เพื่อความต่อเนื่องของอรรถรสในการฟัง “เล่าสู่กันฟัง” (ทอล์ค อะราวนด์ เดอะ เวิลด์) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงได้จัดรายการทุกวันตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 20.30-21.00 น. เว้นวันเสาร์-อาทิตย์ สำหรับวันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 เป็นการเล่าถึงการเข้ามาของโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยและการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯของบริษัทชินฯ การซื้อขายหุ้นและการเพิ่มทุน นำมาสู่ความร่ำรวยจากความบริสุทธิ์โปร่งใส ไม่ได้โกงกินอย่างที่ถูกกล่าวหา ดังรายละเอียดดังนี้
พูดทุกวันจันทร์-ศุกร์
สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เรื่องราวที่ได้พูดตอนช่วงที่ผมลำบากอาจจะตรงกับเหตุการณ์ในช่วงนี้ที่หลายคนกำลังลำบาก หลายคนบอกว่าอยากจะฟังบ่อยขึ้นเพื่อเรื่องจะได้ปะติดปะต่อ เพราะทิ้งไปทีอาทิตย์หนึ่ง ผมเลยขอพูดวันจันทร์-ศุกร์ แต่ว่าเป็นวันละครึ่งชั่วโมง เพื่อเล่าให้พี่น้องฟังเกี่ยวกับชีวิตการต่อสู้ของผม เผื่อจะเป็นเกร็ดประโยชน์ให้กับท่านว่าผมตั้งตัวมายังไงถึงเป็นได้ขนาดนี้ หลายคนกำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้ชีวิต เผื่ออะไรจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง ต่อไปนี้เราจะพบกันทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 20.30-21.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ไม่มีนะครับ
วันนี้มีเสื้อแดงเยอรมันแวะมาเยี่ยมที่บ้าน 3 คน เป็นคนไทยที่แต่งงานกับคนเยอรมัน ส่วนใหญ่มีครอบครัวดีๆ มีฐานะดี บางคนเป็นเจ้าของโรงงาน มาถามผมว่าเขาซื้อขาหมูเยอรมันกับไส้กรอกเยอรมันมาฝาก ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อที่โน่น อร่อยที่สุดที่เคยกินมา ต้องขอบคุณเรด เยอรมนี ที่ส่งตัวแทนมาเยี่ยมผม อีกคนเป็นคนสันกำแพง คนแม่กระปอง แนะนำให้ไปเที่ยวโฮมสเตย์ เขาถามผมว่าท่านไม่เครียดหรือค่ะ ผมก็บอกว่าถ้าผมมองแคบๆ มองแต่ปัญหาส่วนตัวก็น่าจะเครียดเพราะโดนขนาดนี้ แต่ถ้าผมมองว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องคนไทยเป็นล้านๆคน และออกมาต่อสู้ เสียสละเงินทอง และบางครั้งต้องเสี่ยงชีวิตมาช่วยผมขนาดนี้ ผมควรจะมีความสุข ไม่ควรจะเครียด
ผมดีใจว่าแต่ละที่พี่น้องออกมาช่วยกัน แกนนำผมบางคนขายที่ดิน ขายแรงเพื่อมาต่อสู้ เพราะผมเองก็ไม่สามารถดูแลใครได้ ก็สู้มาเต็มที่ขนาดนี้ อย่างคนที่อยู่เยอรมนีมีฐานะดีหน่อย เชื่อมั้ยครับว่าเขาไปต่างประเทศ ไปด้วยการกู้เงินกองทุนหมู่บ้าน แล้วก็ไปทำงานอยู่พักหนึ่งจนได้พบเนื้อคู่ ได้แต่งงาน และดูดี เป็นวิศวกรโรงงาน มาช่วยเสื้อแดงเพราะว่าเงินกองทุนหมู่บ้านที่ช่วยเขาให้ได้ไปทำงานต่างประเทศ เพราะตอนนั้นเขาบ้านแตกสาแหรกขาดเนื่องจากความลำบากในชีวิตครอบครัว เลยคิดว่าไปเสี่ยงดวงต่างประเทศก็ได้รับความสำเร็จ ก็เลยมาเป็นกำลังสำคัญ ทุกครั้งที่ชุมนุมใหญ่ก็จะมีเขามาช่วยค่าน้ำค่าอาหาร ต้องขอขอบคุณคนไทยอีกเยอะที่ผมไม่ได้เอ่ยนาม ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กันและกัน
ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก
ช่วงนี้ได้รับรายงานเรื่อยๆว่ามีการเสริมกำลังทหารตรงนั้นตรงนี้ ผมนั่งฟังแล้วมีความรู้สึกว่า เออ...ทำไมเรื่องง่ายๆต้องทำให้ยาก ทำไมทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากไปได้ ที่จริงไม่เห็นมีอะไรเลย ก็คืนความเป็นธรรมให้กับสังคม คืนประชาธิปไตยที่แท้จริงให้กับสังคม แค่นั้นทุกอย่างก็สงบ บ้านเมืองก็เดินต่อไปได้ ประชาชนก็ไปทำมาหากิน ทหารก็ไม่ต้องมานั่งอารักขา วุ่นวายกันทั่วไปหมด นายกฯจะไปไหนก็ไปได้ ไม่ต้องใช้ทหารมาคุ้มครอง ทำไมเรื่องแค่นี้กลับมองเป็นเรื่องใหญ่ โอ้โห...เดี๋ยวตั้งด่าน เดี๋ยวออกเป็น พ.ร.ก. เป็นเรื่องที่สามารถยุติได้ง่ายๆ 2 มาตรฐานทำทำไม? ประชาชนเข้าชื่อ 3 ล้านกว่าคนขอพระราชทานอภัยโทษให้ผม กระทรวงยุติธรรมดันไปกักเรื่องไว้ ส่วนสนธิ (ลิ้มทองกุล) ก็บอกว่าต้องติดคุกก่อน แต่พอสนธิเรื่องยังอยู่ที่อัยการ ทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษส่งเข้าไปในวังเรียบร้อย นี่คือสิ่งที่ยิ่งทำยิ่งผูกปมมากขึ้น เขาชี้ปมอะไรให้แก้ก็กลับไปเพิ่มปมอีก ผมก็ไม่เข้าใจ
วันนี้ผมไม่เข้าใจวิธีคิดของพวกท่านทั้งหลาย ไม่รู้สิ...อาจจะเป็นเพราะว่าอำมาตย์เลือกรัฐบาลผิดมั้งถึงวุ่นวายขนาดนี้ แทนที่คิดว่าจะสร้างความปรองดองอย่างไรกลับยิ่งขันให้แน่น คนที่มองไม่เห็นความเป็นธรรม 2 มาตรฐานใครจะรับได้ครับ จุดง่ายๆนิดเดียว ให้ระบบทำงานเองอย่าไปแทรกแซงระบบ แค่นี้ทุกอย่างก็เดินได้ แต่กลับไปแทรกแซงระบบ และทุกอย่างที่เสื้อแดงปฏิบัติเป็นผลพวงจากการปฏิวัติทั้งสิ้น ทำไมเรื่องของประชาธิปไตยต้องเอาเผด็จการเข้ามาจัดการ นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ไข และแก้ได้ง่ายแต่ไม่แก้ มันมีอะไรมากขึ้นเรื่อยๆก็เป็นฝีมือของท่านเองนะ
จะสู้เพื่อความเป็นธรรม
มาพูดเรื่องเบาๆของเราดีกว่า มีคนถามว่ารัฐบาลพลัดถิ่นท่านตั้งแล้วจะทำยังไง ผมก็อธิบายให้ฟังเรื่องที่ผมพูดเรื่องศาลโลกเป็นยังไง ผมก็บอกว่าวันนี้นักกฎหมายต่างประเทศเข้ามาพบผมหลายคน มาเตรียมการไว้ ทุกคนบอกว่ามีเคสเกิดขึ้นแล้วกับประเทศเพื่อนบ้านเราเอง เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมครับ อย่างที่ผมเรียนไว้ว่า เมื่อไรความเป็นธรรมไม่ได้รับก็ต้องแสวงหาให้ถึงที่สุด ไม่ว่าอยู่ในนรกหรือสวรรค์ เพราะตราบใดที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่มีใครยอมหรอก อันนี้เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และผมจบปริญญาเอกเรื่องการบริหารงานยุติธรรมเสียด้วย ฉะนั้นความไม่เป็นธรรมผมไม่ยอม มันเป็นเรื่องของอุดมการณ์
มาเล่าเรื่องเบาๆกันดีกว่า คราวที่แล้วผมบอกว่าจะเล่าว่าจากคนที่มีหนี้สินแล้วเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ยังไง ขั้นตอนยังไง ขั้นตอนตรงนี้สำคัญเลยอยากให้พี่น้องที่สนใจ ที่มีหุ้นอยู่ในตลาด หรืออยากเอาหุ้นเข้าในตลาด ลองฟังดูเผื่อจะใช้ได้ ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นต้องรู้ก่อนว่าการเข้าตลาดคืออะไร คือการเอาอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไปขออนุญาตให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คือต้องมีอดีต เราทำงานที่ไหน ทำอะไรมาบ้าง เรามีกลุ่มบริษัทอย่างไร สร้างมาอย่างไร ปัจจุบันมีอะไรเหลืออยู่และอนาคตจะทำไงต่อ จะขยายงานออกไปอย่างไร แล้วก็เอาตัวเลขมาบอกว่าตัวเลขเหล่านี้จะทำกำไรในอนาคตยังไง ราคาหุ้นก็ดี มูลค่าของบริษัทก็ดี คือการตีราคาปัจจุบันกับอนาคตเพื่อเอามาให้คนซื้อหุ้นและร่วมลงทุน เพราะฉะนั้นเราจะต้องเตรียมอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
จุดเริ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่
ผมได้เข้าตลาดปี 2533 ผมขอเล่าอดีตนิดหนึ่ง ก่อนจะมีโทรศัพท์มือถือ ก่อนหน้านั้นเซลลูล่าโฟนยังไม่เกิด แต่ว่ามีการใช้โทรศัพท์แบบไร้สายในบ้าน ตอนหลังก็มีคนคิดว่าใช้วิทยุที่มีกำลังสูงๆ โทรศัพท์ไร้สายที่อยู่ในบ้าน โดยพ่วงกับโทรศัพท์บ้านแล้วจะสามารถออกไปไกลขึ้น ผมก็ไปฮ่องกง ซื้อโทรศัพท์ไร้สายที่พ่วงเบอร์บ้านแต่มีตัวลูกที่สามารถเอาออกไปไกลๆได้ โดยตั้งสถานีที่มีความเร็วสูงขึ้นและตั้งเสาให้สูงขึ้น ผมก็เอาติดรถไปเพราะผมสามารถที่จะใช้โทรศัพท์ได้แล้วก็พูดได้ รับสายได้ โดยอยู่ไกลจากบ้าน ก็เอาไปทดลองดู
ผมหิ้วไปเจอเพื่อน เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อประภัตร โพธสุธน ซึ่งเป็นนักการเมืองที่รู้จักกันเมื่อ 2548 ตอนนั้นเป็นเลขาฯรัฐมนตรีช่วยคลังอยู่ก็เลยรู้จักกัน อายุเท่ากัน ผมหิ้วโทรศัพท์ไร้สายไปบอกว่า ประภัตรอนาคตข้างหน้าโทรศัพท์อย่างนี้จะหิ้วไปได้ทั่วโลก เขาก็บอกว่าเอ็งบ้า เอ็งถือเครื่องไม้เครื่องมืออย่างนี้เอ็งบ้า จะเป็นไปได้ยังไง โทรศัพท์อะไรจะหิ้วไปได้ทั่วโลก ผมบอกว่าตอนนี้เราแค่หิ้วออกข้างนอกไปไกลๆบ้านได้แล้ว อีกหน่อยจะหิ้วไปได้ทั่วโลก เขาก็บอกว่าไม่เชื่อ
ไทยเป็นลูกหนี้ IMF
สาเหตุที่ผมพูดเช่นนั้นเนื่องจากว่าผมไปงานนิทรรศการเกี่ยวกับโทรคมนาคมบ่อยๆ เพื่อไปเรียนรู้ ตอนหลังโทรศัพท์มือถือเริ่มต้นที่การสื่อสาร ตอนนั้นมี 2 ระบบแข่งกันคือ โซนี่ อิริคสัน กับโมโตโรล่า พอดีช่วงนั้น พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) เป็นนายกฯ เป็นช่วงที่ประเทศไทยมีปัญหาทางการเงินและต้องเป็นลูกหนี้ IMF รอบแรก ดร.โกร่ง (วีระพงษ์ รามางกูร) เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของนายกฯ IMF สั่งว่าประเทศไทย โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ ต้องหยุดการลงทุน ฉะนั้นการลงทุนต้องให้เอกชนลงทุน ช่วงนั้นจึงมีการอนุญาตให้เอกชนเข้ามาขยายการลงทุนแทนภาครัฐ กฎหมายขณะนั้นก็ยังเป็นกฎหมายล้าหลังอยู่ คือให้เอกชนมาลงทุนและยกทรัพย์สมบัติให้กับรัฐ แล้วได้รับสิทธิไปทำมาหากินกับเครื่องมือนั้นเป็นระยะเวลาเท่าไรก็แล้วแต่รายได้ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
บุกเบิกโนเกียในไทย
ผมก็ไปขออนุญาตทำโทรศัพท์มือถือ ผมเสนอเข้าไปแข่งกับอีกบริษัทหนึ่ง ผมเสนอไป 2 ออพชั่นว่าจะใช้อะไรดี เลยตัดสินใจใช้โนเกีย สมัยก่อนเป็นรุ่นอนาล็อก ผมเสนอไปโดยรู้แล้วว่า GSM กำลังจะมา เลยเสนอไปว่าอีก 5 ปีจะทำ GSM เสนอให้ผลตอบแทนรัฐสูงมากเมื่อเปรียบกับรายได้รัฐ แต่ปรากฏว่าวันนี้ถือว่าไม่สูงเนื่องจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป พัฒนาเทคโนโลยีเปลี่ยนไปก็เลยทำให้เซลลูล่าเติบโตเร็วกว่าที่คิด ผมว่าผมคิดล่วงหน้าไปเยอะแต่ก็ยังคิดไม่ทัน เลยเป็นที่มาว่าผมได้สิทธิในการลงทุนทำเซลลูล่าและมือถือ
ผมเป็นรุ่นแรกที่บุกเบิกโนเกีย ตอนนั้นโนเกียถือว่ายังทำกระดาษ ทำโทรทัศน์ ทำปืนล่าสัตว์ ทำเครื่องมือสื่อสารแต่ว่ายังทำไม่มากเท่าไร ถือว่าเป็นลูกค้ารุ่นแรกๆร่วมกับอิตาลี ก็เลยบุกเบิกร่วมกันจนเติบโต สมัยนั้นผมกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ๆเท่าอิตาลีก็เลยทำให้โนเกียกับกลุ่มชินฯเชื่อมโยงกัน ที่เล่าให้ฟังยืดยาวเพราะต้องการชี้ว่าต้องศึกษาที่เราจะทำ เมื่อเรารู้ว่าวิวัฒนาการมาถึงไหนแล้วจะไปยังไง โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน เทคโนโลยี
เอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
เอาล่ะ ในเมื่อผมเตรียมอดีตไว้แล้ว อนาคตผมก็วาดไว้ว่าบริษัทจะเติบโตอย่างไร ผมก็มองเรื่องดาวเทียม มองเรื่องการขยายเคเบิลทีวี. นั่นคือสิ่งที่เรามอง แต่ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตยังไม่เกิด ไม่มีใครเห็นว่าอินเทอร์เน็ตจะเกิด มองอย่างเดียวว่าเบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียวที่เรามีสามารถถือไปไหนมาไหนได้ทั่วโลก นั่นคือสิ่งที่คิดไว้ แล้วตอนนั้นนาโนเทคโนโลยีก็ยังไม่เกิด ยังอยู่ในแล็บ เราไม่สามารถเดาได้ว่าโทรศัพท์มือถือจะเล็กลงได้ แต่เราก็บอกอนาคตไปได้ระดับหนึ่ง ไม่มีปัญหา เซลลูล่านี่ลงทุนกันทีเป็นหมื่นล้าน แต่วันแรกที่เราทำอยู่ลงทุนเพียงไม่กี่ร้อยล้านเพราะไม่กล้าลงมาก ก็ลงสถานีไม่กี่แห่ง ไม่กล้าลงเยอะ เราก็คิดว่าไม่อย่างนั้นแล้วเราจะเอาตังค์ที่ไหนมาลงทุนเป็นหมื่นๆล้าน
ในวันนั้นผมยังมีหนี้ ก็ปรึกษากันว่าจะทำยังไงดี เลยตัดสินใจเอาหุ้นเข้าตลาดเพราะมีคนมาแนะนำ มีนักบัญชีคนหนึ่งมาแนะนำว่าทำบัญชีให้ถูกต้องตามหลักสากล แล้วก็ให้บริษัทตรวจบัญชีระดับสากลมาตรวจคนจะได้เชื่อถือ แล้วเราก็มาดูว่าจะตัดอะไรออก เอาอะไรเข้า เพื่อให้บริษัทมีความชัดเจน ช่วงนั้นบังเอิญว่าเศรษฐีในไทยยังตามเรื่องเทคโนโลยีไม่ทันเราเลยได้เกิด เพราะระบบทุนนิยมเอาทุนทุบกันเลย แต่พอผมหลุดมาจากตรงนั้นแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ก็ตัดสินใจเข้าตลาด
เข้าตลาด-เพิ่มทุน
เราไปจ้างที่ปรึกษาการเงิน ไปจ้างภัทระกับธนชาติมาช่วยกันดู มาทำความสะอาดบัญชีให้ผม ตอนนั้นทุนจดทะเบียนผมมี 20 ล้านบาท ผมเริ่มคิดอยากเข้าตลาดเพราะที่ปรึกษาการเงินมาบอกว่าต้องเพิ่มทุน เพราะทุนแค่นี้ไม่พอ บอกต้องเพิ่มเป็นประมาณ 2,000 ล้านบาท ผมก็...ตายแล้วจะเอาที่ไหน ไม่เป็นไรเพราะเขามั่นใจว่าหุ้นบริษัทนี้ขายได้แน่ เขาก็เลยทำให้เงินกู้ชั่วคราวสั้นๆแล้วก็คืนให้ เลยให้ผมไปกู้เงินแล้วเอาใบหุ้นที่เพิ่มทุนไปกู้เงินเพื่อมาจ่ายเงินเพิ่มทุน
สมมติว่ากู้ 2,000 ล้านบาทก็จ่ายเพิ่มทุนไป หุ้นที่เพิ่มทุนเขาก็เอาไปถือไว้ แล้วพอหุ้นเข้าตลาดก็ขายบางส่วนออกเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ หุ้นสิบบาทตอนนั้นเราขายได้ น่าจะขึ้นไป 300-400 บาท แล้วก็ขายได้กำไรหลายเท่า ก็เพิ่มทุนไปส่วนหนึ่ง ทำ 2 จังหวะคือ ความที่เรามีของดี ระบบทุนนิยมเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าของไม่ดีก็ไม่มีใครให้กู้ ก็ต้องทำของตกแต่งให้ดี ไม่ดีก็ทำให้ดี คอยให้ที่ปรึกษาการเงินดู พอเขาดูเสร็จ...ดีนี่ ผมก็เลยไปกู้เงินจากอีกที่หนึ่ง เข้าใจว่าเป็นเครือแบงก์กรุงเทพ ให้ผมกู้เงินมาชั่วคราวเพื่อมาเพิ่มทุน เงินก็เข้าบริษัทเยอะ จ่ายหนี้ได้ ลงทุนได้ ขยายงานได้
ขายหุ้นให้ต่างชาติ
พอหุ้นเข้าตลาดมันก็ขึ้นหลายเท่า หุ้นที่เราเพิ่มทุนก็เพิ่มราคา เราก็แบ่งหุ้นจำนวนหนึ่งไปขาย พอขายได้ก็เอาเงินไปใช้หนี้ ผมเหลือเงินประมาน 100-200 ล้านบาทจากไม่มีตังค์ พอเหลือจากนั้นเราก็นึกว่า ดีใจเว้ย เงินเรา แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เราขยายธุรกิจ พอเซลลูล่าขยายก็ต้องเพิ่มการลงทุน เงินบริษัทไม่พอก็ต้องเพิ่มทุน หุ้นขึ้นก็เพิ่มทุน เราเพิ่มทุนโดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิม ตัวเราก็ต้องตาม เงินที่มีอยู่ก็ต้องตามเพื่อให้สัดส่วนไม่หาย เงินก็หมดอีก แล้วพอดีมีนักลงทุนต่างชาติคนหนึ่ง คนนี้เป็นคนที่ลงทุนหลายประเทศ เขาพาผมไปรู้จักกับเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก คือนายคาร์ลอส ซาริม ไปพบกันที่นิวยอร์ก ก่อนผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ
นายคนนี้ก็ตัดสินใจมาซื้อหุ้นบริษัท 5 เปอร์เซ็นต์ ถ้าจำไม่ผิดผมขายได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ตกลงกันทางโทรศัพท์ ผมกำลังแคะหูอยู่โทรศัพท์มาผมก็บอกว่าขอแคะหูก่อน พอเสร็จก็ลุกขึ้นมาคุย เขาขอซื้อ 10 เปอร์เซ็นต์ผมไม่ขาย เพราะถือว่าวิธีการภาษาการลงทุนเขาบอกว่าต้องให้พอดี ให้น้อยมันก็ไม่ใส่ใจผม ให้มากมันก็ไม่ใส่ใจ เราก็เลยให้แค่ 5 ที่เหลือให้เขาไปไล่ซื้อในตลาด ทำให้หุ้นเราดีขึ้น ผมก็เลยขายไป ได้เงิน 5,000 ล้านบาท ปี 34 เป็นปีที่ผมมีเงินหลายพันล้าน หุ้นครอบครัวผมก็จะลดลงมาเรื่อยจนเหลือ 50 นั่นคือสิ่งที่เราขายหุ้นเอาค่ากำไรเข้ามาก็เก็บเงินสดไว้บ้าง เหลือไว้ส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมบริษัทบ้าง ถ้าเรากลัวเขายึดเราก็เก็บหุ้นไว้ครึ่งหนึ่ง
รวยเพราะเงินต่างชาติ
ต่อมาปี 35-36 ก็ขายหุ้นเพิ่ม ตอนนั้นมีเงินสดประมาณหมื่นล้านแล้ว มาเข้าการเมืองตอนนั้นอายุ 42 เห็นแสงสว่างตอนนั้น เริ่มได้ตังค์แล้ว ตามที่ได้พูดกับภรรยาไว้ว่าเราไปเรียนกลับมาสักวันต้องมีร้อยล้าน เท่ากับว่าผมไปเรียนปริญญาเอกกลับมาปี 22 ใช้เวลา 12 ปีก็หาเงินได้ร้อยล้านครั้งแรก หลังจากนั้นมีมากเพราะเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ครอบครัวผมเงินทั้งหมดส่วนใหญ่ได้จากต่างประเทศ หุ้นครอบครัวผมเป็นหุ้นที่กองทุนต่างประเทศชอบซื้อ แม้กระทั่งล่าสุดที่ขายให้เทมาเส็กก็เป็นเงินที่ต่างประเทศเอาเข้ามา ไม่ได้เป็นการเอาเงินในไทยเลย เล่าสู่กันฟังว่ากว่าจะมาเป็นวันนี้ต้องชิงไหวชิงพริบและทำให้ต่างประเทศเชื่อถือถึงจะเอาเงินเขามาได้ ดวงผมบังเอิญว่าทำมาหากินต่างประเทศดี
เมื่อเดือนเมษายน 35 ตอนนั้นเราต้องการจะเพิ่มทุนบริษัท และต้องการให้บริษัทเป็นที่รู้จักทั่วโลก ก็ไปทำโรดโชว์กับนักลงทุนทั่วโลก ไปบอสตัน นิวยอร์ก และกลับมาลอนดอน ตอนนั้นคุณหญิงก็พาลูกๆไปเจอที่ลอนดอน หลังโรดโชว์จบก็มาตกลงกันว่าจะขายหุ้นราคาเท่าไร และขายกี่หุ้น ตอนนั้นใกล้พฤษภาทมิฬด้วย ที่ปรึกษาก็อึกอักๆบอกว่าหุ้นที่ตั้งใจจะขายขอรับประกันแค่ครึ่งเดียวได้ไหม ผมก็บอกว่าเดี๋ยวเสียชื่อนะ เหมือนกับว่าไม่น่าเชื่อถือ เอางี้ดีกว่า จะขายหรือไม่ไม่เป็นไร เอาให้ชัด คืนนี้มาบอกผมแล้วกัน คิดเสร็จเขาก็กลับมาบอกว่าเขาวิตกเรื่องการเมืองในประเทศไทย ผมก็บอกว่าอย่าวิตกเลย ประเทศไทยการเมืองเปลี่ยนบ่อยเหมือนเปลี่ยนฤดู อย่าไปสนใจเรื่องการเมืองนัก เขาบอกว่าวิตกขอซื้อครึ่งเดียวได้ไหม ผมก็บอกว่างั้นอย่าซื้อเลย ขอบคุณนะ ผมจะไปเที่ยวแล้ว จากนั้นก็พาลูกเมียไปเที่ยวแล้วก็ไม่ขายเลย จนพฤษภาทมิฬหุ้นร่วงพรวด ผมก็เฉยๆ หลังเหตุการณ์จบก็ขายหุ้นได้ถึง 5,000 ล้านบาท
อย่าใช้เงินผิดประเภท
สิ่งที่เล่าให้ฟังจะสื่อว่าท่านต้องรอบรู้ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ไม่ชั่วคราวแล้ว เอาเป็นเอาตาย 3-4 ปีไม่จบ นักลงทุนต่างประเทศหนีหมดแล้ว เพราะอะไร เพราะเราเอง วันนี้เรากำลังไม่เข้าใจโลกอย่างแรง ผมนั่งอยู่ดูไบมองต่างประเทศว่าเขาไปยังไง ไปถึงไหนแล้ว ไทยคือศูนย์กลางเศรษฐกิจของอาเซียน แต่กลับลากอาเซียนลงเนื่องจากการเมืองในประเทศยังบิดเบือนกลไก ไปแทรกแซงระบบที่มีมาเป็นสิบๆปี บ้านเราไม่มียุทธศาสตร์เพื่อชาติ มีแต่เพื่อฟาดฟันกันเอง นี่คือสิ่งที่เราไม่แก้ ก็ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ
กลับมาพูดกันต่อ เพราะว่าผมต้องการจะเน้นให้บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งหลายได้เห็นว่าทำยังไงให้หุ้นตัวเองดี สำคัญที่สุดการซื้อขายหุ้นคนไทยเป็นส่วนน้อยที่จะลงทุนในตลาดหุ้น ท่านจะต้องมีความสัมพันธ์กับนักลงทุน มีการโรดโชว์ทั้งในและนอกประเทศ ตอนผมเข้าตลาดหุ้นใหม่ๆพูดแบบนี้วันละ 2 รอบ 3 รอบ พูดเป็นเทป พูดไปไม่เท่าไรก็ทำให้บริษัทเราเป็นที่รู้จัก ที่สำคัญท่านอย่าใช้เงินผิดประเภท เรื่องนี้น่ากลัวมาก ผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไมผมถึงไม่ใช้เงินผิดประเภท เพราะผมถูกสอน ตอนที่หุ้นยังไม่เข้าตลาดมีเงินครั้งแรก ดีใจไปซื้อที่ดิน เสร็จปั๊บเวลาเศรษฐกิจแย่จะขายไม่มีใครซื้อเลย ผลสุดท้ายก็ขายไม่ได้ ธุรกิจมีปัญหา จะเอาเงินมาใส่ก็ไม่ได้ ธุรกิจก็มีปัญหาอีก เอาไปเข้าแบงก์ๆก็ไม่รับ
นำทุกบริษัทเข้าตลาด
เพื่อนผมคนหนึ่งก็มาเตือนว่าอย่าทำนะ คนเอเชียชอบทำ อย่าใช้เงินมั่ว ผมก็ท่องไว้เลย ขนาดว่ามีตังค์แล้วยังไม่ยอมซื้ออสังหาริมทรัพย์เลย เอาเงินส่วนตัวไปซื้อแทน การซื้อตึกชินฯที่พหลโยธินก็ตกกระไดพลอยโจนเหมือนกัน และลงทุนสร้างตึกนี้ 700 กว่าล้านโดยไม่ใช้เงินบริษัทเลย นั่นคือสิ่งที่ทำให้นักลงทุนไม่สับสน ชัดเจนว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ก็สร้างชินฯ 1 เสร็จ ชินฯ 2 สร้างเสร็จจะขายแต่ว่าไม่ได้ขาย เพราะตอนนั้นคนเป็นเจ้าของคือพี่ชายของรัฐมนตรียุติธรรมในปัจจุบัน และก็ซื้อตึกนี้ไว้ เป็นการลงทุนครั้งที่ 2 มีเงินแล้วจึงไปสร้างตึกชินฯ 3 ไปซื้อที่จากเพื่อนที่มีปัญหากับธนาคาร ก็เป็นเรื่องที่ครอบครัวลงทุนหมด กลุ่มชินฯไม่ได้ลงทุนเลย ให้คนอื่นมาเช่า ที่สุดก็กลายเป็นเอสซี แอสเซท
ค่อยๆสร้างทีละส่วนๆแต่เราจะต้องแยกแยะให้ออก อย่ามั่ว อย่าพัน ระหว่างที่ชินฯเข้าตลาดไปแล้วนั้นเอไอเอสก็แข็งแรง ผมก็เอาเข้าตลาด บริษัททุกบริษัทของผมโตขึ้นก็แยกกันเข้าตลาด เพราะว่าวันหน้าวันหลังการลงทุนที่ขยายทุนมากๆเราจะได้ไม่ต้องควักเงินส่วนตัวเยอะเกินไป
ต้องรู้เท่าทันระบบทุนนิยม
วันนี้ท่านทั้งหลายต้องรู้ทันระบบทุนนิยม เราต้องอยู่กับมัน ไม่จำเป็นต้องชอบ แต่ว่าวันนี้เป็นการแข่งขันด้วยทุน ต้องมีทุน ถ้าไม่มีเขาไม่นิยม ทุนไม่มีก็หาให้มี เช่นกันครับ ถ้าประเทศไทยบอกว่าทำนาส่งออกข้าวได้ที่หนึ่งของโลกเรามีสิทธิภูมิใจ แต่ถ้ามองกลับไปทำไมต้องให้คนจนทำนา เราลดจำนวนชาวนาได้ไหม เหลือเป็นชาวนาที่มีเครื่องจักร แล้วลูกหลานชาวนาเป็นอย่างอื่นได้มั้ย ทำไมต้องบอกว่าปู่เอ็ง พ่อเอ็งเป็นชาวนา เอ็งก็ต้องเป็นชาวนา แต่กลับภูมิใจว่าส่งออกข้าวเป็นที่หนึ่งของโลก เราควรย้อนกลับมาดูว่าควรภูมิใจหรือไม่ เรามีทางเลือกอื่นไหม
มีครับถ้าเราเข้าใจหา อย่างที่เล่าที่ดูไบเขาเอาต่างชาติมาเป็นลูกน้องคนท้องถิ่น แต่ของเราเอาต่างชาติมาเป็นนาย เราเป็นลูกน้อง เป็นเถ้าแก่อยู่ดีๆส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ไปเป็นลูกจ้างฝรั่ง ภูมิใจมาก เป็นอะไรที่ทำไมไม่ให้เขาเป็นเถ้าแก่ นี่คือจุดอ่อนของเราที่ตามโลกไม่ทัน แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคนที่มีอำนาจแฝงสามารถสั่งการให้ระบบเพี้ยนได้ยังมีอยู่ ถึงได้ยุ่งกันถึงทุกวันนี้
พบกันทุกวัน
ปี 37 ผมไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันนั้นเข้าพรรคพลังธรรม คุณจำลอง (ศรีเมือง) เกรงว่าเวลาจะไม่พอ เรื่องคุณจำลองมันยาว แล้วก็มีเรื่องคุณบรรหาร (ศิลปอาชา) และวิกฤตเศรษฐกิจ ผมจะเล่าให้หมดเลย วันนี้จะเอาเรื่องหนักๆในอดีตมาเล่าให้ชัด จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมจะขอเล่าเป็นตอนละครึ่งชั่วโมงทุกวันจันทร์-ศุกร์ ที่พีเพิลชาแนลและทักษิณไลฟ์ จะเล่าชีวิตจริง ละครหลังข่าวของผมที่เป็นนักธุรกิจมาสู่การเมือง จะขอเล่าอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา
วันนี้ขอตอบคำถาม...อยากให้ท่านเตือนสามเกลอด้วย...ขอเรียนอย่างนี้ว่า ได้คุยกันทุกฝ่ายแล้วว่าเราต้องการต่อสู้แบบสันติวิธี อหิงสา แต่เราก็ต้องมีการ์ด มีคนคอยดูแลฝูงชนจำนวนมาก แล้วเราก็มั่นใจว่าจะไม่ถูกรังแก เราจะต้องป้องกันจะสู้อย่างสันติแต่ไม่อ่อนแอ
ถาม...อยากให้ซื้อทีมฟุตบอลที่อังกฤษอีก
ตอบ...ตอนนี้ยังตามเชียร์แมนฯ ซิตี อยู่เลย ผมก็ตามเชียร์ แต่วันก่อนไปแพ้เอา 2-1 ผิดหวังมาก เรื่องไปซื้ออีกคงไม่ไหวนะครับ
ถาม...ทำพ็อกเก็ตบุ๊คเรื่องการสร้างตัว
ตอบ...ตอนนี้ก็ให้คนเขียนที่ผมเล่าไปเกลากันอีกที บางครั้งก็มีประเด็นปลีกย่อยเยอะแยะ ถ้าทำไว้ก็คงให้ลูกหลานศึกษา
ครับ วันนี้ใช้เวลาเกินมานิดหน่อย ขอบคุณที่ติดตามรับชม พรุ่งนี้จะเล่าถึงตัวละครแต่ละคน ใครที่เข้ามาเกี่ยวกับชีวิตผม ไม่ต้องกลัวครับ ผมตรงไปตรงมา ไม่ใส่สี วันนี้ขอบคุณครับ
คอลัมน์ :คำต่อคำ..ทักษิณ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น