--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

องค์กรพุทธฮึ่ม! ทำลายพระ !!


กรณีคำตัดสินให้ยึดทรัพย์สินกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท จากทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
แน่นอนว่าย่อมหนีไม่พ้นเสียงสะท้อนในแง่มุมต่างๆ เกิดขึ้นมาตลอดโดยเฉพาะเป้าใหญ่ คือ การทำงานของ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบ
การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.)

ซึ่งแสดงท่าทีชัดเจนในการต้องการให้มีการยึดทรัพย์ทั้งหมดให้ได้มาโดยตลอด แม้แต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย
ซึ่งเคยได้รับฉายา “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” ยังอดรนทนไม่ได้ ต้องพูดออกมาชัดๆ ว่า แบบนี้เท่ากับเป็นการยอมรับในอำนาจของกระบวนการ
รัฐประหาร ที่มีมาตั้งแต่ 19 กันยายน 2549

และที่สำคัญก็คือ “มีคนบางคนหรือใครบางคนที่อยู่เบื้องหลัง และชักใยทำให้สถานการณ์ในบ้าน ในเมืองของเรา เลวร้าย
เหมือนอย่างทุกวันนี้ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าคือใคร และกำลังทำอะไรอยู่”

จริงหรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ เป็นสิ่งที่กลุ่มอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มนายทหาร คมช. รวมไปถึงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี จะต้องตอบกับสังคม

เพราะแม้แต่นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ยังยอมรับว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ก็คือ กรณีสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการยุติธรรมที่ยอมรับการรัฐประหาร

เนื่องจากหลายประเด็นที่อ้าง คณะปฏิรูปการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) มีอำนาจแต่งตั้ง คตส. และ ป.ป.ช.
ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดจากผลพวงของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)

“ฉะนั้นคดีนี้ถ้าจะให้สง่างาม และเป็นการส่งเสริมการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย จะต้องเริ่มเรื่องจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
และศาลจะต้องพิจารณาตั้งแต่เริ่มแรก” นายอนุสรณ์ กล่าว

ที่สำคัญสิ่งที่ นายอนุสรณ์ ห่วงอย่างมากก็คือ ความยุติธรรมที่มาจากรัฐประหาร จะเป็นการสร้างบรรทัดฐาน และเป็นการบั่นทอน
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คือไม่มีใครกลัวที่จะเดินหน้าทำการปฏิวัติรัฐประหารถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์
ควรอย่างยิ่งที่จะต้องรับฟังและนำไปคิด

รวมทั้ง รศ.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ยังยอมรับเช่นกันว่า
การต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น จะไม่จบสิ้นลงเพราะยังมีประเด็นหลายประเด็นให้ต่อสู้ เช่น อำมาตยาธิปไตย สองมาตรฐาน การทุจริต
ของรัฐบาล

รศ.ไชยันต์ มีความเห็นเช่นดียวกันว่า การที่คำตัดสินอ้างถึงประกาศ คปค.หลายต่อหลายครั้ง ทำให้ตกเป็นเป้าวิจารณ์ว่าเป็นการยอมรับ
อำนาจที่มาจากรัฐประหาร

“หลายครั้งที่อ้างถึงกฎหมายประกาศ คปค.ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้หลายคนคิดว่า เป็นการยอมรับการกระทำของรัฐประหารหรือไม่
เพราะองค์กรที่ร้องนั้น เป็นองค์กรที่มาจากการแต่งตั้งของ คปค.” รศ.ไชยันต์ กล่าว

แย่ตรงที่ แม้จะมีการห่วงใยว่าเป็นการยอมรับอำนาจรัฐประหาร แต่หน่วยงานที่มาจากการแต่งตั้งของอำนาจรัฐประหาร กลับไม่รู้สึกรู้สม
และยังคงเดินหน้าทำตามสิ่งที่ต้องการต่อไป

เพราะนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. บอกชัดว่า ได้รับมอบหมายจากที่ประชุม ป.ป.ช. ให้เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวน 4 เรื่อง
คือ

1. กรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินอันเป็นเท็จ
2. การแก้ไขสัญญาอัตราจัดเก็บภาษีบัตรเติมเงินมือถือแก่บริษัท เอไอเอส โดยมิชอบ
3. การแก้ไขสัญญาเชื่อมต่อสัญญาณหรือโรมมิ่งแก่เอไอเอส และ
4. การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์โดยมิชอบ

เล่นต่อไม่เลิกอย่างชัดเจนเช่นเดียวกับ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ที่ก็บอกว่าคณะรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบ
ขยายผลคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงได้มีการออกคำสั่งที่ 102/ 2553 แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาและวิเคราะห์คำพิพากษา
ในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ ตามคำพิพากษาใน 5 ประเด็น และให้สอบสวนแล้วเสร็จภายใน เดือน มี.ค.

เร่งกันเหมือนติดจรวดพร้อมตั้งคณะทำงานศึกษาสำนวนคดีปกปิดโครงการผู้ถือหุ้น SC ที่อัยการเคยสั่งไม่ฟ้อง ว่า
สามารถเข้าสอบสวนรื้อฟื้นดำเนินคดีใหม่ได้อีกครั้งหรือไม่ ตามคำสั่งนายกฯ ภายใน 15 วัน

การกระเด้งรับอย่างรวดเร็วทันใจเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจ หากสังคมจะวุ่นวายไม่จบ ยิ่งมามีเรื่องของ “ปากคนประชาธิปัตย์” ที่ยังเคยชินกับ
มุกถนัดเดิมๆ ไม่สนผลกระทบ ขอให้ได้พูดเอามันไว้ก่อน สร้างความฮือฮาระทึกใจให้สังคมได้เท่านั้นเป็นพอใจ

แล้วกรณีแบล็คลิสต์จึงลามปามไปจนเลยเถิด นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง รับว่า มีการติดตามจับตามอง
ประมาณ 10 คน แถมยังสนุกปากต่อไปว่า จะมีการจ้องเล่นงานลูกเมียรัฐมนตรี หรือผู้บัญชาการเหล่าทัพ เว่อร์เสียยิ่งกว่าตลกชวนชื่น
หรือตลกเชิญยิ้มเสียอีก

แต่บรรดาคนที่ถูกกล่าวหา แน่นอนว่าไม่สามารถรับได้ ว่าเอาสมองส่วนไหนคิดว่าจะมีการคุกคามลูกเมียรัฐมนตรี หรือผู้นำเหล่าทัพ
สิ่งเหล่านี้ไม่มีในสังคมไทยอยู่แล้วนี่คือการป้ายสีหรือไม่??? นี่คือการสร้างความแตกแยกแบ่งขั้วให้รุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีกหรือไม่???

เช่นกันกับองค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทยก็ไม่พอใจ ซึ่ง พระครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ เลขาธิการองค์กรชาวพุทธฯ ยังพูดชัดว่า
ขณะนี้ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพระพุทธศาสนา คือมีรายชื่อของพระชั้นผู้ใหญ่ถูกรัฐบาลขึ้นบัญชีดำ หรือ แบล็กลิสต์
ในการที่จะต้องจับตามองเป็นพิเศษ

เพราะอาจจะมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ควรเฝ้าระวัง ทั้งๆ ที่รายชื่ออย่างเช่น
พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม
พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พระเทพปริยัติวิมล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยนั้น ทั้ง 2 รูปไม่เคยออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเลย และ
พระธรรมกิตติเมธี ก็เป็นถึงโฆษก และกรรมการมหาเถรฯ แต่ก็ยังถูกนำมาขึ้นบัญชี

จึงอยากให้ทางรัฐบาลโดยเฉพาะนายสุเทพ ออกมาชี้แจงให้ชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ เพราะขณะนี้มีพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งไม่พอใจการกระทำ
ดังกล่าวของรัฐบาล และเตรียมตัวที่จะออกมาเคลื่อนไหวใหญ่แล้วสำหรับรายชื่อพระสงฆ์ที่ถูกระบุในแบล็คลิสต์ที่ควรเฝ้าระวัง ประกอบด้วย

1.พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรฯ
2.พระธรรมสุธี เจ้าคณะกทม.
3.พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
4.พระธรรมสิทธินายก ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ
5.พระธรรมคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดสามพระยา
6.พระเทพวิสุทธิกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส
7.พระเทพปริยัติวิมล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏฯ
8. พระราชญาณวิสิฏฐ์ เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
9.พระสิทธินิติธาดา เลขานุการเจ้าคณะกทม.
10. พระครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ เลขาธิการองค์กรชาวพุทธฯ และ
11. พระมหาโชว์ ทัสนีโย รองเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย

วุ่นวายกันขนาดนี้ คงต้องขึ้นอยู่กับนายอภิสิทธิ์แล้วว่า เมื่อไรจะปรามบรรดา “ปากประชาธิปัตย์” เสียที บ้านเมืองจะได้วุ่นวายน้อยลง


ที่มา.บางกอกทูเดย์
******************************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น