--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความน่าเชื่อถือติดลบ

รายการงามหน้าที่ยังคาราคาซัง สำหรับ โครงการมาบตาพุด ยังไม่มีท่าทีว่าจะหาข้อยุติได้ลงตัว โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างจำนวน 29 โครงการ ยังไม่มีทางออกของปัญหา ความหวังที่จะรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาลชุดนี้ดูริบหรี่เต็มที

ว่ากันว่ากลุ่มนักธุรกิจที่ไปท้วงถาม นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยังเกิดอาการหัวเสียเพราะคำตอบที่ได้รับจากนายกฯชนิด ไปไหนมาสามวาสองศอก ไม่ใช่เป็นคำตอบสำหรับการแก้ปัญหานี้ แต่เป็นการแก้ตัวของรัฐบาลมากกว่า

กลุ่มนักลงทุนจากญี่ปุ่น สหรัฐฯ เยอรมัน ฝรั่งเศส เตรียมพิจารณาหาทางออกสำหรับตัวเอง ไม่พ้นต้องถอนการลงทุน เพราะไม่มีความมั่นใจต่อนโยบายการลงทุนของรัฐบาลอีกต่อไป

ในระยะยาวสมมติลงทุนไปเป็นจำนวนมหาศาลเกิดปัญหาขึ้นมาก็เจ๊งพอดี ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของบ้านเราป่นปี้ไปแล้วมาจากโครงการมาบตาพุดและการปัดสวะของรัฐบาลนี่แหละ

แล้วความเชื่อมั่นทางการเมืองก็แทบจะไม่เหลืออะไร สำนักข่าวเอเอฟพี เสนอรายงานสถานการณ์การเมืองไทยในช่วงใกล้วันที่จะมีคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ในทำนองนักวิเคราะห์ ต่างชาติมีความวิตกกังวลว่า ฝ่ายทหารอาจทำปฏิวัติรัฐประหารอีก

วิเคราะห์กันไปถึงการ ยิงเอ็ม 79 เข้าไปในกองบัญชาการกองทัพบก พูดถึงบทบาทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และความเคลื่อนไหวในกองทัพ

เสร็จแล้วก็สรุปกันว่า ชีวิตการเมืองในประเทศไทยยังอยู่ในภาวะไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่

นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยในประเทศเยอรมนีมองว่า การเกิดข่าวลือปฏิวัติ ในไทยสะท้อนให้เห็นความยากลำบากของการเมืองไทยหลังจากโค่นอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

หรือนักวิเคราะห์คนอื่นๆระบุว่า สถานการณ์การเมืองไทยขณะนี้เป็นภาพของ สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดการระเบิด โดยมีความตึงเครียดทุกทิศทุกทาง

และยังมองว่า อันตรายที่จะเกิดกับนายกฯอภิสิทธิ์ในปัจจุบัน เรื่องจะถูกทำร้ายโจมตีด้วยความรุนแรง จึงพอประเมินได้ว่า ในสายตาชาวโลกประเทศไทยยังตกอยู่ในจุดอันตรายใกล้กลียุค

ดังนั้น วิกฤติการเมืองร้อนๆจึงเป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจของบ้านเรา ทรุดฮวบลงไปอีก จีดีพีที่คุยว่าจะโตถึงร้อยละ 3.5 หรือร้อยละ 4 ก็คงเป็นความฝันลมๆแล้งๆ

อ่านรายงานเศรษฐกิจธนาคารโลก ปรากฏว่า เศรษฐกิจประเทศลาว ปี 2552-2553 คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวถึงร้อยละ 6.4 รองมาจากประเทศจีน

ลาวจะเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดด้วยทรัพยากรธรรมชาติและรายได้จากการท่องเที่ยว ลาวมีเหมืองทองขนาดใหญ่ เหลียวหลังมองเศรษฐกิจการเมืองไทยแล้วมืดมนและว้าเหว่.

ที่มา:ไทยรัฐ
โดย.หมัดเหล็ก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น