
เห็นป้ายในขบวนพาเหรดของนักศึกษาจุฬา-ธรรมศาสตร์ในวันบอลประเพณีแล้ว มีความรู้สึกว่า เขาและเธอเหล่านั้น ก้าวหน้ามากในทางกระแนะกระแหนนักการเมือง โดยเฉพาะการเรียกนายมาร์ค มุกควายว่า “อภิสบ เวทนาจังว่ะ” ซึ่งผมเห็นว่า เก๋ไก๋กว่าฉายาที่ผมตั้งให้ คือ
“อภิแสบ ภักดีโพเดียม”
ฉายา “อภิแสบ ภักดีโพเดียม” หรือ “มาร์ค มุกควาย” ที่ผมตั้งให้นั้น เมื่อเทียบกับ “อภิสบ เวทนาจังว่ะ” แล้ว ผู้คนเขาสนใจหรือเห็นคล้อยตามคำไหนมากกว่ากัน ลองเข้าไปค้นใน ‘กูเกิ้ล’ ก็คงจะพอทราบได้ว่า
ฉายาไหน? จะเหมาะกับหัวหน้าพรรค ‘ดักดาน’ มากกว่ากัน!
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทางเคเบิลทีวี ช่อง HBO เขาเอาภาพยนตร์เก่าเรื่อง Truman มาฉาย เป็นหนังเกี่ยวกับชีวประวัติของประธานาธิบดี Harry S.Truman (แฮรี่ เอส ทรูแมน) แสดงนำโดย Gary Sinise หนังเรื่องนี้สร้างตั้งแต่ผี 1988 ผมดูหลาย ครั้งแล้ว ถึงกระนั้น เวลาเขาย้อนเอามาฉายใหม่ ผมเป็นต้องดู เพราะชอบคำพูดที่ใช้ในหนังเรื่องนี้มาก เพราะมีหลายประโยคที่คมคาย กินใจ และแม้เวลาที่ปรากฏตามภาพยนตร์ จะผ่านมานานกว่าหกทศวรรษแล้ว แต่สำหรับผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์ ก็ดูได้ไม่รู้เบื่อ
Harry S.Truman (แฮรี่ เอส ทรูแมน) เป็นผู้นำสหรัฐต่อจากประธานาธิบดี FDR หรือ Franklin Delano Roosevelt(แฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลท์) ผู้ยิ่งใหญ่ถึงแก่อาสัญกรรมไปหลังจากปฏิญาณตัวรับตำแหน่งครั้งหลังสุดเพียง 3 เดือน และเป็นในยามที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังดำเนินไปด้วยความเข้มข้น ถึงแม้ในช่วงนั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังกลับได้เปรียบต่อฝ่ายอักษะก็ตาม
ทรูแมนซึ่งเป็นรองประธานาธิบดีตอนนั้น ต้องขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทนรูสเวลท์ และต้องกลายมาเป็นบุคคลสำคัญ ในการทำหน้าที่คัดท้ายนาวาของฝ่ายสัมพันธมิตร และชะตากรรมของมนุษยชาติ ในตอนปลายสงครามโลกครั้งที่สอง และรับภาระหนักของชาติและของโลกต่ออีกหลังหลังมหาสงคราม ท่ามกลางความไม่ค่อยเชื่อมั่นของคนอเมริกัน เพราะทรูแมนนั้น ไม่มีทางเทียบกับประธานาธิบดีรูสเวลท์ ซึ่งเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่และเพียบพร้อมไปเสียทั้งหมด ทั้งความรู้ ฐานะ ความฉลาด พูดก็เก่งและเป็นขวัญใจของคนอเมริกันอีกด้วย
แม้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว อเมริกันชนก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวของผู้นำผู้เงียบขรึมท่านนี้ด้วยซ้ำไป เพราะภาพพจน์ของประธานาธิบดีอย่าง FDR นั้น ยังอยู่ในหัวใจของอเมริกันชน จึงมองข้ามประธานาธิบดีอย่างทรูแมนไปหมด
หลังจากหมดสมัยแรกแล้ว ท่านทรูแมนได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง แต่ตกเป็นรองผู้สมัครพรรครีพับลิกันเป็นอย่างมาก เพราะขณะนั้น Thomas E.Dewey (โทมัส อี ดิวอี้) โด่งดังมาก เพราะเป็นอัยการใหญ่รัฐนิวยอร์คและเป็นผู้ที่มีความสามารถทางกฎหมายโดดเด่นมาก
ผมยังจำได้ถึงคดีที่คุณโทมัส อี ดิวอี้ รับเป็นทนายความตั้งแต่ตัวเองไปศึกษาต่างประเทศครั้งแรก ซึ่งหากท่านผู้ใดเคยไปที่ศึกษากฎหมายอาญาในสหรัฐ หรืออบรมในสถาบัน F.B.I. หรือในสถาบันผู้เชี่ยวชาญในการสอบสวนคดีอาญา จะต้องพบกับคำที่เรียกกันว่า
"พยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ และเข้ามาสู่การพิจารณาหรือการรับรู้ของศาล" (Illegal evidence that comes to the court.)
วลีนี้แหละครับคุณดิวอี้ ใช้เป็นชั้นเชิงหลัก ในการว่าความให้กับจำเลยรายหนึ่งชื่อนายมัลลอรี่ ต้องหาข่มขืนผู้เสียหายในห้องซักผ้าใต้ถุนอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งตัวของนายคนนี้ทำงานอยู่ที่นั่นด้วย
ตำรวจเอาตัวนายมัลลอรี่ ไปซักถามที่สถานีตำรวจประมาณแปดชั่วโมง โดยยังไม่แจ้งข้อหาเสียก่อน แต่กลับแจ้งข้อหาเอาหลังจากที่เอาตัวไปไว้ที่สถานีตำรวจเวลานานแล้ว โดยนำเอาคำให้การรับสารภาพของจำเลย ก่อนที่จะมีการแจ้งข้อหาและแจ้งสิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้อง มาเป็นพยานหลักฐานปรักปรำจำเลย
ตรงนี้แหละครับ ที่คุณดิวอี้เอาการที่ 'ได้มา' (obtain) ซึ่งพยานหลักฐาน รวมทั้งคำรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นตำรวจ มาเป็นข้อต่อสู้ว่าเป็น Illegal evidence that comes to the court และศาลตัดสินให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี
ชื่อเสียงของคุณดิวอี้ก็ดังเป็นพลุแตก ต่อมาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นอัยการใหญ่รัฐนิวยอร์ค และเมื่อได้รับเลือกตั้ง ก็ได้ต่อสู้กับองค์กรอาชญากรรมรวมทั้งพวกมาเฟีย จนมีชื่อเสียงเป็นที่ประทับใจคนอเมริกันเป็นอย่างมาก
เรียกว่าเป็น “ขวัญใจ” เลยก็ว่าได้!
แต่เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับทรูแมน นักกฎหมายใหญ่ผู้นี้ กลับตกอยู่ในความประมาท ไม่ออกหาเสียงมากเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะว่า โพลทุกสำนักชี้ตรงกัน
โทมัส ดิวอี้ จะได้รับชัยชนะ อย่างง่ายดาย!
ฝ่ายทรูแมนเห็นว่าตัวเองเป็นรองตามโพล เพราะแม้ว่า
ท่านจะครองตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างการเลือกตั้งก็จริง แต่ดูจะไม่เป็นที่นิยมของอเมริกานัก การสำรวจคะแนนเสียงโดยโพลต่างๆ ชี้ตรงกันว่า คุณดิวอี้ผู้ท้าชิง
น่าจะชนะแบบ ‘แบเบอร์’ ก็ว่าได้!
คนอย่างทรูแมนไม่สนใจผลโพล แต่กลับโหมหาเสียงอย่างหนัก โดยใช้รถไฟเป็นพาหนะ หรือที่เรียกว่าการหาเสียงแบบ "Whistle-stop" คือ การเดินทางไกลแบบกินนอนในรถขบวนพิเศษไปทั่วสหรัฐ
พอผลการเลือกตั้งออกมาจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคะแนน Popular Vote ของประธานาธิบดีคนใต้แท้ๆ ที่มีลักษณะเงียบขรึม แต่ “จริงใจ” กลับโด่งพรวดแซงตัวเต็งอย่างดิวอี้ไป กว่าล้านคะแนนด้วยซ้ำ
ระหว่างที่อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีใครจะคิดว่าชาวไร่ธรรมดาเกิดใน Lamar, Missouri แล้วครอบครัวย้ายมาอยู่ Kansas, Missouri แดนใต้ของของสหรัฐ ผู้เคยเป็นนายทหารจากหน่วย Missouri National Guard เมื่อปลดประจำการแล้ว ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้พิพากษา วุฒิสมาชิก และรองประธานาธิบดี และเป็นประธานาธิบดีที่ดูลักษณะภายนอกแล้ว หนังสือพิมพ์เรียกชายผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ว่า เป็น Plain Man คือดูธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่มีบุคลิกที่เป็นจุดเด่น เตะตาผู้คนแบบนักการเมืองดังๆ แต่ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า
ประธานาธิบดีที่ดูเป็นคนธรรมดาเรียบง่ายอย่างนี้แหละครับ กลับได้ทำงานและตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในโลก อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเลย เช่น
สั่งทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรก ลงเมืองฮิโรชิมา ทำให้โลก
ตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อได้เห็นฤทธานุภาพของอาวุธมหาประลัยนี้ และตามมาด้วยการถล่มเมืองนางาซากิ แหลกเป็นจุน เพราะท่านประธานาธิบดีทรูแมนเห็นว่า อย่างไรเสียญี่ปุ่นก็จะยืนหยัดต่อสู้อย่างกล้าหาญ ไม่ยอมแพ้แพ้เด็ดขาด ขืนส่งกำลังทหารอเมริกันรุกรบแตกหัก โดยยกพลขึ้นบกที่เกาะญี่ปุ่น ก็ต้องนำชีวิตคนอเมริกันไปเสี่ยงอีกจำนวนมหาศาล เพราะชาวซามูไรจะต้องปกป้องแผ่นดินแม่ แบบสุดใจขาดดิ้นเยี่ยงนักรบเลือด ‘บูชิโด’ จวบจนวาระสุดท้าย
แม้จะตายหมดทั้งประเทศ...ก็ยอม!
จึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ในการสั่งใช้อาวุธร้ายแรง ที่ต้องคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่ก็ทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามได้ในที่สุด
งานที่ยิ่งใหญ่และมีคุณูปการกับฝรั่งชาติยุโรป ที่ท่านประธานาธิบดีคนนี้ได้ทำไป อย่างที่ไม่มีใครลืมได้ที่ลงมือแก้เศรษฐกิจยุโรปที่แหลกยับหลังสงครามยาวนาน ด้วยแผนการมาร์แชล (ตามการเสนอของท่านพลเอก George C. Marshall) หรือที่เรียกชื่อเป็นทางการคือ แผนงานฟื้นฟูยุโรป (European Recovery Programme: ERP) จนยุโรปโงหัวขึ้นมาจากความเสียหายร้ายแรง ขึ้นมายืนอยู่องอาจได้ในเวทีโลก และหลังสงครามผู้นำสหรัฐที่ธรรมดาคนนี้อีกเหมือนกัน สั่งให้มีการปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือชาวเบอร์ลิน ที่ถูกรัสเซียปิดล้อมหลังสงคราม จนอดอยากกันทั้งเมือง ด้วยการลำเลียงอาหารและเวชภัณฑ์ทางอากาศครั้งมหึมากว่าแสนเที่ยว เพื่อไปเลี้ยงดูชาวเมืองที่หิวโหย ตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ถูกปิดล้อม
ที่ประทับใจผมมากอีกเรื่องหนึ่งคือ ผู้ชายธรรมดาๆอย่างประธานาธิบดีทรูแมนนี่แหละครับ ที่สั่งปลดนายพลห้าดาวอย่าง ดั๊กกลาส แมคอาเธอร์ ออกจากทุกตำแหน่งกลางศึกเกาหลี เพราะขุนพลท่านนี้ออกอาการที่จะ
ไม่ฟังคำสั่งของประธานาธิบดี ผู้บังคับชาเหนือตนโดยชอบด้วยกฎหมาย!
มิสเตอร์อภิแสบฯต้องจำเอาไว้เป็นตัวอย่างว่า ผู้นำต้อง
หาญกล้าอย่างนี้ อย่าไปทำตัวเป็น ‘ลูกกระเป๋ง’ ที่วันๆเอาแต่
กวัดๆแกว่งๆ อยู่ตรงหว่างขาของพวกทหารหนุ่ม และ...ทหารแก่!!
ยิ่งนานวัน ผู้คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์มากขึ้น ต่างตระหนักว่า ผู้ชายธรรมดาอย่างทรูแมน กลับเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่มากๆ ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครคิดว่าท่านจะก้าวมาจนถึงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยซ้ำ ตอนที่รูสเวลท์เลือกท่านไปชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ตัวทรูแมนเองยังไม่เชื่อ ถึงกับโพล่งไปกับผู้ที่ท่านรูสเวลท์ให้ไปบอกว่า
"Tell him to go to hell!"
แม้กระทั่งตอนที่ชิงชัย ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีแข่งกับดิวอี้ เมื่อยังไม่มีการประกาศผลเป็นทางการ หนังสือพิมพ์อย่างChicago Tribune ที่มั่นใจว่าอย่างไรเสีย ทรูแมนต้องแพ้แน่ๆ ถึงกับพาดหัวและออกจำหน่ายก่อน ว่า
"Dewey Defeats Truman!"
ท่านผู้อ่านเห็นในภาพแสตมป์สหรัฐ ซึ่งแสดงรูปของประธานาธิบดี แฮรี่ เอส ทรูแมน ชูหนังสือพิมพ์ที่ลงพาดหัวว่า คู่ปรับคือ นายโทมัส ดิวอี้ มีชัยชนะเหนือตัวท่าน แต่ความจริงแพ้ขาดลอย
ชัยชนะอย่างนี้แหละครับ ที่หักปากกาเซียน ไม่ว่าจะเป็นนักวิจารณ์การเมืองทั้งหนังสือพิมพ์ และวิทยุ รวมทั้งโพลระดับเกจิแบบ “กัลลลอป” เพราะฉะนั้น ไอ้โพลโลซกแห่งไม่ว่าจะเป็นไอ้ “เอแบด โพล” (A-BAD POLL) หรือ “สวนดุสัตว์ โพล” (SUAN DUSAT POLL) ที่เลียตูดรัฐบาลจนน่าหมั่นไส้ อย่าได้ทะลึ่งทำผลโพลสั่วๆมา ให้ผู้คนเขาหัวร่อเยาะ ในความตอหลดเกินเหตุของพวกมัน จนทำให้ผู้คนเสียดสีไทยแลนด์ของเรากลายเป็น “ตอแหลแลนด์” กันไปแล้ว!
มาร์กาเร็ต ทรูแมน ลูกสาวคนเดียวของท่านทรูแมนได้พูดเอาไว้น่าสนใจคือ
“พ่อของฉันช้าไปเสียแทบจะทุกเรื่อง...ท่านเป็นทหารเมื่ออายุ 33 ปี...เป็นวุฒิสมาชิกเมื่ออายุ 50 ปี...และเป็นประธานาธิบดีเมื่ออายุ 60 ปี!”
ท่านยืนยันในหลักเกณฑ์ที่ว่า เสียงประชาชนนั้นเป็นใหญ่ ใครชนะการเลือกตั้ง คนนั้นก็มีอำนาจรัฐ เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นผู้ถืออำนาจที่ได้รับจากประชาชน การปลดนายพลอย่างแมคอาเธอร์
จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย!
ความเป็นอิสระชน และเป็นผู้นำที่เชื่อมั่นในเสียงของประชาชน ท่านทรูแมนจึงมุ่งทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ให้คนในชาติของเขา มีความเป็นอิสระในการกล้าตัดสินใจ ไม่ต้องไปกราบกราน หรือไปฟ้องให้ “ป๋าแก่” ให้คอยช่วยเหลือตนทุกลมหายใจ
รวมทั้งไม่ต้องเอาหัวกบาล ไปซุกที่หว่างขานายทหารคนไหนๆ...ให้ดูทุเรศทุรังกา อีกด้วย!
มาถึงวันนี้ ผมเองคิดว่า ท่านประธานาธิบดีรูสเวลท์ ผู้เป็นอัจฉริยะ ฉลาดหลักแหลม อ่านคนอย่าง ‘ทรูแมน’ ขาด ว่าผู้ชายที่เงียบขรึม แต่หนักแน่นและซื่อสัตย์อย่างนี้แหละครับ ที่จะนำรัฐนาวาของชาติที่ยิ่งใหญ่อย่างสหรัฐ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานได้
ดูไปแล้ว...อเมริกันชนและผู้คนบ้านเมืองอื่นๆนั้น เขาช่างโชคดีนัก ที่ในประวัติศาสตร์มีผู้นำดีๆมากมาย แต่ครั้นหันมาดูเมืองไทยเรา ให้ใจหายในความขาดแคลนผู้นำประเทศดีๆ เลยต๊อกต๋อยแตกแยกอย่างที่เห็นกัน
ก็ขนาดนายกฯบ้านเราแท้ๆ บรรดานิสิตนักศึกษาที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ เขาคงเห็นความโลซก และไม่เอาไหนจริงๆ จนถึงกับตั้งฉายาให้ว่า
“อภิสบ เวทนาจังว่ะ”
อือม์..ดูๆไปมันก็ “น่าเวทนา” อย่างที่เด็กๆ เขาว่า...จริงๆว่ะ!
โดย.วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น