--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

เวลาแห่งชัยชนะของเสื้อแดงมาถึงจนได้ อำมาตย์อยากจบแบบไหน? แบบแดงนปช.หรือแดงสยาม?

หมดเวลาแล้วจริงๆสำหรับระบอบเผด็จการ ประชาชนได้ชัยชนะตั้งแต่ยุทธศาสตร์ถนนคนเดินตลาดประชาชนแล้ว ที่เหลือเป็นการเก็บฉากเท่านั้น ..ขึ้นอยู่กับว่า จะจบแบบที่ นปช.ต้องการ หรือถ้ามีการลงมือที่รุนแรง ก็คงต้องจบแบบแดงสยาม

ในตอนนี้ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการยันกันอยู่อย่างไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบใคร โดยที่ฝ่ายเผด็จการเห็นว่าฝ่ายประชาชนมีเงินน้อย สายป่านสั้น แม้ว่าจะจำนวนมากแต่ก็มีกรอบการทำงานในทางสันติไม่สามารถสร้างสถานการณ์ได้ ต้องรอฝ่ายทหารลงมือก่อนเท่านั้นจึงจะจุดกระแสเอาชนะได้

ส่วนฝ่ายเผด็จการก็หาทางสร้างสถานการณ์ต่างๆ ถ้าจุดติด คนเชื่อต่างชาติเชื่อและให้การรับรองก็จะยกเป็นเหตุปราบผู้ชุมนุมได้อย่างราบคาบโดยไม่ต้องกังวลเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่นและศาลอาญาระหว่างประเทศที่จะตามมาลงโทษในภายหลัง

ต่อมาเมื่อคนเป็นล้าน ไม่เป็นที่สนใจของฝ่ายเผด็จการด้วยเห็นว่า อำนาจของตนทั้งด้านนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายทหารที่ตนเข้าใจว่ามีนั้นล้นเหลือ เสียงเรียกร้องของประชาชนก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยินและพร้อมที่จะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเหมือนหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา และเฝ้าดูคนประชาชนที่ต้องมาตากแดดเรียกร้องความยุติธรรม ความเป็นธรรมและประชาธิปไตยด้วยความเงียบเฉยไม่สนใจใยดี รอเวลาที่ประชาชนจากต่างจังหวัดหมดเงิน หมดตัว ถอนตัวด้วยความเหนื่อยล้าแล้วจึงจะลงมือ

โดยมีการคิดไว้อย่างรัดกุมว่าการลงมือครั้งนี้ต้องไม่ให้ผิดพลาดปล่อยให้ประชาชนตั้งตัวได้เหมือนสงกรานต์เลือดที่ผ่านมา

บทความนี้จะไม่ลงไปในเรื่องของยุทธศาสตร์และยุทธวิธีต่างๆเหมือนที่ผ่านๆมา เพราะเรารู้แล้วว่าศัตรูคือใคร มิตรคือใคร เราต้องแสวงหามิตรให้มากขึ้น ดึงศัตรูมาเป็นมิตร จำกัดศัตรูให้เล็กลง ขจัดหนอนออกไปจากขบวนการ ใช้สติปัญญาให้มากและชัยชนะจะอยู่ที่การได้ทหารมาเป็นฝ่ายเราทางใดทางหนึ่งเสมอ

แต่คำถามจะมาอยู่ที่แล้วจะทำอย่างไร..ต่างหาก

คืนวันที่ 18 มีนาคม 2553 เป็นวันที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศยุทธศาสตร์แห่งชัยชนะออกมาอย่างชัดเจน ในเรื่องถนนคนเดิน และ ผู้เขียนขอเติมให้ว่า “ ถนนคนเดิน ตลาดประชาชน (people market)”

ซึ่งทุกท่านคงทราบแนวคิดแล้วว่า จะให้มีการนำสินค้าของคนเสื้อแดงชาวประชาธิปไตยมาจำหน่ายโดยไม่ต้องเสียค่าที่แพงๆ มวลชนจากจังหวัดต่างๆตั้งแต่สนามหลวงมาถึงลานพระบรมรูปทรงม้า สามารถนำสินค้าโอทอป ของตนมาจำหน่ายได้ โดยไม่ต้องเสียภาษีรายได้เพิ่ม ไม่ต้องเสียค่าที่ ไม่ต้องแสดงรายได้เสียภาษี ฯลฯ

ประชาชนสามารถไปซื้อสินค้าราคาถูก นักท่องเที่ยวมีแหล่งจับจ่ายใช้สอย นอกเหนือจาก จตุจักร สนามหลวงสอง ตลาดไท สินค้าส่งออกกระทรวงพาณิชย์ สินค้าโอทอปเมืองทองธานี ฯลฯ มารวมกัน คนจะไหลมาเทมา

เท่ากับว่าคนมาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงนับเป็นหลายล้านคนหมุนเวียนตลอดเวลา ถ้าจัดให้มีการจำหน่ายสินค้าตลอดวัน ตลอดคืนด้วยยิ่งคึกคักไม่มีเวลาจบสิ้น ทั้งชาวไทยและฝรั่งต่างชาติเมื่อมาในที่ชุมนุมคนเสื้อแดงก็จะได้รับข่าวสาร ได้รับสินค้าราคาถูก ได้ซึมซับแนวคิดประชาธิปไตยกินได้ ได้ซื้อสัญลักษณ์เสื้อแดงกลับบ้านด้วยว่าเป็นการอินเทรนด์ เท่ากับว่ายิ่งนานไป คนเสื้อแดงจะยิ่งมากขึ้น มากขึ้น ไม่มีวันหมด

แทนที่เสื้อแดงซึ่งออกเงินกันมาชุมนุมเองไม่มีท่อน้ำเลี้ยง จะหมดเงิน หมดกำลัง ท่านทักษิณฯคิดยุทธศาสตร์ทำให้เป็นการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส คนเสื้อแดงกลายเป็นยิ่งชุมนุมยิ่งมีเงิน ยิ่งนานยิ่งแข็งแกร่ง สามารถสร้างระบบเศรษฐกิจซ้อนเศรษฐกิจของระบอบอำมาตย์

สร้างระบบรัฐซ้อนรัฐขึ้นมาที่เรียกว่ารัฐไทยใหม่ได้ เงินหมุนเวียนมีแต่จะเข้ามาในชุมชนเสื้อแดง เมื่อได้เงินและไม่ต้องเสียค่าที่ ค่าทาง คนก็ยิ่งสมัครเป็นเสื้อแดงมากขึ้นทุกขณะเป็นทวีคูณ และน่าจะไม่ใช่ทวีคูณแบบอนุกรมเลขคณิตที่สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด แต่จะเป็นอนุกรมเรขาคณิตซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แบบสองเป็นสี่ สี่เป็นสิบหก สิบหกเป็นสองร้อยห้าสิบหก เรื่อยๆ ไปอย่างน่าตกใจเมื่อคนกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียงเริ่มเข้ามาร่วมกิจกรรมในที่ชุมนุม

จำนวนคนที่จะเข้ามาร่วมและสายป่านที่ยาวขึ้นของคนเสื้อแดงนี่เองจะทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงกลายเป็นหลายๆล้านคนได้ในเวลาอันสั้นมากๆและไม่ต้องกลัวการล้อมปราบของทหารอีก เพียงแต่ต้องมีการสร้างระบบการตรวจสอบและรักษาความปลอดภัยให้ดีขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ยากเกินไป เต็นท์ของคนเสื้อแดงส่วนไหนขายของได้ขายของไป ส่วนไหนที่รับบริจาคก็จะมีคนเข้ามาบริจาคมากขึ้นด้วยทุนทรัพย์ที่สูงขึ้น และมีจำนวนมากขึ้น เพราะไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นกลุ่มใช้ความรุนแรงอย่างที่รัฐบาลกับฝ่ายเผด็จการพยายามใส่ร้ายป้ายสี

ประการสำคัญคือประชาชนที่เข้ามาใหม่จะทราบว่า ใครคือศัตรูของพวกเขา กลุ่มศักดินาคือใคร กลุ่มซากทัศนะทาสที่ไปรับใช้ศักดินาคือใคร กลุ่มอำมาตย์คือใคร

ทำไมระบบราชการจึงกดขี่ประชาชน ทำไมประชาชนจึงมีรายได้น้อย เป็นหนี้สินกันทั่วหน้า ทำไมข้าราชการเงินเดือนจึงต่ำ ทำไมคนบางกลุ่มจึงร่ำรวย บางกลุ่มจึงยากจนทั้งๆที่ประเทศเจริญขึ้น

กลุ่มผูกขาดทางธุรกิจคือใคร กลุ่มธุรกิจข้ามชาติที่สนับสนุนเหล่าอำมาตย์คือใคร

หนทางออกทางเศรษฐกิจของคนไทยคืออะไร การปลดปล่อยตัวเองจากการกดขี่ทางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่านี้จะทำอย่างไร การซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในหมู่คนเสื้อแดงทำได้อย่างไร จะเกิดสถาบันการเงินของคนเสื้อแดงจะทำได้อย่างไร ฯลฯ

จนในที่สุดเป็นการมีชีวิตอยู่ในกลุ่มคนที่รักประชาธิปไตยทำกันอย่างไร และจำกัดวิถีชีวิต การดำรงอยู่และการให้ความสำคัญกับฝ่ายเผด็จการนั้นลดน้อยลงจนหมดไปในที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องสนใจชัยชนะในรัฐสภาเลย เพราะชัยชนะในท้องถนนราชดำเนินจะเป็นการแสดงถึงชัยชนะของทัพเหนือ อีสาน ภาคกลาง ตะวันออก ตะวันตกและทางใต้ต่อกรุงรัตนโกสินทร์อย่างสมบูรณ์

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายเผด็จการไม่เคยนึกถึงหรือไม่อาจจะจินตนาการไปได้ถึง หลังจากการหลั่งเลือดชโลมแผ่นดินด้วยคนบริสุทธิ์นับแสนคน ปลดปล่อยอาถรรพ์ มนต์ดำที่ครอบงำประเทศมาเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ประชาชนคนไทย ตาสว่างไสวดุจได้แสงจากสปอทไลท์

ชัยชนะบนท้องถนนราชดำเนิน ที่อาจเรียกว่าถนนคนเดิน ตลาดประชาชน นี้คือชัยชนะแล้วที่เหลือเป็นการเก็บกวาดเผด็จการเท่านั้น

จริงอยู่แม้ว่ารัฐบาลจะยุบสภา หรือ ลาออก แต่ด้วยอำนาจทั้งปวงที่ได้สร้างเครือข่ายไว้ยากที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะได้ชัยชนะจากในรัฐสภาหรือจากการเลือกตั้ง

ส่วนแนวทางการต่อสู้นอกสภาที่ขัดแย้งกันระหว่างนปช หรือแดงสยาม ก็สมควรจะได้ข้อยุติแล้วด้วยว่าทิศทางที่ท่านทักษิณฯได้ กำหนดไว้นี้คือการผ่าทางตันที่ชัดเจน เมื่อไม่ได้อำนาจรัฐด้วยวิถีทางรัฐสภา ประชาชนก็ยึดรัฐนั้นเสียเอง เมื่อประชาชนขยายตัวมากขึ้นด้วยเวลาอีกเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะเกิดการใช้กำลัง หรือการเลือกตั้งที่กำหนดเงื่อนไขโดยฝ่ายอำมาตย์ ประชาชนจะประสบชัยชนะในขั้นต่อไปเสมอ ด้วยว่าประชาชนชาวเสื้อแดงนั้นเองได้ยึดหัวใจของกรุงเทพมหานครฯนี้ไว้แล้ว

ถ้าถามใจฝ่ายเผด็จการว่าจะยอมให้เกิดภาวะนี้ต่อไปหรือไม่ที่ชาวเสื้อแดงสามารถชุมนุมไปได้อย่างไม่สิ้นสุด และจะสามารถขยายพื้นที่การชุมนุมออกไปได้ตลอดเวลาตามจำนวนสินค้าและร้านค้าที่จะมาวางขาย แย่งชิงส่วนแบ่งมูลค่าการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมาจากฝ่ายอำมาตย์และห้างร้านที่สนับสนุนมากขึ้นทุกทีๆ จนอาจล่มสลายพินาศลงได้ในเวลาอันไม่นานนัก

คำตอบจากฝ่ายเผด็จการแม้ว่าจะร่ำรวยมีอำนาจมหาศาลอยู่แล้วก็ตาม แต่ด้วยสันดานความเห็นแก่ตัวคงจะไม่ยอมอย่างแน่แท้และต้องสั่งการให้เกิดการปราบปรามให้ราบคาบอย่างรุนแรงแม้ว่าจะไม่สามารถสร้างสถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆมารองรับได้ก็ตาม

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทหารที่เป็นเครื่องมือสำคัญของฝ่ายเผด็จการส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้จับอาวุธด้วยตนเองนั้นคงจะไม่ยอมรับในคำสั่งนั้นและการปฏิเสธคำสั่งที่เด็ดขาดของผู้มีอำนาจปกครองประเทศนี้ ก็จะกลายเป็นคำสั่งให้อำนาจเก่าที่ปกครองประเทศนี้ต้องอพยพออกไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้

ด้วยเหตุนี้เอง จึงเชื่อว่าฝ่ายเผด็จการคงต้องรีบลงมืออย่างเร่งด่วน ด้วยว่าหากปล่อยยุทธศาสตร์ของท่านทักษิณเป็นจริงขึ้นมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จุดจบของฝ่ายเผด็จการนั้น ก็จะมองเห็นและเมื่อมีการลงมือก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใหญ่อย่างแน่นอน


ขึ้นอยู่กับว่า การลงมือนั้นรุนแรงและโหดเหี้ยมหรือไม่ ขนาดไหน ถ้าไม่รุนแรงนักก็จบแบบที่ นปช ต้องการคือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข



ถ้ามีการลงมือที่รุนแรง ก็คงต้องจบแบบแดงสยาม ซึ่งจนป่านนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร หรือเป็นอย่างไร ที่ว่าเกินจาก นปช ไปแต่หวังว่าจะไม่จบแบบปฏิวัติฝรั่งเศสหรือการเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐแบบฝรั่งเศสในอีก 86 ปีต่อมา


เมื่อทุกอย่างมาถึงทางตันแล้ว ชัยชนะก้าวแรกของประชาชนก็มาถึงแล้ว ที่เหลือเป็นการบีบให้ฝ่ายเผด็จการต้องตัดสินใจว่าจะกลับเข้าที่เข้าทางหรือต้องไปอยู่นอกประเทศ ซึ่งก็มีแค่สองทางเลือกจริงๆไม่เห็นทางอื่น

ถ้าไม่เลือกหนทางแห่งสันติหนทางแรกด้วยการยอมถอยและส่งสัญญาณให้องค์กรอิสระและฝ่ายตุลาการถอนตัวตาม มีการลงมือเมื่อไหร่ ฝ่ายประชาธิปไตยนำโดยท่านทักษิณฯประกาศรัฐบาลพลัดถิ่นทันที เรียกข้าราชการ ประชาชนมาเลือกข้างต่อสู้กับฝ่ายอำมาตย์

ฟรีทีวีทุกช่องตอนนั้นบางส่วนคงเลือกข้างประชาธิปไตยได้โดยไม่ต้องกลัวใคร ทหารบางส่วนจะประกาศตัวเป็นอิสระจากฝ่ายอำมาตย์ ต่างประเทศเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงมาทางฝ่ายประชาธิปไตยก็จะเข้ามารับรอรัฐบาลพลัดถิ่นอย่างรวดเร็ว

ถ้าไม่ยอมกันก็มีสงครามกลางเมือง

ในระหว่างนี้ด้วยอำนาจของรัฐบาลพลัดถิ่นตามกฎหมายระหว่างประเทศ ท่านทักษิณฯ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศนี้ จะสามารถประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกองค์กรอิสระ ยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ ยกเลิกคณะองคมนตรี นำรัฐธรรมนูญปี 40 มาแก้ไขในเรื่องพระราชอำนาจด้วยว่า คณะองคมนตรีหมดไปแล้วและปรับปรุงด้วยมาตราในรัฐธรรมนูญปี 2475 ฉบับแรก หรือนำแบบสวีเดน ญี่ปุ่นมาใช้ จากนั้นประกาศแต่งตั้งข้าราชการ ประกาศวันเลือกตั้งด้วยรัฐธรรมนูญใหม่

ถ้ายอมในจุดนี้คงไม่ต้องหนีออกนอกประเทศก็จบได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ยอมก็จบอย่างนองเลือดเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ผลจะเป็นอย่างไรประวัติศาสตร์ในหลายประเทศก็มีให้ศึกษากันอยู่อย่างเหลือเฟือ

สิ่งที่ต้องตระหนักก็คือ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนที่ใช้เวลายาวนาน ได้มีเวลาทำการศึกษาและเรียนรู้แนวทางการต่อสู้ต่างๆอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง ประชาชนมีความรู้ในทางลึกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ประชาชนเรียกร้องประชาธิปไตยไม่ใช่เพราะความยากจน หรือมัวเมาลุ่มหลงในตัวบุคคลอย่าง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร แต่เป็นความรู้ในทางอุดมการณ์ประชาธิปไตยและเศรษฐศาสตร์การเมืองอย่างถึงแก่น

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นโดยสันติหรือรุนแรงก็ตามประเทศไทยจะมีระบอบการเมืองการปกครองเช่นเดียวกับประเทศยุโรปในปัจจุบัน ประชาชนจะมีวุฒิภาวะ มีการรักษาสิทธิและหน้าที่ของตัวเอง มีการรวมกลุ่มและกลายเป็นแรงหนุนเนื่องต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างเข้มแข็ง ไม่สามารถที่จะมีระบอบเผด็จการใดๆมาครอบงำประชาชนได้อีกต่อไป

ดังนั้นจะเห็นแล้วว่าหมดเวลาแล้วจริงๆสำหรับระบอบเผด็จการ ประชาชนได้ชัยชนะตั้งแต่ยุทธศาสตร์ถนนคนเดิน ตลาดประชาชนแล้ว ที่เหลือเป็นการเก็บฉากเท่านั้น

โดย Pegasus
ที่มา.ไทยอีนิวส์
*************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น