
นอกจาก 3 เกลอหัวแข็ง วีระ มุสิกพงษ์ จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่คุมเวทีส่วนกลาง แต่ยังมีแกนนำเสื้อแดงที่นำกำลังคนจากต่างจังหวัด 4 ภาคมาสมทบด้วย เราไปลองฟังทัศนะ และจุดยืนของพวกเขา
ไสว ณ พัทลุง “ผมสู้เพราะรับไม่ได้กับ 2 มาตรฐาน”
สัมภาษณ์โดย : สมชาย สามารถ
ไสว ณ พัทลุง แกนนำ นปช.สงขลา เคยมีบทบาทในฐานะอดีตนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา อดีตนายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา และญาติร่วมสายสกุลกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ วันนี้เขานำมวลชนในสงขลา เข้ากรุงเทพฯ
ทำไม ถึงมาเป็นแกนนำคนเสื้อแดงสงขลา
- เขาเห็นว่าผมเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เคยเป็นอดีตนายกสมาคมท่องเที่ยวฯ นายกสมาคมโรงแรมฯมาก่อน เป็นอดีตสรรพสามิตจังหวัดสงขลามาก่อน จึงคิดว่าผมน่าจะทำหน้าที่เป็นหลักและทุกคนยอมรับ
กล้าประกาศตัวเป็นเสื้อแดง
-ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า กับพรรคการเมืองทุกพรรค แม้กระทั่งประชาธิปัตย์ก็ดีกัน แต่เรื่องนี้มันเป็นที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องความไม่ยุติธรรม สองมาตรฐาน ยกตัวอย่างเรื่องการปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนขณะนี้รัฐบาลไม่ได้มีการดำเนินการอะไรกับกลุ่มคนกลุ่มนี้ ขณะที่คนเสื้อแดงทำอะไรรัฐบาลก็ดำเนินการทันที มันเห็นถึงความแตกต่างกับการปฏิบัติต่อคนเสื้อแดง ผมรับไม่ได้กับความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เป็นญาติร่วมสายสกุลเดียวกัน จึงได้สถานที่ของผมเป็นศูนย์ประสานงานของกลุ่มที่รักประชาธิปไตย
ไม่กลัวจะมีผลกระทบตามมา โดยเฉพาะกับธุรกิจ
- ผมไม่สนใจ เพราะทันที่ผมประกาศตัว ก็มีเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ติดตามความเคลื่อนไหวตลอด มีการขึ้นบัญชีดำร่วมกับพี่น้องที่เป็นแกนนำในพื้นที่รวม 17 คน ฉะนั้นผมจึงไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร เพราะนี่คือแนวทางการเรียกร้องประชาธิปัตย์ไตยของประชาชน มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
ยืนยันว่าไปร่วมชุมนุม ไม่มีการว่าจ้างหรือเกณฑ์กันไป
-ยืนยันได้ว่าไม่มีการว่าจ้างแน่นอน เพราะไม่เช่นนั้นผมคงไม่ต้องประชุมสมาชิกและรับบริจาคเงินจากผู้ที่มีแนวคิดตรงกันได้เกือบ 100,000 บาท ซึ่งก็ยังไม่พอกับค่าใช้จ่ายเดินทางสำหรับพี่น้องที่ต้องการเดินทางไปร่วมชุมนุมครั้งนี้ ผมก็ต้องควักเงินส่วนตัวช่วยอีก ผมอยากยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ กรณีพี่น้องชาวไทยมุสลิมในพื้นที่เขายอมควักเงิน 500 บาทสนับสนุน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเองก็ไม่คิดว่าเขาจะตั้งใจมากขนาดนี้
ดูแลกันอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องอาวุธ
-ได้ประกาศย้ำตลอดก่อนการเดินทางว่า อะไรที่เจ้าหน้าที่เขาสามารถจะตีความได้ว่าเป็นอาวุธ อย่าได้นำติดตัวไปขอให้นำตัวและหัวใจไม่เท่านั้น และสำคัญเราไปครั้งนี้ไม่ได้ไปรบราฆ่าฟันกับใคร จึงไม่ต้องนำอะไรที่เป็นอาวุธติดตัวไปโดยเด็ดขาด
การชุมนุมจะชุมนุมยืดเยื้อหรือไม่
-คงตอบไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของความตั้งใจของประชาชน เขาเห็นว่าไม่มีความยุติธรรม แต่ส่วนตัวเชื่อว่าทุกคนพร้อมหากการชุมนุมยืดเยื้อ เราพร้อมที่ยืนอยู่เคียงกัน จนกว่าจะได้รับสิ่งที่ต้องการ ผมอยากบอกกับรัฐบาลว่า คำว่าประชาธิปไตย คือ การที่ประชาชนจำนวนมากรวมตัวกันออกเรียกร้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยสันติ และเป็นเรื่องที่ไม่ต้องมีใครไปบังคับ
ขวัญชัย ไพรพนา “ขอรบครั้งสุดท้าย ไม่ชนะไม่กลับ”
สัมภาษณ์โดย : สุมาลี สุวรรณกร
ชื่อจริงเขาคือ ขวัญชัย สาราคำ คนเกิดภาคกลางมาเป็นหัวขบวนคนเสื้อแดง “ชมรมคนรักษ์อุดร" ซึ่งเขาประเมินแดงอุดรธานีครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน ใช้รถกว่า 900 คัน การเคลื่อนไหวเฉพาะที่อุดรธานี แบ่งการนำออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกเขาดูแล ส่วนที่สอง นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.เพื่อไทย ดูแล การต่อสู้ครั้งนี้ได้รับเงินบริจาครวมแล้ว 1.1 ล้านบาท
"ตลอดสองข้างทางที่เราเคลื่อนขบวนมา มีประชาชนใส่เสื้อแดงมายืนรออยู่ข้างทางเพื่อให้กำลังใจเป็นจุดๆ หลายคนมาร่วมชุมนุมไม่ได้ก็โบกรถเพื่อให้ขบวนของเรารับเอาสิ่งของที่พวกเขาต้องการช่วยสมทบ บางคนติดลูกสอบ ลูกเรียน รอสอบเสร็จก็จะเดินทางไปร่วมทันที ข้าวของที่เราเตรียมมาทั้งหมดต้องการใช้ให้ได้ 7 วัน และ 7 วันนี้เราต้องชนะ"
ขวัญชัย กล่าวถึงชัยชนะของเขานั้น คือรัฐบาลชุดนี้จะต้องยุบสภา หากไม่ยุบสภา คนเสื้อแดงจะไม่เลิก และจะไม่กลับ เพราะการรบครั้งนี้จะเป็นการรบครั้งสุดท้ายแล้ว จะต้องเอาชัยชนะกลับมาให้ได้ รัฐบาลต้องคืนอำนาจให้ประชาชน แล้วกลับมาเลือกตั้งกันใหม่ เริ่มต้นกันใหม่
"การไปกรุงเทพฯครั้งนี้จะใช้ยุทธวิธีควบคุมดูแลคนของเราเอง ไม่อยากจะไปปล่อยเข้ากับกลุ่มอื่น เพราะเรามีการ์ด มีกลุ่มนักรบดำ ซึ่งเป็นอดีตทหารพรานจากค่ายปักธงชัย 200 นาย ที่มาร่วมกับเราและคอยดูแลเรื่องความปลอดภัยให้ และกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่ พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล เสธ.แดง ร่วมฝึกและดูแลอยู่" ขวัญชัย เปิดเผย
เขาบอกอีกว่า รัฐบาลประเมินค่าคนเสื้อแดงต่ำไป รัฐบาลมัวไปมองว่า คนเสื้อแดงถูกจ้างมาหัวละ 30-50 บาท นั่นเป็นการมองต่ำไป เพราะมองแต่ว่าจะมีท่อน้ำเลี้ยง แต่ขอบอกว่าไม่มีท่อน้ำเลี้ยง ทุกคนมาด้วยใจ มาเพราะอยากทวงคืนประชาธิปไตย
"วันจันทร์นี้ถ้าไม่มีคำตอบ จะลุยแน่ เรามีเป้าหมายของเราแล้ว แต่ไม่บอกว่าอยู่ที่ไหน ประเทศชาติอยู่ไม่ได้ ถ้าคุณยังดื้ออยู่แบบนี้ ทุกคนเสียสละกันทั้งนั้น รัฐบาลกลับไม่เสียสละเลย"
เมื่อถามถึงแรงต่อต้านของคนเมือง เขากลับตอบว่าไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด อีกทั้งยังว่า ประชาธิปัตย์ยุให้คนกรุงเทพฯ ต่อต้าน แต่อีกด้านหนึ่งกลับสมานฉันท์ ทำให้คนเสื้อแดงแค้นมากขึ้น คนเสื้อแดงทุกคนเกินขีดความกลัวมาแล้ว รัฐบาลประโคมข่าวมากไป ทำให้คนเสื้อแดงออกมาเยอะและไม่กลัวพร้อมสู้ถึงที่สุด
พายัพ ปั้นเกตุ “ครั้งนี้ เสื้อแดงจะทำให้รัฐบาลได้บทเรียน”
สัมภาษณ์โดย : จีรแมน ขำฉา
พายัพ ปั้นเกตุ อดีตส.ส.สิงห์บุรี พรรคไทยรักไทย แกนนำหลักของกลุ่มเสื้อแดงสิงห์บุรี แสดงความมั่นใจว่าการแสดงพลังของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนี้ จะเป็นบทสรุปชัดจนที่สุดในการขับไล่รัฐบาล เพราะนี่คือการแสดงพลังที่เป็นไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
เขายอมรับว่า ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงไม่เป็นเอกภาพเท่าครั้งนี้ แต่จากการประเมินความพร้อมในขณะนี้ จะเห็นว่าทุกภาคของประเทศ มวลชนของเสื้อแดงมีความพร้อม ที่สำคัญการเคลื่อนครั้งนี้มีการวางแผนรัดกุม
"เรากำลังจะให้บทเรียนกับรัฐบาล นี่คือพลังของคนเสื้อแดง เมื่อรัฐบาลชุดนี้มาด้วยวิถีทางที่ไม่ถูกต้อง ก็จะมาสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มหนึ่งที่มีเป้าหมายตรงกันไม่ได้ ที่ผ่านมาเราอดทนกับการต่อสู้ แต่ครั้งนี้คือการทำศึกครั้งสุดท้ายอย่างแท้จริงแล้ว" แกนนำภาคกลาง กล่าว
เพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล “ยุทธศาสตร์ที่วางไว้ จะชนะอย่างแน่อน”
สัมภาษณ์โดย : จันจิรา จารุศุภวัฒน์
เขาคือแกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินเกมเคลื่อนไหวทางการเมืองในเชียงใหม่ บ้านเกิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการยอมรับเป็นกลุ่มที่เข้มแข็ง ผลงานโดยการนำของ เพชรวรรต สร้างชื่อเสียงให้เขาหลายครั้ง เช่น นำคนเสื้อแดงขับไล่รัฐมนตรีที่ลงพื้นที่เชียงใหม่หลายครั้ง
ถือว่าได้รับความไว้วางใจจาก “นายใหญ่” ดูแลหลายพื้นที่ของภาคเหนือ และนำทัพไปสมทบกับที่กรุงเทพฯ วันที่ 14 มีนาคม
นายเพชรวรรต ไม่ยอมเปิดเผยยุทธวิธีของกลุ่มเสื้อแดงภาคเหนือ แต่มั่นใจว่ายุทธศาสตร์ที่วางไว้จะนำชัยชนะมาให้กับกลุ่มเสื้อแดงอย่างแน่นอน เขายังคุยโวด้วยว่า จากการระดมพลครั้งนี้จากเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน พะเยา ได้มากกว่า 100,000 คน
ส่วนการดูแลและคุมมวลชนไม่ใช่ปัญหา และขอยืนยันว่าการเดินทางไปชุมนุมของคนเสื้อแดงในภาคเหนือจะเป็นไปอย่างสันติวิธี ปราศจากอาวุธ หากจะมีคงมีแต่อาวุธชีวภาพ หรือ อุจจาระเท่านั้น และทุกขั้นตอนวางมาตรการไว้อย่างรัดกุม
"ผมตอบไม่ได้ว่าจะปักหลักชุมนุมอยู่ในกรุงเทพฯ นานแค่ไหน แต่ตั้งใจไว้ถ้าไม่ชนะจะไม่พามวลชนกลับ เราต้องการเรียกร้องและทวงคืนประชาธิปไตย เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยวิธีการอย่างสันติ"
เขาออกตัวเมื่อถามถึงการสั่งการจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ" ว่าไม่มีโทรศัพท์มาสั่งอะไรเป็นพิเศษ เพราะการกำหนดยุทธศาสตร์เขาเป็นกำหนดเอง
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
********************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น