดย พระพยอม กัลยาโณ
วิชามารกำลังมามั่วนอกจากมาแรงแล้ว เพราะเล่นกันจนคนสับสน ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี ไม่รู้ว่าเป็นการกุเรื่อง หรือเป็นการปัดป้อง หรือกลบเกลื่อนเรื่อง ระหว่างคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ออกมาระบุว่าคุณศิริโชค โสภา ดอดเข้าไปในคุกเพื่อพบและขอให้ฝรั่งรัสเซีย ผู้ต้องหาคดีค้าอาวุธ ให้ช่วยซัดทอดว่าอาวุธที่ถูกจับได้คนอยู่เบื้องหลังคือคุณทักษิณ เพื่อแลกกับการกันตัวเป็นพยาน
ข่าวนี้ถือว่าเป็นข่าวการใช้วิชามารที่แรงมากๆ แต่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนใช้ระหว่าง 2 คนนั้น เพราะเรื่องนี้ยังไม่รู้ว่าใครโกหก ใครพูดจริงมากกว่า มันดูกันยาก (เพราะหากไม่จนด้วยหลักฐานก็ไม่ยอมรับ)
ทุกวันนี้คำพูดของคนเรา (บางคน) บางครั้งฟังแล้วเชื่อยาก ต้องมานั่งวิเคราะห์พิจารณากัน 3-4 ตลบ ไม่รู้ว่าจะเชื่อดีไม่เชื่อดี แม้แต่บรรดานักโหราศาสตร์ที่ชอบทำนายดวงนักการเมือง บางรายพลาดแล้วพลาดอีกก็ยังจะทายอยู่นั่น บางท่านบอกว่าดวงคุณทักษิณจะต้องอยู่นอกประเทศ 2 ปีแล้วจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่ดูเหตุการณ์แล้วมีทั้งล่าทั้งไล่ คงยากที่จะกลับมาใหญ่ได้ อย่าว่าแต่กลับมาใหญ่เลย ให้กลับเข้าประเทศแบบไม่ต้องถูกจับตัวส่งเข้ามาก็ยังทำไม่ได้เลย
การปูดข่าวของคุณจตุพรหากว่าไม่เป็นเรื่องจริง เป็นการสร้างเรื่อง สร้างสถานการณ์ ถือว่าน่าเห็นใจคุณศิริโชคที่อาจเข้าไปพบผู้ต้องหารายนั้นด้วยเจตนาอื่น แต่ถูกคุณจตุพรนำมาขยายให้เป็นเรื่องดังกล่าว สมมุติอีกว่าเรื่องที่คุณจตุพรปูดขึ้นมานั้นเป็นเรื่องจริง แสดงว่าคนในพรรคการเมืองนี้คิดจะใช้วิชามารแบบไหนก็ได้เพื่อให้ได้ตัวคุณทักษิณกลับมา เพราะคุณจตุพรบอกว่ามีเจ้าหน้าที่ของไทยไปพบเจ้าหน้าที่ของทางการรัสเซียเพื่อขอให้ส่งตัวคุณทักษิณกลับมาแลกกับตัวนักโทษรัสเซียคนนี้ ฉะนั้นใครจะใช้วิชามารก็อยู่ที่ว่าคุณศิริโชคไปพูดอะไรในวันนั้นบ้าง
เรื่องอย่างนี้ทำให้กลับมาคิดว่าทำไมคนในชาติเราถึงคิดแต่จะไล่ล่ากัน จะต้องล้มล้างกันไปขนาดไหน เราได้ยินเรื่องขบวนการล้มเจ้า ได้ยินแล้วก็ไม่ค่อยชอบใจ ซ้ำยังสงสารคนที่จ้องจะล้มคนที่คิดจะล้มเจ้า ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันไปแล้วประเทศไทย มองไปทางไหนก็มีแต่คนจ้องจะล้มกันอยู่นั่นแหละ และก็ล้มกันด้วยวิชามาร ใครมีวิชามารมากกว่าก็นำมาใช้ฟาดฟันห้ำหั่นกัน บางรายฟันด้วยดาบเทียมก็มี เหมือนกับว่าเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้างก็เอาออกมากล่าวหากัน
ที่ผ่านมาคนที่ไปทำอะไรไว้แต่ยังจับไม่ได้ก็แก้ตัวกันอุตลุด บางรายสามารถเอาตัวรอดไปได้ แต่ที่ไม่รอดส่วนใหญ่จนด้วยหลักฐาน ประเทศไทยเราน่าจะสงบ แต่เอาล่ะ ทุกคนที่ดูข่าวการอภิปรายร่างงบประมาณก็ไม่ควรที่จะไปเหนื่อยกับมัน อย่าไปเบื่อมัน อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะถ้าเราติดตามดูมากๆก็จะทำให้ได้ลับสมอง ลับสติปัญญาอยู่เสมอ ติดตามข่าวอย่างนี้ก็ยังดีกว่าไปนั่งกินเหล้าเมายา
ทุกวันนี้มหาวิทยาลัยในประเทศไทยมีอยู่ไม่กี่แห่งที่จะเปิดหลักสูตรการกำจัดความแตกแยก แต่ถ้าทุกมหาวิทยาลัยจัดให้มีหลักสูตรนี้น่าจะดี เมื่อจบออกมาแล้วเอาคนที่ได้เรียนหลักสูตรนี้ไปทำงานอยู่ในกระทรวงสามัคคี ซึ่งเป็นกระทรวงที่ตั้งขึ้นมาใหม่ เพื่อช่วยระงับความแยกแตกของคนในบ้านนี้เมืองนี้ เพราะทุกวันนี้เรารู้กันดีว่าความแตกแยก การแบ่งสีแบ่งข้างเป็นการขัดขวางความเจริญของชาติบ้านเมือง แม้แต่ละพวก แต่ละสีจะสำคัญตัวเองว่ารักชาติ ออกมาเพื่อกู้ชาติ หรือรักประชาธิปไตยก็ตาม แต่ก็ตะบี้ตะบันทำกันจนเสียหาย และที่อ้างกันว่ารักชาติ รักสถาบัน ไม่รู้ว่ารักกันแบบไหน เพราะรักเสียจนทำให้บ้านเมืองเดินไปสู่ความเจริญไม่ได้ เดินไปสู่ความสงบไม่ได้ ยั่วยุให้เกิดการเกลียดชังกัน
ฉะนั้นประชาชนจึงต้องฉลาด ต้องไม่หลงเกลียดคนชาติเดียวกันตามคำยุยงของคนบางคน แม้เขาจะอยู่คนละสีกับเรา แต่ก็เป็นคนไทยเหมือนกัน บางคนควรเลือกขึ้นภูดูปัญญา คือดูเขาสู้กัน ไม่ต้องโดดลงไปสู้กับเขาหรอก แม้ว่าบางครั้งจะถูกต่อว่า หากไม่มาร่วมต่อสู้เป็นพวกหลังตู้เย็น คิดเสียว่าเราอยู่หลังตู้เย็นยังดีกว่าโดดลงไปอยู่บนกองไฟ กองไฟแห่งความโกรธเกลียด ชิงชัง เคียดแค้น เดือดดาน จนยอมเลือกห้ำหั่นกัน ในรายที่ขับรถไล่ชนตำรวจครั้งสลายม็อบพันธมิตรฯ โชคดีที่ยังไม่ต้องติดคุกติดตะราง ต่างจากคนเก็บของเก่า เก็บซีดีจากกองขยะมาขายต้องติดคุก เดี๋ยวนี้ประเทศไทยมีอะไรแปลกๆ
มีฝรั่งคนหนึ่ง ขออภัยอาตมาจำชื่อไม่ได้ ออกมาบอกนายกฯว่าต้องทำอะไรถึงจะสร้างความสงบได้ เขาบอกว่าเขามีประสบการณ์ในการทำให้หลายประเทศที่มีความแตกแยกสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างสันติได้ แต่สำหรับประเทศไทยไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะพวกนักการเมืองเป็นคนชอบแสดงความแตกแยกให้ชาวบ้านเห็น เราเห็นการอภิปรายงบประมาณในสภา ตัวเลขหากนำไปใช้พัฒนาชาติบ้านเมืองก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเอาไปใช้สนับสนุนให้ตัวเองเถลิงอำนาจต่อไปก็เป็นเรื่องน่าเกลียด เป็นเรื่องน่าเสียดาย
เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นวิชามารกันแล้วเราควรใช้วิชาธรรมเพื่อนำมาสำรวจตรวจสอบ โดยเข้าใจว่าโลกใบนี้มีทั้งวิชาธรรม วิชามาร วิชาชีพ วิชาการ และวิชาชีวิต เราเองจะใช้ชีวิตท่ามกลางวิชามารกันอย่างไรถึงจะอยู่ได้อย่างสบายใจ เราต้องคิด
เจริญพร
**********************************************************************
ต่อยอดสุวรรณภูมิ ตบหน้า คตส.มั่ว?!
6 หมื่นล้านอีกแล้ว!! “ภูมิใจไทย”
ข้ออ้างประการหนึ่งในการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็คือรัฐบาลในขณะนั้นปล่อยให้มีการคอร์รัปชั่นโกงกิน มีเรื่องทุจริตมากมาย
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ก็เลยต้องทำรัฐประหาร
ผ่านมาถึงวันนี้ วันที่ พล.อ.สนธิ ต้องการที่จะเล่นการเมือง แต่ไม่รู้ว่าได้ย้อนทบทวนดูบ้างหรือไม่ว่า นับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยา มาจนขณะนี้ ขาดอีกแค่ไม่ถึงเดือน ก็จะครบ 4 ปีแล้วนั้น ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในเมืองไทยเป็นอย่างไร
นักการเมืองที่กำลังกุมอำนาจในปัจจุบัน มือขาวสะอาด ปากไม่เปรอะ ปากไม่มันจริงๆ หรือ?
กลิ่นทุจริตกลิ่นคอร์รัปชั่นที่โชยคละคลุ้งในเวลานี้ บรรดานายทหารใหญ่ที่กุมอำนาจได้ดิบได้ดีอยู่ในเวลานี้ ไม่ได้กลิ่นเลยจริงๆ หรือ???
ถึงวันนี้ตราบาปที่ คปค. หรือ คมช. ได้สร้างเอาไว้เป็นมรดกที่ชั่วร้ายให้กับสังคม กำลังทำให้ประเทศไทยเสียหายอย่างมากมายเหลือคณานับ
คมช. ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ คตส. ขึ้นมาเล่นงานตรวจสอบผลงานรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเฟ้นเอาเฉพาะตัวบุคคลที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น ที่มาเป็น คตส. ซึ่งก็มีการประกาศว่าจะเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อย่างแน่นอน
แต่จนถึงวันนี้ สิ่งที่สามารถเอาผิดได้ โดยอาศัยทริกตีความในแง่กฎหมายก็คือ คดีที่ดินรัชดา เพียงแค่คดีเดียว โดยสร้างความงุนงง และสร้างเสียงสะท้อนในเรื่องของ 2 มาตรฐานตามมามากมาย ... เพราะคุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ เป็นบุคคลสาธารณะ ที่สังคมไทยรู้กันดีโดยไม่สามารถที่จะปิดบังได้เลยว่า ขณะนั้นเป็นภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูสถาบันการเงินฯ และแม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ไม่เคยทักท้วงในเรื่องคุณสมบัติของคุณหญิงพจมานเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่มีการยื่นซองเข้าประกวดราคาโดยเปิดเผย และกองทุนฟื้นฟูฯ ก็เปิดซองตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีสิทธิที่จะซื้อแล้วด้วย
ลักษณะอย่างนี้แหละที่ก่อให้เกิดคำถามในสังคมไม่หยุด!!!
ในขณะที่อีกหลายๆ คดี ที่ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน คตส. ได้ให้สัมภาษณ์ปรากฏเป็นข่าวเป็นประจักษ์พยานเอกสารอย่างชัดเจนว่า มีข้อมูลมากมาย จับเรื่องนี้มาโดยตลอด สามารถเอาผิดได้แน่ภายในระยะเวลาอันสั้น
เช่นเดียวกันกับ นายแก้วสรร อติโพธิ ที่ได้เป็น คตส. ด้วยเหมือนกัน ก็ประกาศว่าหลักฐานชัด หลักฐานพร้อม ผิดกฎหมายแน่นอนเอาผิดได้แน่ สุดท้ายแทนที่จะใช้หลักกฎหมายในการเอาผิด กลับต้องไปใช้
”ทฤษฎีเปรียบเทียบ” ที่ตั้งขึ้นมาเอง เป็น”ทฤษฎีวัวทฤษฎีควายกินหญ้า” เล่นเอาบรรดานักกฎหมายที่แท้จริงต่างมึนไปตามๆ กัน
ซึ่งหนึ่งในกรณีที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ โดนหนักมาก เล่นกันเป็นลูกระนาด รับส่งลูกกันเป็นจังหวะจะโคน ทั้งกลุ่มนายทหารที่ทำการรัฐประหาร ทั้ง คตส. และแม้กระทั่งสื่อบางสื่อที่ร่วมถล่มอย่างชัดเจน นั่นก็คือ กรณีสนามบินสุวรรณภูมิ และการลงทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิ
หนักสุดคือเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจสอบ CTX ที่ทุกฝ่ายปาวๆว่าทุจริตแน่นอน... แต่วันนี้เงียบจ้อย ไม่มีความผิดใดๆ เลย แม้แต่แค่ระดับรัฐมนตรีคมนาคมในขณะนั้น คือนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นผู้อนุมัติโครงการ ก็กลายเป็นเรื่องเงียบหายไปโดยไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น
มีแต่กระแสข่าวเรื่องเงินสะพัด และมีใครบางคนที่มุ่งตรวจสอบเรื่องนี้ อ้วนพีปรีเปรมเสมสันต์ไปไม่น้อย
อีกกรณีที่สนามบินสุวรรณภูมิถูกโจมตีคือเรื่อง แท็กซี่ รันเวย์ ร้าว และมีหลุมลึก ซึ่งขานรับโดยสื่อเลือกข้าง ทั้งถ่ายรูปหลุมซึ่งมีอยู่หลุมเดียว ถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีก เปลี่ยนมุมไปมา แต่ก็หลุมเดิมนั่นแหละ พร้อมกับชี้นำสังคมว่า แย่แล้ว สนามบินสุวรรณภูมิจะพังแล้ว เพราะโกงกินกันหนัก
แต่ในความเป็นจริง สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นสนามบินอินเตอร์เนชั่นแนลขนาดใหญ่ เพียงสนามบินเดียว ที่เมื่อเปิดใช้แล้ว ไม่มีการต้องปิดชั่วคราวเพื่อซ่อม หรือปรับปรุงระบบเลย ในขณะที่สนามบินอินเตอร์เนชั่นแนลอื่นๆ เมื่อเปิดใช้แล้ว มักพบปัญหาและมีการหยุดเพื่อแก้ไขทั้งสิ้น ไม่ว่าจะที่สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือในยุโรป ในอเมริกาเองก็ตาม
อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า ตลอดเวลาที่มีการโจมตีว่าสนามบินสุวรรณภูมิมีปัญหา แท็กซี่รันเวย์ ไม่ได้มาตรฐานนั้น ปรากฏว่าสายการบินนานาชาติ ยังคงบินขึ้นบินลงตามปกติ
ซึ่งสายการบินนานาชาติ จะให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก หากสนามบินไหนไม่ปลอดภัยกัปตันนักบินต่างชาติจะไม่ยอมบินไปลงเด็ดขาด แต่ตลอดมาจนวันนี้ไม่มีนักบินต่างชาติจากสายการบินใด ที่บอกว่าสนามบินสุวรรณภูมิมีอันตรายไม่ปลอดภัยเลย
ทุกสายการบิน ทำการบินขึ้นลงอย่างสบายใจมาโดยตลอด
รวมทั้งบริษัทประกันภัย อย่าง บริษัท ลอยด์ อินชัวแรนท์ ซึ่งเป็นบริษัทมาตรฐานสากลระดับโลก ที่รับประกันภัยสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ไม่เคยปฏิเสธหรือถอนการรับประกันแต่อย่างใด หากสนามบินสุวรรณภูมิมีปัญหาจริง บริษัท ลอยด์ฯ จะยอมรับประกันหรือ?
ดังนั้นตราบาปที่ใครหลายคนพยายามสร้างให้กับสนามบินสุวรรณภูมินั้น วันนี้น่าจะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่า วันนั้นภาพรอยร้าว ภาพหลุมลึกอะไรต่างๆ นานาคือกระบวนการป้ายสี
หากเป็นข้อทุจริตจริง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ควรจะต้องโดนดำเนินคดีไปแล้ว ไล่ตั้งแต่นายสุริยะขึ้นไปจนหมด ครม. และแม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยเลย... แต่สุดท้ายก็เหลวไม่มีอะไรในกอไผ่
ขนาด คมช. ส่ง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เข้าไปเป็นประธานบอร์ด การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ขุดคุ้ยรื้อพรมทุกเรื่อง เพื่อจะเอาผิดให้ได้ รวมทั้งเรื่องพื้นที่สัมปทานร้านดิวตี้ฟรี ของ บริษัท คิงส์ เพาเวอร์ ของนายวิชัย รักศรีอักษร ด้วย
แต่สุดท้าย พล.อ.สพรั่ง ก็ไม่สามารถที่จะเล่นงานเอาผิดใครได้ กลับได้ความสนิทสนมเกื้อหนุนจากนายวิชัยเข้ามาแทน
ในขณะที่คนใกล้ชิด พล.อ.สพรั่ง ที่มีชื่อคุ้นเคย เป็นอักษร ช.ช้าง เสียอีก ที่กลับเป็นฝ่ายอู้ฟู่ขึ้นมา จากการที่ พล.อ.สพรั่ง เข้าไปคุมสนามบินสุวรรณภูมิ
ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลพวงการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ใช่หรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องถามใจ พล.อ.สนธิ และกลุ่มนายทหาร คมช. ทั้งหลาย ว่าเมื่อย้อนคิดกลับไปแล้ว รู้สึกเช่นใดหรือไม่
ที่สำคัญหากสนามบินสุวรรณภูมิเลวร้าย และมีปัญหาจริง ทำไมวันนี้จึงยังคงเปิดให้บริการได้โดยไม่มีปัญหา
แถมล่าสุด กลับกลายเป็นว่า ผลงานที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยระบุว่าจำเป็นต้องสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะสนามบินดอนเมืองรองรับไม่ไหวแล้วนั้น วันนี้ก็พิสูจน์ชัดอีกเช่นกันว่า เป็นวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องแล้ว
เพราะวันนี้กระทรวงคมนาคม ก็กำลังเอาผลงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาต่อยอด ว่าแม้แต่สนามบินสุวรรณภูมิเอง ในอนาคตก็กำลังจะไม่พอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประเทศไทยต้องการจะเป็น Hub ของสายการบินในภูมิภาคนี้
ก็จำเป็นต้องขยายสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 ตามแนวทางที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เคยวางเอาไว้
ถ้ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ผิดพลาดจริงๆ ทำไมรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคภูมิใจไทยของ นายเนวิน ชิดชอบ ที่เข้ามายึดกุมบริหารกระทรวงคมนาคมอยู่ในปัจจุบัน จึงเอาแผนงานมาสานต่อ
การต่อยอดครั้งนี้นอกจากเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า โครงการสนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้เลวร้ายแล้ว ยังถือเป็นการตบหน้า คนใน คตส. ที่เคยกล่าวร้ายเกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิเอาไว้ด้วย!!!
โดยกระทรวงคมนาคม ที่มีนายโสภณ ซารัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ ได้ชงข้อเสนอขอความเห็นชอบโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-2559) ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. วงเงินลงทุน 62,503.214 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการ ทอท. มีมติเห็นชอบโครงการดังกล่าวแล้ว เข้าสู่ที่ประชุม ครม.
ระบุว่าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น 15 ล้านคนต่อปี (จาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48 ล้านคนต่อปี และผู้โดยสารภายในประเทศ 12 ล้านคนต่อปี)
โดยที่จะเป็นงานก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก งานก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 งานระบบสาธารณูปโภคและงานจ้างที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการ ประกอบด้วย
1.กลุ่มงานอาคารผู้โดยสารหลัก วงเงินรวม 7,405.863ล้านบาท ในงานออกแบบและก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก ปีงบประมาณ 2555-2559 วงเงินลงทุน จำนวน 6,780.190 ล้านบาท โดยมีพื้นที่เพิ่มขึ้นประมาณ 60,000 ตร.ม. ทำให้สามารถรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศได้เพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านคนต่อปี 2.กลุ่มงานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 วงเงินรวม 40,745.067 ล้านบาท 3.งานออกแบบและก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคปีงบประมาณ 2554-2559 วงเงินลงทุน 2,693.219 ล้านบาท และ 4.งานจ้างที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการ วงเงิน 763 ล้านบาท
โดยโครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (ปีงบประมาณ 2554-2559) อายุโครงการ 30 ปี มูลค่าการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ประมาณ 14,235 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23.43 ของวงเงินลงทุน ซึ่ง ทอท.จะใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ ทอท. ในการลงทุนจำนวน 45,053.214 ล้านบาทหรือประมาณร้อยละ 72.08 ในช่วงปีงบประมาณ 2554-2559 และมาจากเงินกู้ต่างประเทศ จำนวน 17,450 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 27.92 ในช่วงปีงบประมาณ 2558-2559 ทั้งนี้ ทอท.ประมาณการผลตอบแทนทางการเงินหรือ IRR เท่ากับ ร้อยละ 9.02 มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ เท่ากับ 645.484 ล้านบาท และมีระยะเวลาคืนทุนเท่ากับ 10 ปี 1 เดือน
ตัวเลขของ ทอท. แสดงว่า ในปี 2552 มีผู้โดยสารมาใช้บริการ 40.09 ล้านคน และ ทอท.คาดว่า ในปี 2554 จะมีผู้โดยสารมาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นเป็น 47.3 ล้านคน และเนื่องจากขีดความสามารถในการรองรับหลุมจอดเครื่องบินประชิดอาคารมีเท่ากับ 51 หลุมจอด แต่มีความต้องการใช้งาน 67 หลุมจอด และจะเพิ่มขึ้นทุกปี
ทอท.จึงจำเป็นต้องเตรียมการปรับปรุงพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสาร และเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความแออัดและรักษาระดับการให้บริการผู้โดยสารให้ได้ตามมาตรฐานสากล
นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ที่ผ่านมาสนามบินสุวรรณภูมิไม่ใช่ความผิดพพลาด จึงทำให้ ทอท.เองก็ยอมรับว่า จะต้องมีการพัฒนาเฟส 2 ต่อไป
ตราบาปสุวรรณภูมิที่เกิดขึ้น เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการที่ใช้ในการทำลายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม การต่อยอดสนามบินสุวรรณภูมิ ที่พรรคภูมิใจไทย เสนอชงขอใช้งบประมาณกว่า 60,000 ล้านบาทในช่วงนี้ต่างหาก ที่สังคมควรจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด และโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากต้องการรักษาหรือสร้างภาพลักษณ์ให้ได้ จะต้องตรวจเข้มเป็นพิเศษ
เพราะเป็นเรื่องที่น่าสังเกตอย่างยิ่งหรือไม่ว่า ทำไมกระทรวงคมนาคม ใต้เงาของพรรคภูมิใจไทย จึงเน้นโครงการใหญ่ๆ หลายหมื่นล้านบาทมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถเมล์เช่า ซึ่งจากเดิมตั้งธงเอาไว้ที่ 6,000 คัน มูลค่าตอนแรกปาเข้าไปถึง 110,160 ล้านบาท เมื่อสะดุดก็ลดลงมาเป็น 98,000 ล้านบาท ซึ่งก็ยังแพงระยับอยู่เช่นเดิม
จนเมื่อถูกตีมากๆ ก็ลดจาก 6,000 คันลงมาเป็น 4,000 คัน วงเงินแม้จะลงมาอยู่ที่ 65,000 ล้านบาท แต่ก็ยังแพงวินาศอยู่เช่นเดิม ทำให้จนวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ยังคงต้องเตะถ่วงโครงการรถเมล์ 6 หมื่นล้านบาทนี้เอาไว้ก่อน
ซึ่งก็ให้บังเอิญเหลือเชื่อ ที่กระทรวงคมนาคมก็หันมาชงโครงการระดับ 6 หมื่นล้านบาท ขึ้นมาทดแทนได้พอดิบพอดี ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเป็นรัฐบาล แค่เปลี่ยนเป้าจากรถเมล์มาเป็นสนามบินเท่านั้น
ปัญหาคือ เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ กับระยะวลาที่เหลืออยู่ เพราะจะมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้นในต้นปีหน้าอยู่แล้ว ทำไมกระทรวงคมนาคมของพรรคภูมิใจไทยจึงต้องเร่งรีบเช่นนี้???
ข้อสงสัยเกี่ยวกับกระสุนดินดำเพื่อการเลือกตั้ง จึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะนายอภิสิทธิ์ เองก็ควรจะต้องยอมรับว่ากระแสเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น และการกอบโกยผลประโยชน์ต่างๆ เวลานี้เกิดขึ้นหนาหูเหลือเกิน
หรือตัวเลข 6 หมื่นล้านบาท จะเป็นตัวเลขโชคลางของพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้สักโครงการเถอะ!!!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ข้ออ้างประการหนึ่งในการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็คือรัฐบาลในขณะนั้นปล่อยให้มีการคอร์รัปชั่นโกงกิน มีเรื่องทุจริตมากมาย
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ก็เลยต้องทำรัฐประหาร
ผ่านมาถึงวันนี้ วันที่ พล.อ.สนธิ ต้องการที่จะเล่นการเมือง แต่ไม่รู้ว่าได้ย้อนทบทวนดูบ้างหรือไม่ว่า นับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยา มาจนขณะนี้ ขาดอีกแค่ไม่ถึงเดือน ก็จะครบ 4 ปีแล้วนั้น ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในเมืองไทยเป็นอย่างไร
นักการเมืองที่กำลังกุมอำนาจในปัจจุบัน มือขาวสะอาด ปากไม่เปรอะ ปากไม่มันจริงๆ หรือ?
กลิ่นทุจริตกลิ่นคอร์รัปชั่นที่โชยคละคลุ้งในเวลานี้ บรรดานายทหารใหญ่ที่กุมอำนาจได้ดิบได้ดีอยู่ในเวลานี้ ไม่ได้กลิ่นเลยจริงๆ หรือ???
ถึงวันนี้ตราบาปที่ คปค. หรือ คมช. ได้สร้างเอาไว้เป็นมรดกที่ชั่วร้ายให้กับสังคม กำลังทำให้ประเทศไทยเสียหายอย่างมากมายเหลือคณานับ
คมช. ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ คตส. ขึ้นมาเล่นงานตรวจสอบผลงานรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเฟ้นเอาเฉพาะตัวบุคคลที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น ที่มาเป็น คตส. ซึ่งก็มีการประกาศว่าจะเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อย่างแน่นอน
แต่จนถึงวันนี้ สิ่งที่สามารถเอาผิดได้ โดยอาศัยทริกตีความในแง่กฎหมายก็คือ คดีที่ดินรัชดา เพียงแค่คดีเดียว โดยสร้างความงุนงง และสร้างเสียงสะท้อนในเรื่องของ 2 มาตรฐานตามมามากมาย ... เพราะคุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ เป็นบุคคลสาธารณะ ที่สังคมไทยรู้กันดีโดยไม่สามารถที่จะปิดบังได้เลยว่า ขณะนั้นเป็นภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูสถาบันการเงินฯ และแม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ไม่เคยทักท้วงในเรื่องคุณสมบัติของคุณหญิงพจมานเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่มีการยื่นซองเข้าประกวดราคาโดยเปิดเผย และกองทุนฟื้นฟูฯ ก็เปิดซองตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีสิทธิที่จะซื้อแล้วด้วย
ลักษณะอย่างนี้แหละที่ก่อให้เกิดคำถามในสังคมไม่หยุด!!!
ในขณะที่อีกหลายๆ คดี ที่ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน คตส. ได้ให้สัมภาษณ์ปรากฏเป็นข่าวเป็นประจักษ์พยานเอกสารอย่างชัดเจนว่า มีข้อมูลมากมาย จับเรื่องนี้มาโดยตลอด สามารถเอาผิดได้แน่ภายในระยะเวลาอันสั้น
เช่นเดียวกันกับ นายแก้วสรร อติโพธิ ที่ได้เป็น คตส. ด้วยเหมือนกัน ก็ประกาศว่าหลักฐานชัด หลักฐานพร้อม ผิดกฎหมายแน่นอนเอาผิดได้แน่ สุดท้ายแทนที่จะใช้หลักกฎหมายในการเอาผิด กลับต้องไปใช้
”ทฤษฎีเปรียบเทียบ” ที่ตั้งขึ้นมาเอง เป็น”ทฤษฎีวัวทฤษฎีควายกินหญ้า” เล่นเอาบรรดานักกฎหมายที่แท้จริงต่างมึนไปตามๆ กัน
ซึ่งหนึ่งในกรณีที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ โดนหนักมาก เล่นกันเป็นลูกระนาด รับส่งลูกกันเป็นจังหวะจะโคน ทั้งกลุ่มนายทหารที่ทำการรัฐประหาร ทั้ง คตส. และแม้กระทั่งสื่อบางสื่อที่ร่วมถล่มอย่างชัดเจน นั่นก็คือ กรณีสนามบินสุวรรณภูมิ และการลงทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิ
หนักสุดคือเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจสอบ CTX ที่ทุกฝ่ายปาวๆว่าทุจริตแน่นอน... แต่วันนี้เงียบจ้อย ไม่มีความผิดใดๆ เลย แม้แต่แค่ระดับรัฐมนตรีคมนาคมในขณะนั้น คือนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นผู้อนุมัติโครงการ ก็กลายเป็นเรื่องเงียบหายไปโดยไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น
มีแต่กระแสข่าวเรื่องเงินสะพัด และมีใครบางคนที่มุ่งตรวจสอบเรื่องนี้ อ้วนพีปรีเปรมเสมสันต์ไปไม่น้อย
อีกกรณีที่สนามบินสุวรรณภูมิถูกโจมตีคือเรื่อง แท็กซี่ รันเวย์ ร้าว และมีหลุมลึก ซึ่งขานรับโดยสื่อเลือกข้าง ทั้งถ่ายรูปหลุมซึ่งมีอยู่หลุมเดียว ถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีก เปลี่ยนมุมไปมา แต่ก็หลุมเดิมนั่นแหละ พร้อมกับชี้นำสังคมว่า แย่แล้ว สนามบินสุวรรณภูมิจะพังแล้ว เพราะโกงกินกันหนัก
แต่ในความเป็นจริง สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นสนามบินอินเตอร์เนชั่นแนลขนาดใหญ่ เพียงสนามบินเดียว ที่เมื่อเปิดใช้แล้ว ไม่มีการต้องปิดชั่วคราวเพื่อซ่อม หรือปรับปรุงระบบเลย ในขณะที่สนามบินอินเตอร์เนชั่นแนลอื่นๆ เมื่อเปิดใช้แล้ว มักพบปัญหาและมีการหยุดเพื่อแก้ไขทั้งสิ้น ไม่ว่าจะที่สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือในยุโรป ในอเมริกาเองก็ตาม
อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า ตลอดเวลาที่มีการโจมตีว่าสนามบินสุวรรณภูมิมีปัญหา แท็กซี่รันเวย์ ไม่ได้มาตรฐานนั้น ปรากฏว่าสายการบินนานาชาติ ยังคงบินขึ้นบินลงตามปกติ
ซึ่งสายการบินนานาชาติ จะให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก หากสนามบินไหนไม่ปลอดภัยกัปตันนักบินต่างชาติจะไม่ยอมบินไปลงเด็ดขาด แต่ตลอดมาจนวันนี้ไม่มีนักบินต่างชาติจากสายการบินใด ที่บอกว่าสนามบินสุวรรณภูมิมีอันตรายไม่ปลอดภัยเลย
ทุกสายการบิน ทำการบินขึ้นลงอย่างสบายใจมาโดยตลอด
รวมทั้งบริษัทประกันภัย อย่าง บริษัท ลอยด์ อินชัวแรนท์ ซึ่งเป็นบริษัทมาตรฐานสากลระดับโลก ที่รับประกันภัยสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ไม่เคยปฏิเสธหรือถอนการรับประกันแต่อย่างใด หากสนามบินสุวรรณภูมิมีปัญหาจริง บริษัท ลอยด์ฯ จะยอมรับประกันหรือ?
ดังนั้นตราบาปที่ใครหลายคนพยายามสร้างให้กับสนามบินสุวรรณภูมินั้น วันนี้น่าจะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่า วันนั้นภาพรอยร้าว ภาพหลุมลึกอะไรต่างๆ นานาคือกระบวนการป้ายสี
หากเป็นข้อทุจริตจริง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ควรจะต้องโดนดำเนินคดีไปแล้ว ไล่ตั้งแต่นายสุริยะขึ้นไปจนหมด ครม. และแม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยเลย... แต่สุดท้ายก็เหลวไม่มีอะไรในกอไผ่
ขนาด คมช. ส่ง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เข้าไปเป็นประธานบอร์ด การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ขุดคุ้ยรื้อพรมทุกเรื่อง เพื่อจะเอาผิดให้ได้ รวมทั้งเรื่องพื้นที่สัมปทานร้านดิวตี้ฟรี ของ บริษัท คิงส์ เพาเวอร์ ของนายวิชัย รักศรีอักษร ด้วย
แต่สุดท้าย พล.อ.สพรั่ง ก็ไม่สามารถที่จะเล่นงานเอาผิดใครได้ กลับได้ความสนิทสนมเกื้อหนุนจากนายวิชัยเข้ามาแทน
ในขณะที่คนใกล้ชิด พล.อ.สพรั่ง ที่มีชื่อคุ้นเคย เป็นอักษร ช.ช้าง เสียอีก ที่กลับเป็นฝ่ายอู้ฟู่ขึ้นมา จากการที่ พล.อ.สพรั่ง เข้าไปคุมสนามบินสุวรรณภูมิ
ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลพวงการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ใช่หรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องถามใจ พล.อ.สนธิ และกลุ่มนายทหาร คมช. ทั้งหลาย ว่าเมื่อย้อนคิดกลับไปแล้ว รู้สึกเช่นใดหรือไม่
ที่สำคัญหากสนามบินสุวรรณภูมิเลวร้าย และมีปัญหาจริง ทำไมวันนี้จึงยังคงเปิดให้บริการได้โดยไม่มีปัญหา
แถมล่าสุด กลับกลายเป็นว่า ผลงานที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยระบุว่าจำเป็นต้องสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะสนามบินดอนเมืองรองรับไม่ไหวแล้วนั้น วันนี้ก็พิสูจน์ชัดอีกเช่นกันว่า เป็นวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องแล้ว
เพราะวันนี้กระทรวงคมนาคม ก็กำลังเอาผลงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาต่อยอด ว่าแม้แต่สนามบินสุวรรณภูมิเอง ในอนาคตก็กำลังจะไม่พอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประเทศไทยต้องการจะเป็น Hub ของสายการบินในภูมิภาคนี้
ก็จำเป็นต้องขยายสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 ตามแนวทางที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เคยวางเอาไว้
ถ้ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ผิดพลาดจริงๆ ทำไมรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคภูมิใจไทยของ นายเนวิน ชิดชอบ ที่เข้ามายึดกุมบริหารกระทรวงคมนาคมอยู่ในปัจจุบัน จึงเอาแผนงานมาสานต่อ
การต่อยอดครั้งนี้นอกจากเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า โครงการสนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้เลวร้ายแล้ว ยังถือเป็นการตบหน้า คนใน คตส. ที่เคยกล่าวร้ายเกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิเอาไว้ด้วย!!!
โดยกระทรวงคมนาคม ที่มีนายโสภณ ซารัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ ได้ชงข้อเสนอขอความเห็นชอบโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-2559) ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. วงเงินลงทุน 62,503.214 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการ ทอท. มีมติเห็นชอบโครงการดังกล่าวแล้ว เข้าสู่ที่ประชุม ครม.
ระบุว่าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น 15 ล้านคนต่อปี (จาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48 ล้านคนต่อปี และผู้โดยสารภายในประเทศ 12 ล้านคนต่อปี)
โดยที่จะเป็นงานก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก งานก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 งานระบบสาธารณูปโภคและงานจ้างที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการ ประกอบด้วย
1.กลุ่มงานอาคารผู้โดยสารหลัก วงเงินรวม 7,405.863ล้านบาท ในงานออกแบบและก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก ปีงบประมาณ 2555-2559 วงเงินลงทุน จำนวน 6,780.190 ล้านบาท โดยมีพื้นที่เพิ่มขึ้นประมาณ 60,000 ตร.ม. ทำให้สามารถรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศได้เพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านคนต่อปี 2.กลุ่มงานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 วงเงินรวม 40,745.067 ล้านบาท 3.งานออกแบบและก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคปีงบประมาณ 2554-2559 วงเงินลงทุน 2,693.219 ล้านบาท และ 4.งานจ้างที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการ วงเงิน 763 ล้านบาท
โดยโครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (ปีงบประมาณ 2554-2559) อายุโครงการ 30 ปี มูลค่าการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ประมาณ 14,235 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23.43 ของวงเงินลงทุน ซึ่ง ทอท.จะใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ ทอท. ในการลงทุนจำนวน 45,053.214 ล้านบาทหรือประมาณร้อยละ 72.08 ในช่วงปีงบประมาณ 2554-2559 และมาจากเงินกู้ต่างประเทศ จำนวน 17,450 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 27.92 ในช่วงปีงบประมาณ 2558-2559 ทั้งนี้ ทอท.ประมาณการผลตอบแทนทางการเงินหรือ IRR เท่ากับ ร้อยละ 9.02 มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ เท่ากับ 645.484 ล้านบาท และมีระยะเวลาคืนทุนเท่ากับ 10 ปี 1 เดือน
ตัวเลขของ ทอท. แสดงว่า ในปี 2552 มีผู้โดยสารมาใช้บริการ 40.09 ล้านคน และ ทอท.คาดว่า ในปี 2554 จะมีผู้โดยสารมาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นเป็น 47.3 ล้านคน และเนื่องจากขีดความสามารถในการรองรับหลุมจอดเครื่องบินประชิดอาคารมีเท่ากับ 51 หลุมจอด แต่มีความต้องการใช้งาน 67 หลุมจอด และจะเพิ่มขึ้นทุกปี
ทอท.จึงจำเป็นต้องเตรียมการปรับปรุงพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสาร และเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความแออัดและรักษาระดับการให้บริการผู้โดยสารให้ได้ตามมาตรฐานสากล
นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ที่ผ่านมาสนามบินสุวรรณภูมิไม่ใช่ความผิดพพลาด จึงทำให้ ทอท.เองก็ยอมรับว่า จะต้องมีการพัฒนาเฟส 2 ต่อไป
ตราบาปสุวรรณภูมิที่เกิดขึ้น เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการที่ใช้ในการทำลายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม การต่อยอดสนามบินสุวรรณภูมิ ที่พรรคภูมิใจไทย เสนอชงขอใช้งบประมาณกว่า 60,000 ล้านบาทในช่วงนี้ต่างหาก ที่สังคมควรจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด และโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากต้องการรักษาหรือสร้างภาพลักษณ์ให้ได้ จะต้องตรวจเข้มเป็นพิเศษ
เพราะเป็นเรื่องที่น่าสังเกตอย่างยิ่งหรือไม่ว่า ทำไมกระทรวงคมนาคม ใต้เงาของพรรคภูมิใจไทย จึงเน้นโครงการใหญ่ๆ หลายหมื่นล้านบาทมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถเมล์เช่า ซึ่งจากเดิมตั้งธงเอาไว้ที่ 6,000 คัน มูลค่าตอนแรกปาเข้าไปถึง 110,160 ล้านบาท เมื่อสะดุดก็ลดลงมาเป็น 98,000 ล้านบาท ซึ่งก็ยังแพงระยับอยู่เช่นเดิม
จนเมื่อถูกตีมากๆ ก็ลดจาก 6,000 คันลงมาเป็น 4,000 คัน วงเงินแม้จะลงมาอยู่ที่ 65,000 ล้านบาท แต่ก็ยังแพงวินาศอยู่เช่นเดิม ทำให้จนวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ยังคงต้องเตะถ่วงโครงการรถเมล์ 6 หมื่นล้านบาทนี้เอาไว้ก่อน
ซึ่งก็ให้บังเอิญเหลือเชื่อ ที่กระทรวงคมนาคมก็หันมาชงโครงการระดับ 6 หมื่นล้านบาท ขึ้นมาทดแทนได้พอดิบพอดี ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเป็นรัฐบาล แค่เปลี่ยนเป้าจากรถเมล์มาเป็นสนามบินเท่านั้น
ปัญหาคือ เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ กับระยะวลาที่เหลืออยู่ เพราะจะมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้นในต้นปีหน้าอยู่แล้ว ทำไมกระทรวงคมนาคมของพรรคภูมิใจไทยจึงต้องเร่งรีบเช่นนี้???
ข้อสงสัยเกี่ยวกับกระสุนดินดำเพื่อการเลือกตั้ง จึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะนายอภิสิทธิ์ เองก็ควรจะต้องยอมรับว่ากระแสเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น และการกอบโกยผลประโยชน์ต่างๆ เวลานี้เกิดขึ้นหนาหูเหลือเกิน
หรือตัวเลข 6 หมื่นล้านบาท จะเป็นตัวเลขโชคลางของพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้สักโครงการเถอะ!!!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)