"อิสรภาพราคา 8.7 พันล้านบาทของไทยออยล์"
ดีลการซื้อโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 ของไทยออยล์จากกระทรวงอุตสาหกรรมสำเร็จลุล่วงไปแล้วในวินาทีสุดท้ายของรัฐบาลอานันท์ 2 โดยเป็นการซื้อขายตามราคาประเมินต่ำสุดของคณะกรรมการประเมินมูลค่าโรงกลั่นของกระทรวงอุตสาหกรรมคือ 8,764,245,647.86 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่บริษัทผู้ประเมินฯ ทำการประเมินไว้ถึงเท่าตัว
แต่เกษม จาติกวณิช ประธานกรรมการ และกรรมการอำนวยการไทยออยส์ก็ยินดีที่จะเขียนเช็คธนาคารกรุงไทยมูลค่าสูงที่สุดจำนวนนี้มอบให้แก่กระทรวงอุตสาหกรรม
"มันเป็นการซื้ออิสรภาพให้ไทยออยส์" เกษมกล่าวดด้วยสีหน้าชื่นบานในงานเซ็นสัญญาที่จัดขึ้นในวันรุ่งขึ้นหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการซื้อขายซึ่งได้เจรจายืดเยื้อยาวนานถึง 4 ปี
โรงกลั่นทั้งสองหน่วยนี้ไทยออยล์เป็นผู้จัดการสร้าง และยกให้เป็นทรัพย์สินของรัฐตามเงื่อนไขการประมูล เพื่อดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมันรัฐบาลอนุมัติให้ไทยออยล์เช่าดำเนินการเป็นระยะเวลา 20 ปีนับตั้งแต่ปี 2524
การซื้อหน่วยโรงกลั่นทั้งสองแห่งนอกจากจะทำให้ไทยออยล์มีความคล่องตัวในการดำเนินงานแล้ว ยังเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้ไทยออยล์มีสินทรัพย์ถาวรเพื่อที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ไทยออยล์ระดมทุนและกระจายหุ้นแก่มหาชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่เมื่อปี 2531 ครั้นไทยออยล์ยื่นเรื่องขอเข้าจดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ปรากฏว่ามีปัญหาเรื่องไม่มีทรัพย์สินถาวรที่ใช้ในการดำเนินการและสัญญาเช่าสินทรัพย์สินถาวรควรมีอายุอย่างต่ำ 30 ปี ตลาดฯ ขอให้ไทยออยล์แก้ปัญหานี้
คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความเห็นว่าสัญญาเช่าโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และ 2 จะหมดอายุลงในปี 2544 บริษัทฯ ควรจะไปเจรจาต่ออายุสัญญาเช่าหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ทรัพย์สินเป็นของบริษัทฯ โดยสมบูรณ์ จึงจะสามารถนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ได้
ไทยออยล์พยายามเจรจาทั้งในเรื่องของการต่ออายุสัญญาและการซื้อโรงกลั่น ซึ่งมีอุปสรรคต่าง ๆ นา เกษมเคยกล่าวว่า "กฎระเบียบที่เป็นข้อแม้ต่าง ๆ นั้นสามารถแก้ไขได้โดยรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่ออายุสัญญาเช่าหรือการกระจายหุ้น หากรัฐไม่ต้องการให้กระจายหุ้นก็ไม่จำเป็นต้องต่ออายุสัญญา กำไรต่อหุ้นของไทยออยล์ดีมาก ผู้ถือหุ้นไม่ต้องการให้นำหุ้นเข้าตลาดฯ อยู่แล้ว แต่ที่เป็นห่วงคือหากจะมีการขยายโรงกลั่น หรือจะเข้าไปลงทุนในกิจการอื่นก็อาจจะไม่มีเงินลงทุนได้ง่ายและจะทำให้กระจายผลกำไรต่อหุ้นแก่บุคคลอื่นด้วย"
รัฐบาลชาติชายอนุมัติให้ขายโรงกลั่น 1 และ 2 แก่ไทยออยล์ไปแล้ว แต่เมื่อเรื่องเข้ามาสู่คณะรัฐบาลอานันท์ 1 กลับถูกตีกลับให้มีการทบทวนใหม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่ารัฐบาลมีความจำเป็นเพียงไรที่จะต้องขายสมบัติให้เอกชนหากไทยออยล์ต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหนทางอื่นไหมที่รัฐจะไม่สูญผลประโยชน์จากค่าเช่าโรงกลั่นทั้งสอง
หลังจากทบทวนผ่านไปหลายครั้งและอดีตรองนายกรัฐมนตรีมีชัย ฤชุพันธุ์ซึ่งเป็นผู้คัดค้านการขายโรงกลั่นไทยออยล์ไม่ได้เข้าร่วมในรัฐบาลอานันท์ 2 ปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีก็มีมติอนุมัติให้ไทยออยล์ซึ่งโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และ 2 ได้ในราคาดังกล่าว
มตินี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่รัฐบาลอานันท์ 2 จะหมดอายุเป็นเหตุให้การจัดงานเซ็นสัญญามีขึ้นอย่างเร่งรีบขนาดที่ว่าธนาคารกรุงไทยจะทำเช็คฉบับพิเศษ ซึ่งมีมูลค่าสูงสุดเท่าที่มีการซื้อขายจ่ายเงินด้วยเช็คเพื่อให้เกษมเซ็นจ่ายให้กระทรวงอุตสาหกรรมก็ไม่สามารถพิมพ์ได้ทัน
เกษมเปิดเผยว่า "เงินที่นำมาซื้อโรงกลั่นครั้งนี้มาจากส่วนเกินของเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในการดำเนินการบวกกับเงินกู้รายการเดิม ๆ ที่กู้มาแล้วยังไม่ได้จ่ายซึ่งจะต้องมีการกู้ใหม่และตอนนี้ก็หาเงินกู้ได้แล้วโดยกู้ภายในประเทศประมาณ 5,000 ล้านบาทและภายนอกประเทศอีก 3,000 ล้านบาท"
เกษมเลือกที่จะจ่ายรวดเดียวเลยไม่มีการขยักขย่อนแม้จะคุยว่าสามารถเจรจากับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อขอจ่าย 3 งวดหรือไม่ต้องจ่ายในวันเซ็นสัญญาก็ได้ เขาเห็นว่าจะเป็นการสร้างภาระผูกพันเสียเปล่า ๆ และในเมื่อไทยออยล์มีเครดิตดีจริง สามารถหาเงินได้ ก็น่าที่จะจ่ายเสียให้สิ้นเรื่องไปเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความน่าเชื่อถือจริง
ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้กู้เงินจำนวนดังกล่าวตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสบดีก่อนหน้าที่ ครม. จะอนุมัติการซื้อหน่วยโรงกลั่นแล้ว
แบงกอก เชาว์ขวัญยืนกรรมการผู้จัดการใหญ่เปิดเผยด้วยว่า "การซื้อหน่วยโรงกลั่น 1 และ 2 ครั้งนี้ทำให้ไทยออยล์มีหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 40,309 ล้านบาทจากเดิมที่มีหนี้สิน 30,178 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนเป็น 15.30 :1 จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 11.28 : 1
เกษมกล่าวว่า "หนี้สินเหล่านี้ทำให้ไทยออยล์ต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละประมาณ 2 ล้านบาทบวกกับของเก่าอีกประมาณ 4 ล้านบาทเป็นวันละ 6 ล้านบาทแม้ไทยออยล์จะมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนสูงขนาดนี้ก็ยังมีคนมารอจะให้กู้อีกเยอะ"
เป้าหมายการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ของไทยออยล์ คือการลดภาระหนี้ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากลงและแม้ว่าไทยออยล์สามารถระดมเงินจากตลาดอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายเป็นจำนวนมากแต่ไทยออยล์ก็ยังมีความจำเป็นที่จะเข้าตลาดหุ้น
เกษมเปิดเผยว่า "ผู้ให้กู้ทั้งหลายก็อยากที่จะเห็นเราเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้นด้วยอย่างการกู้ 10,000 ล้านบาทครั้งหลังนี้ผู้ให้กู้ก็อยากจะมีการระบุข้อความว่าการกู้นี้ก็ด้วยความหวังว่าไทยออยล์จะเข้าตลาดหุ้น และกิจการก็จะดีขึ้น และอีกอย่างหนึ่งเราจะกู้ไปสุดกู่อย่างนี้เรื่อย ๆ คงจะไม่ได้" เกษมให้ความเห็นว่า "ตัวเลขหนี้ต่อทุนที่สูงเช่นนี้จะเป็นปัญหาในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะต้องดูต่อไป ตัวเลขนี้อาจจะทำให้พีอีเรโชสูงไปดังนั้นก่อนเข้าตลาดฯ ก็คงจะมีการแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้เกิดความไว้ใจ"
แน่นอนว่าเกษมคงอยากจะเห็นเครดิตไทยออยล์ในหมู่นักลงทุนเหมือนกับที่แบงเกอร์จำนวนมากมองเห็นความน่าเชื่อถือของไทยออยล์
ไทยออยล์มีผลกำไรสุทธิหลังการหักภาษีและเงินส่วนแบ่งผลกำไรหรือค่ารอยัลตี้ที่ต้องให้กับรัฐบาลลดลงจาก 489 ล้านบาทในปี 2533 เป็น 304.19 ล้านบาทในปี 2534 ทั้งที่ในปีนี้มีรายได้ เพิ่มขึ้นเกือบ 8,000 ล้านบาทส่วนผลการดำเนินงานในปี 2535 ซึ่งไทยออยล์มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายน เกษมคาดหมายว่าจะมีผลกำไรประมาณ 800 ล้านบาทจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 500 ล้านบาท (ก่อนหักภาษีและส่วนแบ่งผลกำไรฯ) "ในช่วง 3 เดือนหลังที่ผ่านมานี่ เรามีกำไรมากกว่าช่วง 9 เดือนแรกคือกะไว้ว่าโรงกลั่นจะเสร็จก็เร่งการผลิตมากได้เป็นแสนบาเรลทีเดียว"
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องมีการลดสัดส่วนการถือหุ้นลงจำนวนหนึ่งเพื่อกันออกมา 25% สำหรับจดทะเบียน จุลจิตต์ บุณยเกตุ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการกล่าวว่า "หุ้นจำนวนนี้จะ DILUTE ตาม PORPORTION"
ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นไทยออยล์ได้แก่ ปตท. 49% สนง. ทรัพย์สินฯ 2%, เชลล์ 15.05%, คาลเท็กซ์ 4.75% และผู้ถือหุ้นรายบุคคล 29.2%
ที่มา.นิตสารผู้จัดการ
**************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น