--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

พังเพราะอคติและความกลัว!

คอลัมน์ .เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน

“แม้การปฏิวัติรัฐประหารจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้”

คำพูดของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตซีไอเอไทย เจ้าของฉายา “ปิศาจคาบไปป์” ไม่ใช่จะผ่านเลยไปเฉยๆ แม้จะรู้กันดีว่า น.ต.ประสงค์มีความคิดสีเหลืองทั้งสมอง แต่เรื่องการมองปัญหาบ้านเมืองถือว่าเป็นคนที่มองปัญหาได้เฉียบคมและชัดเจนคนหนึ่ง

โดยเฉพาะการติติงรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่ง น.ต.ประสงค์เชื่อเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต แต่ไม่เชื่อในรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล จึงได้พยายามให้นายอภิสิทธิ์มีความกล้าที่จะสั่งการหรือปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีที่มีปัญหาหรือส่อว่าจะมีปัญหา ไม่ใช่พะวงแต่ผลประโยชน์ของพรรคมากจนเกินไป

น.ต.ประสงค์จึงเชื่อว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์วันนี้กำลังนับถอยหลังและใกล้ถึง “จุดเปลี่ยน” เพราะเชื่อว่าขณะนี้กระแสของความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไปมีปัญหากับระดับสูงขึ้นมาอีก

แต่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจนบ้านเมืองหายนะนั้น ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองและคนในกองทัพคงไม่ยอม

เพราะฉะนั้นเงื่อนไขของการทำปฏิวัติรัฐประหารจึงไม่ใช่อยู่ดีๆทหารจะออกมา แต่เพราะมีเงื่อนไขให้ทหารต้องออกมารักษาสถานการณ์ให้เกิดความมั่นคงและเป็นปรกติสุข

จะเป็นการขู่คนเสื้อแดง รัฐบาล หรือส่งสัญญาณเพื่อใครก็ตาม แต่ก็เหมือน “จิ้งจกทัก” ซึ่งประเทศไทยจิ้งจกเยอะจนยั้วเยี้ยอยู่แล้ว แถมยังมี “ตุ๊กแก” ตัวโตๆอีก

เรื่องการชุมนุมของคนเสื้อแดงจึงอาจทำให้เห็นปรากฏการณ์หลากหลายและมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ให้เห็นก็ได้

ความเงียบกับการทำสงครามข่าวสารนั้นต้องจับทิศทางและดูต้นตอให้ดี เพราะสถานการณ์ที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้มีการสอดแทรกและสร้างเงื่อนไขที่สามารถทำให้เกิดสถานการณ์พลิกขั้ว พลิกอำนาจได้ง่ายๆ

ไม่ใช่ “น้ำผึ้งหยดเดียว” แต่เป็น “ดินพอกหางหมู” ของรัฐบาลที่มองแต่คนอื่นจนลืมมองดูตัวเองว่าขาและหางนั้นจมอยู่ในบ่อดินบ่อโคลนจนก้าวไปออก

ข้อมูลและข่าวสารที่ได้รับรายงานจากฝ่ายความมั่นคง ถ้าไม่กรองให้ดีหรือคนกรองมีอคติก็จะนำไปซึ่งการวางแผนที่ผิดพลาดได้ง่ายๆ

เพราะการให้ได้ชัยชนะนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะกับประชาชน

อย่างที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ออกมาเตือนรัฐบาลที่ออกมาพูดแต่ความรุนแรงและการใช้มาตรการต่างๆเพื่อหยุดคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นท่าทีที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย

คือมองคนเสื้อแดงเป็น “ศัตรู” ของแผ่นดิน ทั้งที่คนเป็นล้านๆออกมาก็เพราะเห็นว่าบ้านเมืองไม่มีความยุติธรรมจึงต้องการให้นำประชาธิปไตยกลับคืนมา

ดังนั้น ความเห็น พล.อ.ชวลิตจึงยังเชื่อมั่นว่าวันนี้ทุกฝ่ายก็ยังสามารถแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรงได้ เพราะเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดคือต้องพูดจากัน นั่งคุย ปรึกษาหารือกันหน่อย

“เขาก็ลูกหลาน พี่น้อง เพื่อนฝูงเราทั้งนั้น ก็แค่นั้นเอง ทำไมไม่มีหัวใจให้กันบ้าง สิ่งนี้สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหา แต่ถ้าไปสร้างเรื่องต่างๆให้มันเกิดขึ้นก็ยุ่ง ผมพยายามอธิบายให้แล้วว่าพบปะ พูดคุย เปิดให้โล่งหน่อยนะ ให้เขาได้แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะบ้าง ทุกอย่างก็จะง่ายลง เราทำกันมาให้เห็นตั้งเยอะแยะแล้วในอดีต”

แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์และพ่อบ้านที่มาดนักเลงกลับไม่เคยที่จะคิดอย่างนี้

เรื่องง่ายๆก็เลยกลายเป็นยุ่งยาก เพราะความอคติที่ฝังแน่นพอๆกับกลัวจะสูญเสียอำนาจ

สุดท้ายมันก็มีแต่ตกต่ำเป็นสาละวันเตี้ยลงๆ...แล้วยังทำให้บ้านเมืองพังพินาศไปด้วย

**********************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น