--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

เสื้อแดงเคลื่อนไหวด้วยใจ

กลายเป็นข่าวใหญ่โต เมื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรี ออกมาแฉถึงกระบวนการการต่อท่อน้ำเลี้ยง ยื้อลมหายใจม็อบแดงหลังปรับทัพ ก๊อกสอง ผ่าน "ส., ป., พ." 3 อดีตนักการเมืองระดับนายทุน เจ้าของธุรกิจการค้าระหว่างประเทศพร้อมระบุว่ามีกระจายเงินให้ สส.เพื่อไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานคนละ 15 ล้านบาท เพื่อระดมคนมาร่วมชุมนุมกับม็อบเสื้อแดงที่ถนนราชดำเนิน

งานนี้ "เสี่ยแดง" พิชัย นริพทะพันธุ์อดีต รมช.คลัง มีคุณสมบัติเข้าข่ายต้องสงสัย ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงโดยตรงและไม่รู้เรื่องท่อน้ำเลี้ยงที่อ้างถึง โดยยืนยันว่าทำงานให้กับพรรคเพื่อไทยเพียงอย่างเดียว จะมีก็แต่การบริจาคเงินให้กับพรรคอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีบันทึกรายงานการบริจาคที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง 2 ครั้งในปีที่แล้ว ครั้งแรก 5 ล้านบาท ครั้งที่สอง 2 ล้านบาท

"ผมไม่ได้มีอย่างอื่นเกี่ยวข้องกับเสื้อแดง แต่ทว่าก็ไม่ได้คิดว่าเสื้อแดงผิด ผมเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเป็นไปด้วยความตั้งใจ อย่าไปคิดว่าเขามีท่อน้ำเลี้ยงจริงๆ แล้วส่วนตัวผมเชื่อว่าเสื้อแดงมาด้วยจิตใจที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศ บางทีเราคนกรุงเทพฯ สมัยก่อนอาจจะไปคิดอย่างนั้น แต่ถ้าเกิดได้มีโอกาสลงพื้นที่อยากให้คนกรุงเทพฯ ได้สัมผัสคนต่างจังหวัดว่าเขาคิดกันอย่างไร ซึ่งความคิดเขาไปไกลมากแล้วอย่าไปมองว่าเขามาเพราะเอาเงินไปให้ ผมฟังแล้วก็รู้สึกว่าความเข้าใจจะผิด เพราะคนเสื้อแดงเขาจะมีการระดมทุนของเขาเองด้วย หลังๆ คนเสื้อแดงเขาไปประชุมต่างจังหวัดเขาเสียเงินนะ ไม่ได้ได้เงิน ในต่างจังหวัดนี่มีการประชุมเยอะมาก ที่ผมรู้ก็มีคนมาเล่าให้ฟัง เรียนตรงๆ ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสื้อแดงเลย เพียงแต่สัมผัสกับ สส. เขามาเล่าให้ฟัง แต่คนที่มาอาจจะมีรายได้น้อย กลุ่มเสื้อแดงอาจจะต้องไปอำนวยความสะดวก"

ในแง่ภาพลักษณ์ที่ถูกมองว่าเป็นนายทุนพรรค"พิชัย" อธิบายว่า ส่วนตัวก็มีเงินใช้บ้างแต่ไม่ได้ใช้เยอะแต่ถามว่าการเมืองทุกประเทศก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น แต่ต้องมองว่าเราใช้เงินไปเพื่ออะไรต้องดู ส่วนตัวก็ไม่ได้ไปใช้ซื้อเสียงหรือใช้ทางไม่ถูก แต่เรื่องการปฏิบัติงานของพรรคบางครั้งจำเป็นต้องใช้ก็ต้องใช้ ดังนั้นอย่าไปมองว่าการใช้ทุนเป็นสิ่งไม่ดี

ส่วนที่มองว่าการเข้ามาถนนการเมืองของกลุ่มทุนเพื่อกอบโกยนั้น "พิชัย" ออกตัวว่า คนที่มาทำงานให้ประเทศต้องคิดว่า หนึ่งตัวเองพร้อมไหม มีเงินไหม ไม่ใช่มาเพื่อกอบโกย อย่างบางพรรคในอดีตจนหมดเลยพอมาเป็นรัฐบาลแล้วรวยหมดเลย อย่างนั้นหรือที่คุณต้องการมันไม่ใช่ ต้องมองว่าคนที่มีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านมาทำงานเพื่อประเทศด้วยวัตถุประสงค์อะไร จะเข้ามาเก็บเกี่ยวหรืออยากทำให้ประเทศดีขึ้น

"ผมอยากให้มองที่ความคิด วิธีคิด มากกว่าจะบอกว่าคนนี้มีเงินหรือไม่มีเงิน อย่างคุณทักษิณ เงินทุนเต็มเลย แต่ทำไมคนคิดว่าคุณทักษิณเก่ง ผมก็อยากให้คนมองว่าผมมีวิธีคิดที่ทำให้ประเทศชาติเจริญ มากกว่าผมเป็นนายทุน"

แต่หลังจากมีเรื่องการยึดทรัพย์ขึ้นมา คนรวยคนไหนอยากจะมายุ่งการเมือง สมมติมีเงินเล่นหุ้นในตลาดอยู่พันล้านบาท บริหารประเทศ เจริญขึ้นไป 5,000 ล้านบาท ถึงเวลาบอกว่ายึด 4,000 ล้านบาท ถ้าเป็นอย่างนี้คนรวยที่ไหนอยากเข้ามา ต่อไปจะมีแต่คนจนที่เข้ามาแล้วทำให้ตัวเองรวย ซึ่งไม่มีอะไรจะเสีย ไม่มีอะไรให้ยึดเงินที่ทุจริตก็ไปซ่อนที่อื่นถามว่ามี สส.มาไถเงินบ้างหรือไม่ พิชัย ยืนยันว่า ไม่มี "ผมเองไม่มีมุ้ง บริจาคก็ตรงเข้าพรรค ไม่ใช่ไม่รักสส. แต่อยากให้เป็นระบบ และผมไม่ได้ขึ้นตรงกับใคร กับคุณทักษิณก็เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไม่ได้รับคำสั่ง ซึ่งหาก สส.คนไหนมาขอให้ช่วยอะไรถ้าช่วยได้ก็ช่วย

"เสี่ยแดง" ออกตัวในความเป็นแดงของเขาว่า เป็นแดง ขาว น้ำเงิน ตามสีธงชาติ แต่จริงๆ แล้วแดงของเขาหมายถึงการอยากเห็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ยุติธรรม แต่คงไม่ใช่แนวฮาร์ดคอร์เหมือนแดงสยาม ทิศทางของโลกที่จะเป็นในอนาคตมีสองฝั่งต่างกัน ฝั่งหนึ่งมีการควบคุมดูแลทุกอย่าง แต่อีกฝ่ายอยากเห็นว่าเลือกตั้งต้องสมบูรณ์ ใครมาก็ต้องมีสิทธิมีเสียงบริหารประเทศเต็มที่ ทั้งสองภาพยังขัดแย้งกันอยู่ ซึ่งทางออกคือทำอย่างไรให้สองฝั่งไปด้วยกันได้

ทั้งนี้ ระบบควบคุมหรือที่ฝั่งเสื้อแดงเรียกว่าระบอบอำมาตย์ในอดีตอาจจะจำเป็นต้องมีการควบคุมเมื่อคนส่วนมากในประเทศเขายังไม่รู้เรื่อง มีการควบคุมไม่ให้มีการทุจริต แต่ระยะหลังไม่ใช่ กลายเป็นการปล่อยให้การทุจริตเกิดขึ้น เพื่อให้ตัวเองรักษาอำนาจได้ ซึ่งถือว่าผิดวัตถุประสงค์ ดังนั้นในระยะยาวต้องดูว่าทิศทางต้องเปลี่ยนหรือเปล่า อย่างคนขาวที่คุมทุกอย่างในแอฟริกา เมื่อวันหนึ่งคนดำเขาต้องการปกครองตัวเองก็ต้องปล่อยเขา

แม้ที่ผ่านมาจะมีหลายฝ่ายพยายามเสนอ "ทางออก" ให้กับสถานการณ์ความขัดแย้งปัจจุบันแต่สุดท้ายดูจะยากในการนำไปสู่การปฏิบัติ "เสี่ยพิชัย" ประเมินว่าต้องเริ่มจากให้ทุกคนหาเป้าหมายที่ต้องการในอนาคตก่อน อย่างประชาธิปไตยสมบูรณ์เห็นตรงกันหรือไม่ ถ้าเห็นด้วยแล้วก็ต้องหาทางว่าจะทำอย่างไรให้ถึงจุดนั้น

หากมองตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดงให้ยุบสภา ก็เพราะที่ผ่านมาการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลมีเบื้องหลัง ดังนั้นการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ก็เพื่อให้เห็นว่าประชาชนจะเอาไง ประชาธิปัตย์จะทำประเทศเป็นไงก็หาเสียงไปเลย ใครจะแก้รัฐธรรมนูญ ไม่แก้รัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายประชาชนเลือกอะไรก็ต้องจบ เราต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ ไม่งั้นก็เดินไม่ได้

"ถ้าเราไม่ยอมรับกติกานี้ เราก็ไม่รู้ว่าจะยอมรับกติกาไหนจะให้คนไม่กี่คนมาตัดสินใจประเทศนี้มันไม่ใช่ ถ้าประเทศนี้จะเจ๊ง ก็ต้องเจ๊งเพราะคนส่วนใหญ่"

"พิชัย" ประเมินการบริหารงานของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในช่วงที่ผ่านมาว่า แม้จะแอบเชียร์ เพราะจังหวะดี เข้ามาใหม่การศึกษาดี หน้าตาดี พูดจาดี แต่ถ้ามีวิธีการทำงานที่ดี ป่านนี้ปัญหาคงไม่เยอะขนาดนี้ ปัญหาคือ มีการถือข้าง และเอาใจฝั่งที่เชียร์ แต่คนที่ไม่เชียร์ไม่ดูแลคนที่เป็นผู้นำต้องลอยตัวเหนือความขัดแย้งและดูว่าจะแก้ไขอย่างไร ซึ่งเขาจะต้องเห็นภาพนี้
ที่สำคัญนาทีนี้ไม่ใช่เวลาที่ใครจะมาฝันอยากได้อำนาจปัญหาคือ บ้านกำลังไฟไหม้ ทำอย่างไรต้องดับไฟก่อน สมมติไฟไหม้ห้องครัว ไปดับห้องรับแขก ซึ่งปัจจุบันเป็นอย่างนี้ แล้วจะไปแก้ได้อย่างไร ก็ลามไปทั้งบ้าน ซึ่งเมื่อไฟไหม้ก็ต้องดับไฟก่อน แล้วค่อยมานั่งคุยกันทีหลัง

นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญกับคนจน ให้พวกเขาได้มีโอกาสได้โต ถ้ามองทางเศรษฐกิจ ประเทศจะเจริญได้ต้องทำให้คนระดับล่างรวยก่อน โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นฐานของพีระมิด เพราะคนรวยเพียงไม่กี่คนจะรวยขึ้นไม่มีประโยชน์จีดีพีจะโต 4-8% แต่คนจนยังมีรายได้ 100-200 บาท/วัน ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ต้องยึดแนวดูโอแทรกต์ ให้คนข้างล่างมีรายได้เพิ่มขึ้น ให้เป็นเถ้าแก่ เข้าถึงแหล่งทุน กองทุนหมู่บ้านลดปลดหนี้ คู่กับพัฒนาคนด้านบน

"แต่ต้องสอนให้เขาหา ไม่ใช่กู้มาแล้วหาไม่เป็น ที่ผ่านมาคนจนรู้สึกว่าทำกับเขาเหมือนเป็นขอทาน เอาเงิน เอาข้าวผ้าห่ม มาแจก แต่ความจริงเขาไม่ต้องการ เขาบอกว่าให้เบ็ดเขาซิ อย่าให้ปลา ถามว่าทำไมแท็กซี่ถึงแดงหมด คุณอภิสิทธิ์ต้องคิดเรื่องนี้"



เปิดสัมพันธ์'ทักษิณ-พิชัย'

ย้อนไปสมัยวัยรุ่น "พิชัย" ต้องปฏิเสธถนนการเมืองจากคำชักชวนของ ชวน หลีกภัยที่สนิทสนมกับคุณพ่อของเขาเมื่อต้องเลือกเส้นทางธุรกิจเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนคุณพ่อที่เพิ่งเสียชีวิต ทำได้เพียงแต่เอาใจช่วยประชาธิปัตย์อยู่ห่างๆ จนห่างเหินกันไปในที่สุดในช่วงหลัง

จากนั้นด้วยความสนิทสนมส่วนตัวกับ สุวิทย์ คุณกิตติทำให้เขาเบนเข็มมาอยู่กับพรรคเพื่อแผ่นดิน พร้อมดันลูกชาย "พชร นริพทะพันธุ์" ที่หลงใหลในเส้นทางการเมืองมารับหน้าที่ รองโฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน ด้วยวัยเพียงแค่ 24 ปี

แต่ด้วยความที่รู้จักกับ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ เปิดช่องให้ได้มาพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จนถูกคอ จากแนวคิดที่จูนกันติดและมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เขาก้าวสู่ตำแหน่ง รมช.คลัง ด้วยคำการันตีว่า "เก่ง วิธีคิดใช้ได้"แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในกระทรวงการคลัง แต่ก็ผลักดันนโยบายหลายเรื่องให้นำไปสู่การปฏิบัติได้ โดยเฉพาะการผลักดัน มาตรการภาษีเรียกเก็บจากคนที่มีฐานะ ยังได้กำหนดพฤติกรรมของคน ซึ่งมีหลายรายการที่ยังค้างอยู่ในลิสต์ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติ

สำหรับมุมมองที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว "พิชัย" ยอมรับว่าเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดมาก ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะ แล้วนำมาปรับใช้ ยิ่งไปอยู่ต่าง
ประเทศยิ่งเก่ง จนมีวิสัยทัศน์ระดับโลกตรงนี้อยากเห็นรัฐบาลมีการประนีประนอม นำความรู้ความสามารถของ พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วยเหลือประเทศ อย่างสหรัฐไปจับแฮกเกอร์มือดีๆ มา ก็เอามาใช้งาน ได้ประโยชน์มากกว่าเอาไปติดคุก ปัจจุบันเราไปเสียเวลากับกระบวนการไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ปิดสนามบินความเสียหายเท่าไหร่ ค่าเสียโอกาสเท่าไหร่ จากที่เคยแข่งกับสิงคโปร์ไปต้องมาแข่งกับเวียดนาม

"ผมกับคุณทักษิณจูนกันติด เวลาเสนอไอเดีย ตอนเป็นรัฐบาลจะทำอย่างนี้ ถ้าเป็นพรรคอื่นจะถามว่าได้เงินเท่าไหร่ แต่คุณทักษิณไม่คิด คิดว่าประชาชนได้อะไรก่อน ผมยืนยันเลยว่าเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ยอ อย่างกองทุนหมู่บ้าน เอสเอ็มแอล ไม่มีใครได้เงินเข้ากระเป๋าเงินลงถึงประชาชนจริงๆ ไม่เหมือนชุมชนพอเพียงที่มีการปั่นของมาขาย "พิชัย" อธิบายต่อว่า เรื่องการเสนอโครงการและหวังกิน30-40% ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีได้กิน มีการไล่บี้เข้มงวดจนมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีประจำ ซึ่งคุณทักษิณเป็นอย่างนั้นจริงๆงบประมาณห้ามแตะ เครียดจะตายต้องปั้นผลงาน เงินก็ไม่ได้ คนถึงเกลียด เพราะอยู่กับทักษิณแล้วไม่ได้เงิน

ส่วนความแตกต่างระหว่าง ประชานิยมของทั้ง ทักษิณและอภิสิทธิ์"พิชัย" อธิบายว่า รัฐบาลขณะนี้ไม่มีวิธีคิดหาเงิน อภิสิทธิ์ไม่เคยหาเงิน เอาเงินจากพ่อ ไม่รู้ว่าการค้าหาเงินอย่างไร ต้องผลิตสินค้าอะไร เอาอะไรไปขาย แต่คุณทักษิณรู้ เริ่มตั้งแต่ขายภาพยนตร์ดิ้นรนหาเงินเลี้ยงตัวเอง

"รัฐบาลต้องฝึกให้ชาวบ้านหาเงิน ประกอบกับการให้เงิน พอมีรายได้แล้ว จากนั้นทำอย่างไรให้คนส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้น ก่อนเปลี่ยนเป็นรัฐสวัสดิการ แล้วค่อยๆ ยกระดับการจ่ายภาษี เพราะคนจนจะจ่ายภาษีได้ไง รัฐสวัสดิการจะต้องมาหลังจากประชานิยม ไม่ใช่แบบแจกฟรี แต่ต้องเพื่อให้ประชาชนมีรายได้ หากินได้เพิ่มขึ้น"

นายกฯ ต้องมีทีมงานที่ฉลาด เปิดกว้างเอาคนมีประสบการณ์ แต่คนรอบข้างคุณอภิสิทธิ์ไม่มีใครทำธุรกิจ หรือทำก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้สุดท้ายมองไม่เห็นภาพ ประทานโทษคุณอภิสิทธิ์มองในเชิงอำมาตย์ นึกว่าจะซื้อใจจากประชาชนโดยการให้อย่างเดียวไม่ได้เขาข้ามตรงนั้นไปแล้ว ไปถึงจุดที่เขาต้องหาเงินเองได้แล้ว.


Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)
โดย...ทีมข่าวการเมือง
************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น