ในประวัติศาสตร์ของทุกชาติ สงครามกลางเมืองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้..แผ่นดินใดที่เริ่มต้นด้วยการมีฝักมีฝ่าย..
ปลายทางของแผ่นดินก็คือ ความวุ่นวาย และหายนะ
หลายๆ ครั้งในหลายๆ ประเทศ สงครามกลางเมืองทำให้ชาติๆ หนึ่งแตกแยกแบ่งตัวออกเป็นหลายๆ ชาติ..
รัสเซีย..สงครามกลางเมือง..ทำลายลายล้างระบบกษัตริย์ราชวงศ์โรมานอฟ...และสงครามกลางเมืองอีกครั้งก็แยกอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
และมีแผ่นดินที่กว้างขวางที่สุดในโลก ให้แยกออกเป็นหลายประเทศ..และกลับมาเป็นศัตรูต่อกัน
สงครามกลางเมืองในกัมพูชา..การแย่งชิงอำนาจเหนือการเมืองระหว่างราชสำนักกับกองทัพ..ทำให้แผ่นดินนั้นเลยมี
ตำแหน่งประธานาธิบดี..แทนที่กษัตริย์.. ก่อนหน้านั้นกษัตริย์สละราชบัลลังก์ลงมาเลือกตั้งแข่งกับประชนชน เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
กว่ากัมพูชาจะสงบ..เกือบ 3 ทศวรรษ..ที่แผ่นดินเป็นกลียุค..มากกว่า 3 ชีวิต กลายเป็นกองกะโหลกสูงเป็นภูเขา จนสหประชาชาติ
ต้องเข้าไปจัดการ..ให้การเลือกตั้งเป็นเส้นทางแห่งอำนาจ..ชาตินั้นจึงยุติความขัดแย้งวุ่นวาย
ว่ากันว่าทั่วทั้งกัมพูชาวันนี้..เสียงปืนลั่นเพียงนัดเดียว..จะได้ยินถึงสมเด็จฯ ฮุน เซน.
พม่าถึงจะมีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง...แต่สงครามที่ใหญ่สุดก็ตั้งเค้าอยู่ข้างหน้า..ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นมาเมื่อใด
แต่รู้แน่นอนว่ามันจะต้องเกิดขึ้น
อินโดนีเซีย..ผ่านสงครามกลางเมืองมาแล้วหลายครั้ง..ก่อนที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะเติบโตขึ้นยิ่งใหญ่เหนือกองทัพ หลายแสนชีวิต
ของประชาชนถูกสังเวยให้กับการเผชิญหน้า..อีกหลายพันสังเวยให้กับการกวาดล้างของกองทัพ
มาเลเซีย..ก็เช่นกัน..สงครามกลางระหว่างคน 2เผ่าพันธุ์..ก็ทำให้ส่วนหนึ่งของประเทศแยกไปเป็นสิงคโปร์..อีกหลายพันคนสละชีวิตให้กับความขัดแย้ง...กว่าบาดแผลของชาติจะหายสนิท
เราประเทศไทยและคนไทย..ความแตกแยกในกำแพงกรุงศรีอยุธยา ในเวลาที่กองทัพพม่าปิดล้อมกรุง..นำมาซึ่งความพินาศของ
ราชอาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดของสุวรรณภูมิ..
หลังถ่านเถ้าจากการถูกเผา..ไทยกลายเป็น 7 ก๊ก แยกย้ายกันเป็นใหญ่..กว่าจะกลับมาเป็นหนึ่งใต้คมดาบของ มหาราชตากสิน..
ศพไทยก็เกลื่อนแผ่นดิน
200 ปีผ่านไป..หลายๆ แผ่นดินเป็นประชาธิปไตย..ไฟจากสงครามกลางเมืองสิ้นเชื้อ..
เหลือเชื่อประเทศไทย..พรรคเก่าสุดบนเส้นทางประชาธิปไตย..กำลังเดินนำประเทศไปสู่สงครามกลางเมืองครั้งใหม่..
โดย พญาไม้
***********************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น