--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

‘มาร์ค’ ไม่แมน แขวะกระทั่ง ‘โอ๊ค-เอม’


เกมการเมืองสไตล์ที่พยายามแขวะว่าในการชุมนุมทุกครั้งญาติๆ และลูก ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยอยู่ร่วมด้วย และในการลงชื่อถวายฎีกา ญาติๆ ก็ไม่เคยร่วมลงชื่อด้วยทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า ลึกๆ ในทางการเมือง ประชาธิปัตย์ ต้องการอย่างมากที่จะให้ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ร่วมในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และร่วมลงชื่อในการถวายฎีกาจะได้กล่าวหาได้เต็มปากเต็มคำว่า เห็นมั้ยการชุมนุมของคนเสื้อแดงทำเพื่อคนๆ เดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะลูกและเครือญาติก็อยู่ในขบวนการด้วยคนเช่นไร ก็ย่อมชอบที่จะคบคนลักษณะเช่นนั้น!!!

เป็นสิ่งที่สังคมไทยรุ่นปู่ย่าตาทวด สอนลูกหลานให้หัดสังเกตพฤติกรรมของคนมาโดยตลอดดังนั้นการที่บรรดาคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เต็มไปด้วยคนประเภทนายกองร้องด่าท้าทาย คนประเภทตีหัวหมาด่าแม่คนอื่น รวมทั้งประเภทปากไม่สร้างสรรค์ซึ่งสังคมมีการตั้งคำถามมาตลอด แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่เคยที่จะห้ามปราม แถมบางคนยังมีตำแหน่งที่ใกล้ชิดติดตัวนายอภิสิทธิ์ด้วยซ้ำ

จึงไม่สามารถที่จะปฏิเสธเป็นอย่างอื่นได้ว่านายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่มีสไตล์ ชื่นชอบการใช้ปากแบบไม่สร้างสรรค์สังคม???เพียงแต่ว่านายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่มีต้นทุนสูง มีชาติตระกูลเป็นที่รู้จักในสังคม มีการศึกษาดี จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก แถมมีหน้าตาดี รวมทั้งมีอาจารย์ใหญ่ทางการเมืองที่ดี คือนายชวน หลีกภัยซึ่งนายชวนนั้น เป็นคนที่มีวาจาเชือดเฉือนก็จริง แต่สุขุมนุ่มลึก และรู้จังหวะจะโคนในการพูด ที่สำคัญไม่พร่ำเพรื่อ

จึงทำให้ได้รับการยกย่องฉายาให้เป็น “มีดโกนอาบน้ำผึ้ง”ไม่รู้ว่านายอภิสิทธิ์ต้องการที่จะเลียนแบบสไตล์เชือดเฉือนของอาจารย์ใหญ่ชวน แต่บังเอิญพื้นนิสัยเดิมไปไม่ถึง แทนที่จะเป็นการเชือดเฉือน เลยเป็นได้แค่การเหน็บแนมเสียดสีเยาะเย้ยคนอื่นเป็นวิสัยของลูกผู้ชายไทยแท้หรือไม่? เป็นบุคลิกแมนหรือไม่?... น่าคิดแต่ที่แน่ๆ แทนที่จะเป็นภาพบวกก็เลยกลายเป็นภาพลบยิ่งปล่อยให้บรรดาคนรอบข้าง คนใกล้ชิดตัวนายอภิสิทธิ์ ปากคอเราะร้ายคนอื่นไปเรื่อยๆ

ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์ ยิ่งติดลบไปเรื่อยๆแถมยังพลอยทำให้บรรดาคนอยากดังในพรรคประชาธิปัตย์ รุ่นใหม่ ยิ่งพลอยเลียนแบบตัวอย่างทำตามพฤติกรรมนี้ไปด้วย เพราะหวังให้เข้าตานายอภิสิทธิ์ จะได้เป็นทางลัดทางการเมืองภายในพรรคได้บ้างแล้วผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร บ้านเมืองปั่นป่วนและเต็มไปด้วยความวิตกกังวลหนักหน่วงมากที่สุด เพราะการใช้ปากของรัฐบาล ทำให้วันนี้สถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่

กลายเป็นถูกประโคมจากปากคนของรัฐบาล จากสื่อโทรทัศน์ที่รัฐบาลควบคุม จนกลายเป็นภาวะตึงเครียดเลวร้ายไปหมดแล้ว ... ทำให้สังคมไทยวิตกจริตว่าจะเป็นช่วงอันตรายอย่างที่รัฐบาลประโคมข่าวจริงๆคำถามจากความตื่นตระหนกว่อนไปทั่วสังคม ก็เพราะฝีปากของรัฐบาล ที่ต้องการเพียงแค่ให้สังคมคิดว่า กลุ่มคนเสื้อแดงเป็นผู้นิยมความรุนแรง เป็นตัวอันตรายแต่วันนี้สังคมเมื่อเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นว่า กลไกของรัฐเว่อร์จนเกินเหตุ

โดยเฉพาะกลไกที่ผ่านการกำกับจัดฉากที่โยงใยกับนายเนวิน ชิดชอบ บุคคลที่ถูกตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี แต่กลับสามารถทำงานการเมืองได้ทุกรูปแบบ โดยรัฐบาลหรือองค์กรต่างๆ ไม่ทำอะไรเลยบุญคุณของการอุ้มนายอภิสิทธิ์ให้ได้เป็นนายกฯ และการกอดกันอย่างชื่นมื่นที่ปรากฏไปทั่วประเทศทั่วโลก มันดีอย่างนี้นี่เองอย่างไรก็ตามคำถามได้สะท้อนกลับใส่รัฐบาลอย่างรุนแรงเช่นกัน จนกระทั่งนายอภิสิทธิ์ ต้องออกมาปฏิเสธว่ารัฐบาลไม่ได้สร้างสถานการณ์ใส่ร้ายกลุ่มผู้ชุมนุมแต่

ขณะเดียวกัน ก็ยัง ใช้เรื่องการเดินทางไปต่างประเทศของนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร บุตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาจีบปากจีบคอพูดโยงกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่าเป็นเหมือนการเตรียมหนีไปเสวยสุขต่างประเทศแล้วสะท้อนชัดถึงความไม่เป็นผู้ใหญ่ ระรานแม้แต่กระทั่งเด็ก ทำให้เห็นได้ชัดว่าไม่มีความเป็นผู้นำที่สง่างาม ไม่ได้มีความเป็นลูกผู้ชายเลยแบบนี้แหละที่ทำให้มีการขานรับกันเป็นลูกระนาดใน ปชป. โดยนายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรค

ก็ออกมาให้ข่าวเน้นเรื่องลูกๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมไปประเทศเยอรมนีเกมการเมืองสไตล์ที่พยายามแขวะว่าในการชุมนุมทุกครั้งญาติๆ และลูก ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยอยู่ร่วมด้วย และในการลงชื่อถวายฎีกา ญาติๆ ก็ไม่เคยร่วมลงชื่อด้วยทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า ลึกๆ ในทางการเมือง ประชาชิปัตย์ ต้องการอย่างมากที่จะให้ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ร่วมในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และร่วมลงชื่อในการถวายฎีกาจะได้กล่าวหาได้เต็มปากเต็มคำว่า

เห็นมั้ยการชุมนุมของคนเสื้อแดงทำเพื่อคนๆ เดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะลูกและเครือญาติก็อยู่ในขบวนการด้วยครั้นพอเขารู้ทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อเกมสกปรกทางการเมือง ก็หันมาเล่นในแง่ที่ว่าทอดทิ้งหรือหลอกใช้คนเสื้อแดงเรียกว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง... พฤติกรรมหมาป่าในนิทานอีสปจริงๆ ยังไงก็กล่าวหาว่าทำน้ำให้ขุ่นได้อยู่ดี ไม่ว่าจะทำจริงหรือไม่จริงแต่สิ่งที่สำคัญก็คือ นายอภิสิทธิ์เองก็มีลูก นายอภิสิทธิ์เองก็เป็นพ่อคน

ต้องถามว่านี่คือสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ เป็นพฤติกรรมลูกผู้ชายหรือไม่ เป็นพฤติกรรมของนักการเมืองที่ดีที่พึงกระทำหรือไม่ กับการลากเรื่องลูกเข้ามาเป็นเหยื่อเกมการเมืองเช่นนี้รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ซึ่งต้องถือว่าอยู่ในยุคของคนใจนักเลง เป็นอดีตกำนันคนดังแห่งเมืองสุราษฎร์ ซึ่งภาพลักษณ์เป็นลูกผู้ชายเต็มตัวก็ยังกลับขานรับคำพูดของนายอภิสิทธิ์ว่าการที่ครอบครัวภรรยาและลูกเดินทางออกนอกประเทศในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ

ยิ่งทำให้พวกตนต้องระมัดระวังมากขึ้น มันเป็นสัญญาณที่ทำให้รัฐบาลต้องระมัดระวังการพูดทั้งของนายอภิสิทธิ์ และคนรอบข้างที่สอดรับกันอย่งากลมกลืนต่อเนื่องเช่นนี้ จะให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากว่านี่คือเกมการเมืองแต่สิ่งที่ทำให้สังคมต้องหันมาฉุกใจคิดอย่างหนักก็คือ เป็นเกมการเมืองที่เหมาะสมและมีจริยธรรมเพียงใดการทำลายล้างกันทางการเมือง แล้วไปลากเอาลูกเอาคนในครอบครัวของเขามาทำลายด้วย วัฒนธรรมการเมืองเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ???

คงต้องถามบรรดาผู้อาวุโสของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างนายชวน หรืออย่างนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ว่า พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ ควรใช้วิธีการในลักษณะนี้หรือไม่และสุดท้ายคงเห็นแล้วว่า การใช้กระบอกเสียงและปาก เพื่อทำลายการชุมนุมได้ส่งผลร้ายต่อบรรยากาศของประเทศเพียงใดรวมทั้งบรรดาคนปากกล้าทั้งหลาย เอาเข้าจริงๆ ก็เพิ่มการอารักขากันอุตลุด อย่างบริเวณบ้านพักนายอภิสิทธิ์ ที่ ซ.สุขุมวิท 31 ก็มีการอารักขาอย่างเข้มงวด เอารถดับเพลิงมาจอดตลอด 24 ชั่วโมง

แถมเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร รอบบ้านพักถึงขนาดเจ้าหน้าที่ มีการกันประชาชนที่ผ่านไปมาบริเวณหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์ โดยขอให้ไปเดินฝั่งตรงข้ามแทน ห้ามเดินใกล้รั้วบ้าน และหากเจ้าหน้าที่เห็นว่าบุคคลใดมีท่าทีต้องสงสัย ก็จะตรวจค้นในขณะที่ นายสุเทพ ได้ เตรียมเซฟเฮาส์ให้คณะรัฐมนตรีแล้ว หากมีการร้องขอทั้งหมดก็ล้วนเกิดจากปากเป็นพิษทั้งสิ้นนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น