--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

ก็แค่ ...เกมซื้อเวลา "มาร์ค-กรณ์" รัฐบาล"แลนด์ลอร์ด" ใกล้หมดเวลา "ภาษีที่ดิน"ส่อแห้ว!!!


สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำระหว่าง คนรวย กับ คนจน สูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก จนกลายเป็นปัจจัยหนึ่งแห่งวิกฤตความขัดแย้งระหว่างเหลืองกับแดง ภาษีที่ดิน คือ เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญในการแก้ปัญหา แต่ดูเหมือน ทุกรัฐบาล ที่ผ่านมา ไม่มีใครกล้า ผลักดันกฎหมายภาษีที่ดิน อย่างจริงใจ แม้กระทั่งรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ประธานาธิบดีบารัก โอบามา สร้างประวัติศาสตร์ อีกครั้ง ด้วยการโน้มน้าวให้สภาผู้แทนราษฎร สหรัฐ ฯ อนุมัติร่างกฎหมายยกเครื่องระบบประกันสุขภาพของชาวอเมริกันครั้งใหญ่ไปเมื่อวันอาทิตย์ (21 มี.ค.) ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนฉิวเฉียดเพียง 219 ต่อ 212 เสียง


ผู้นำการเมือง แบบ โอบามา คือ ตำนานของการนักการเมือง ที่กล้าต่อสู้เพื่อหลักการ เพื่อการปฎิรูปที่ยิ่งใหญ่ เพื่อชาวอเมริกัน
แต่ นักการเมือง บ้านเรา น้อยนักที่กล้าต่อสู้ เพื่อการปฎิรูปเรื่องใหญ่ ๆ โดยเฉพาะ การปฎิรูปการจัดเก็บภาษีที่ดิน


นักเศรษฐศาสตร์การเมือง เชื่อว่า ภาษีที่ดิน จะลดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนรวยและคนจน ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
" ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคือจุดเริ่มต้นของการลดการกักตุนที่ดินเพื่อเก็งกำไร และยังทำให้องค์กรปกครองท้องถิ่นมีรายได้ 90,000 ล้าน และยังเป็นการจัดระบบการถือครองทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพ สำคัญที่สุดคือภาษีที่ดินจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย "
รัฐบาลในอดีต มักใช้วิธี เตะลูกออก เพราะไม่อยากเสี่ยง และอาจเป็น เพราะตัวเองมีส่วนได้เสีย ?


รัฐบาลอำมาตย์ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ โดย ขุนคลัง ที่ชื่อ "ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ " ก็เขี่ยลูกออกเช่นกัน
เหตุผลของ ฉลองภพ คือ ภาษีที่ดิน ควรเป็นเรื่องของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เหตุผลส่วนตัว อาจเป็นเพราะ เทคโนแครต ผู้นี้ สะสมที่ดิน 11 แปลง มูลค่ากว่า 55.2 ล้านบาท


มาถึง รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีขุนคลังชื่อ นายกรณ์ จาติกวณิช ทั้งสองให้สัมภาษณ์หลังเป็นรัฐบาลไม่นานว่า จะผลักดันภาษีที่ดิน ส่วนภาษีมรดก ยังไม่เหมาะสม
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...ก็ไม่เคยเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ แม้เพียงเข้าใกล้ ครม.


จากต้นปี 2552 มาจนใกล้หมดไตรมาสแรก ปี 2553 กระทั่งเวลาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เหลือไม่ถึง 1 ปี และคาดว่า นับจากกองทัพแดง บุกกรุงเทพ ยิ่งทำให้เชื่อว่า เวลาของรัฐบาลเหลือน้อยเต็มที จนไม่น่าจะผลักดัน ภาษีที่ดิน ผ่านสภา ได้ทันเวลา


" เวลาที่ดีที่สุดในการผลักดันภาษีที่ดิน ผ่านพ้นไปแล้ว เพราะชั่วโมงนี้ เสียงของรัฐบาล เปราะบาง พร้อมจะไปได้ตลอดเวลา" นักวิเคราะห์การเมือง กล่าวยืนยัน
ล่าสุด นายกรณ์ พูดอีกครั้งว่า วันอังคาร 30 มีนาคม จะนำภาษีที่ดิน เข้าสู่ที่ประชุมครม. อย่างแน่นอน
แต่ใคร จะเชื่อ ว่า นายอภิสิทธิ์ และนายกรณ์ จะพูดจริง เพราะหากนับจำนวน ครั้ง ที่ทั้งสอง พูดว่า จะนำภาษีที่ดิน เข้าครม. รอบนี้ก็ เกินครั้งที่ 5 ไปแล้ว ...
หากร่างกฎหมายภาษีที่ดินจะไปไม่ถึงฝั่ง ก็อาจต้องโทษนักการเมืองในสภาและกลุ่มทุนใหญ่ที่กักตุนที่ดิน


" ประชาชาติธุรกิจ " เปิดบัญชีทรัพย์สิน โดยเฉพาะพอร์ตที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของนักการเมืองครั้งล่าสุด เพื่อจะดูผลประโยชน์ได้เสียของท่านผู้ทรงเกียรติ และอาจทำให้ชาวบ้านได้เห็นจุดยืนของ ฯพณฯ ต่อร่างกฎหมายได้เป็นอย่างดี
จากการตรวจสอบแลนด์ลอร์ดตัวจริงเสียงจริง น่าจะได้แก่นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทยพัฒนา


บนเส้นทางการเมืองถึงวันนี้ "หลงจู๊" บรรหาร แห่งสุพรรณบุรี มีที่ดินสะสมทั้งในกรุงเทพฯ สุพรรณบุรี ชัยนาท และนนทบุรี รวม 201 แปลง มูลค่ารวม 1,707.4 ล้านบาท ยังไม่นับรวมบ้าน 3 หลัง มูลค่า 73 ล้านบาท
แต่ถ้านับรวมเฉพาะที่ดินนายบรรหารและคุณหญิงแจ่มใส มีที่ดินรวมกันประมาณ 1,893 ไร่ โดยเฉพาะที่ดินทำเลทองย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ รวมมูลค่า 176 ล้านบาท ถนนบรมราชชนนี ตลิ่งชัน 180 ล้านบาท และบริเวณ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 850 ล้านบาท


ขณะที่รัฐบาลโอบามาร์ค รัฐมนตรีที่มีที่ดินมากที่สุด ได้แก่นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง มี 42 แปลง 580.7 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นที่ดินใน จ.ระยอง จ.เชียงใหม่ และ จ.สระบุรี นอกจากนี้ยังมีบ้าน 3 หลัง มูลค่ารวม 63.8 ล้านบาท นับเฉพาะบ้านแขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ (ดอนเมือง) หลังเดียว มีมูลค่าถึง 50 ล้านบาท


นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวฯ และภริยา มี 16 แปลง 379.3 ล้านบาท ส่วนบ้านมี 2 หลัง มูลค่า 40 ล้านบาท นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ภริยาและบุตรไม่บรรลุนิติภาวะ มี 32 แปลง 324.9 ล้านบาท ส่วนบ้าน 3 หลัง มีมูลค่ารวมกัน 40.5 ล้านบาท


นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน และภริยา มีรวมกัน 24 แปลง 220.4 ล้านบาท


อีกคนคือนักการเมืองรุ่นเก๋าลายคราม นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน และภริยา มีที่ดินรวม 51 แปลง 104.8 ล้านบาท ส่วนสิ่งปลูกสร้างมีรวมกัน 13 หลัง มูลค่า 123.1 ล้านบาท ส่วนนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน มีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 8 หลัง มูลค่า 17 ล้านบาท


ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีที่ดินเพียง 2 แปลง 19.5 ล้านบาท


"เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ มีทรัพย์สิน 98.2 ล้านบาท นับเฉพาะที่ดินมี 50 แปลง มูลค่า 79.4 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นที่ดินใน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนสิ่งปลูกสร้างมีคอนโดมิเนียมเขตบางเขน 1 ห้อง และบ้านพักที่ ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี 2 หลัง รวมมูลค่า 5.9 ล้านบาท


ขณะที่รัฐมนตรีที่รวยที่สุดใน ครม.มาร์ค คือนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และภริยา มีที่ดินรวม 26 แปลง 147.1 ล้านบาท


แลนด์ลอร์ดตัวจริงในพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. นอกจากทรัพย์สิน 600 กว่าล้านบาทแล้ว คุณชายหมูยังมีที่ดินสะสม 40 แปลง 72-2-60 ไร่ มูลค่า 590 ล้านบาท


เอาเข้าจริงแล้ว คุณชายสุขุมพันธุ์ได้รับที่ดินมรดกจากพระบิดา 25 แปลง 13-1-60 ไร่ อยู่ในกรุงเทพฯ 12 แปลง ใน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 3 แปลง ส่วนที่ดินของคุณชาย จำนวน 15 แปลง อยู่ใน ต.บางปลากด อ.องครักษ์ จ.นครนายก 1 แปลง ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 1 แปลง ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 1 แปลง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ 9 แปลง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 3 แปลง รวมมูลค่า 480.5 ล้านบาท


นี่คือ บทพิสูจน์ แลนด์ลอร์ด กับความจริงใจ ในการผลักดันภาษีที่ดิน


อย่างที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แห่งไทยซัมมิท ฟันธงว่า " ผมคิดว่าทั้งคุณกรณ์ และคุณอภิสิทธิ์คงไม่มีความกล้าพอที่จะผลักดันภาษีที่ดิน เพราะเรื่องนี้ ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของคนชั้นตัวเองจริงๆ "


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น