--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

ยุติสงคราม บนโต๊ะเจรจา

ข้อเสนอจำนวน 5 ข้อที่แกนนำนปช.ประกาศบนเวทีชุมนุมเสื้อแดงสะพานผ่านฟ้าฯ ประกอบไปด้วย

1.ยืนยันให้ยุบสภาทันทีเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน

2.ไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดตามที่มีการกล่าวอ้าง

3.ยินดีให้มีการเจรจา โดยผู้มีอำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย ซึ่งฝ่ายรัฐบาลคือนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะมีอำนาจในการยุบสภา

4.หากมีการยุบสภาแล้ว ให้ทุกฝ่ายสลายตัวและทุกฝ่ายจะทำสัญญาประชาคมร่วมกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกพรรคการเมืองหาเสียงได้ทุกพื้นที่โดยไม่มีการกีดกัน

5.ให้การเลือกตั้งโดยสุจริตเป็นเครื่องตัดสิน ไม่ว่าผลออกมาเป็นอย่างไรให้ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับและสงบ เพราะเป็นการตัดสินใจของประชาชน

น่าจะเป็นข้อเสนอที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และรัฐบาลควรรับไปพิจารณาอย่างจริงจัง

เนื่องจากท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาเป็นเวลายาวนานเกือบ 5 ปี จนนำมาสู่การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงนับตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.เป็นต้นมา

ซึ่งทางแกนนำเสื้อแดงประกาศให้การ "ยุบสภา" คือเป้าหมายสูงสุดที่ต้องไปให้ถึงให้ได้

ไม่ว่าการชุมนุมจะดำเนินไปอย่างยืดเยื้อยาวนานเพียงใดก็ตาม

ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเองก็ชัดเจนเช่นเดียวกันว่าไม่พร้อมตอบสนองข้อเรียกร้องดังกล่าวของคนเสื้อแดง

การตรึงกำลังยื้อกันไปมาโดยไม่มีใครอ่อนข้อให้ใคร

ทำให้คนในสังคมจำนวนมากเป็นห่วงว่าอาจเกิดปัญหาความรุนแรง แทรก ซ้อนซ้ำเติมสถานการณ์บ้านเมืองให้ทรุดหนักลงไปอีก

อย่างเช่นเหตุระเบิดรายวันที่สร้างความตื่นกลัวให้กับประชาชน

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์โดยใคร หรือไม่ก็ตามแต่ทั้ง 2 ฝ่าย คือกลุ่มเสื้อแดงและรัฐบาล

ย่อมหลีกหนีความรับผิดชอบตรงนี้ไปไม่ได้



ถึงสถานการณ์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

จะยังหาอะไรมาวัดไม่ได้ว่าระหว่างกลุ่มเสื้อแดงกับรัฐบาล ใครเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบกว่ากัน

ถ้าถามรัฐบาลก็จะบอกว่าฝ่ายตนเองยังคงกุมความได้เปรียบ เพราะได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากพรรคร่วมรัฐบาล กองทัพ กลุ่มนักธุรกิจคนชั้นสูง

รวมถึงกลุ่มอำนาจที่อยู่เหนือขึ้นไป

นอกจากนี้ ฝ่ายมันสมองของรัฐบาลยังได้พยายามทำอะไรหลายอย่าง

เพื่อให้เห็นว่าการทำงานของรัฐบาลยังเดินหน้าต่อไปได้เหมือนในเวลาปกติ ไม่ว่างานในหน้าที่ฝ่ายบริหารหรืองานในสภาก็ตาม

แม้ผลที่ออกมาจะไปด้วยกันไม่ได้กับภาพที่นายกฯอภิสิทธิ์ยังต้องซุ่มหลบอยู่แต่ในค่ายทหาร คอยฆ่าเวลาด้วยการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจภัยแล้ง

การประชุมครม.ก็ยังต้องเปลี่ยนไปใช้สถานที่อื่นที่ไม่ใช่ทำเนียบรัฐบาล

และที่โดนวิพากษ์วิจารณ์เละเทะมากที่สุดคือการที่นายกฯ และส.ส.รัฐบาลต้องเข้าประชุมสภาท่าม กลางวงล้อมรั้วลวดหนาม บังเกอร์คอนกรีต และกองกำลังทหารหลายพันนาย

ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงเองก็ได้แรงฮึกเหิม

จากความสำเร็จในการเคลื่อนขบวนไปรอบกรุงเมื่อวันที่ 20 มีนาคม

เพราะเห็นได้ชัดจากการที่มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ออกมายืนโบกไม้โบกมือต้อนรับ บางส่วนก็เข้าขบวนติดตามมาร่วมชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ

เป็นแรงผลักดันนำมาสู่การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวในรูปแบบคล้ายคลึงกันอีกครั้งในสัปดาห์ต่อมา จุดมุ่งหมายเพื่อระดมมวลชนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

เพื่อกดดันให้รัฐบาลยอมจำนน

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังปักหลักคุมเชิงกันอยู่อย่างนี้

ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าแล้วประชา ชนคนส่วนใหญ่ของประเทศมีความเห็นสนับสนุนฝ่ายใดกันแน่

แต่ที่เสียงส่วนใหญ่เห็นตรงกันจากการสำรวจโพลของหลายสำนัก นั่นก็คือประชาชนเฉลี่ยร้อยละ 80

ต้องการให้รัฐบาลและคนเสื้อแดง

ยุติปัญหาด้วยการเจรจา



สําหรับการเจรจาจะเกิดขึ้นได้หรือไม่

อยู่ที่สองฝ่ายต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อน

ว่าในการเจรจากันนั้นต้องไม่มีฝ่ายใดที่ได้ทั้งหมดหรือเสียทั้งหมด

จริงอยู่ที่ข้อเรียกร้องต้องการให้นายกฯ "ยุบสภา" เป็นข้อเรียกร้องที่ใหญ่โตไม่ธรรมดา

แต่เวลานี้โอกาสยังเปิดให้มีการต่อรองกันได้

การเจรจาเพื่อหาข้อยุติเบื้องต้นในเรื่องกรอบเวลาว่าจะยุบสภาเมื่อไหร่

น่าจะเป็นกุญแจดอกแรกที่จะปลดล็อกให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้

จากนั้นค่อยไปตกลงกันในรายละเอียด อย่างเช่นว่าก่อนยุบสภาจะต้องแก้ไขกฎกติกาเลือกตั้งหรือไม่

โดยเฉพาะประเด็นการ "แบ่งเขตเลือกตั้ง" ที่พรรคร่วมรัฐบาลต่างเรียกร้องมาตลอดว่าควรแก้ไขให้ได้ก่อนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่

แทนที่จะมัวยุ่งอยู่แต่กับการเตรียมกลยุทธ์ในการต่อสู้ เช่น กลุ่มเสื้อแดงก็หมกมุ่นอยู่แต่กับการวางแผนระดมคนมาร่วมชุมนุม ฝ่ายรัฐบาลก็มุ่งอยู่แต่กับการวางมาตรการรับมือ

ทั้งสองฝ่ายควรเริ่มนับหนึ่งการเจรจากันได้แล้ว

เพราะถึงแม้ช่วงที่ผ่านมา 2 สัปดาห์ ต่างฝ่ายต่างแสดงออกถึงความยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี

แต่หากสถานการณ์ยังจ่อคอหอยกันอยู่อย่างนี้

ความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงหรือความเข้าใจผิดจนนำไปสู่การปะทะสูญเสียก็จะยังมีอยู่

อย่าว่าแต่ข้อเสนอ 5 ข้อที่กลุ่มเสื้อแดงโยนออกมา

ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ถึงขนาดยอมรับไม่ได้

โดยเฉพาะเงื่อนไขการสลายสี เปิดพื้นที่ให้ทุกพรรคการเมืองหาเสียงได้โดยไม่มีการกีดกันขัดขวาง

นอกจากจะตรงกับเงื่อนไขของนายอภิสิทธิ์ ที่เคยตั้งไว้เองก่อนหน้านี้แล้ว

ยังเป็นบรรยากาศที่ประชาชนต้องการและอยากเห็นมากที่สุดอีกด้วย


ทีมา.ข่าวสดรายวัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น