เรื่องของการพิจารณาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองเป็นเรื่องที่เราจะมองเมินมิได้
มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวระหว่างศาลกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวระหว่างพนักงานอัยการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
ของใครคนใดคนหนึ่ง เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ หรือ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง
ตรงกันข้ามเป็นเรื่องเผด็จการกับประชาธิปไตย เป็นเรื่องของความยุติธรรมหรืออยุติธรรม เป็นเรื่องของหลักนิติธรรม และเป็นเรื่องระหว่าง
คมช. กับประชาชนคนไทยนั่นเอง
เมื่อแรกเริ่มการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 และมีการอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ผู้คนกำลังช็อกและงุนงงกันอยู่
จึงไม่มีใครออกมาตั้งแผงคัดค้าน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปทีละน้อยๆ และมาตรการบันได 4 ขั้นของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ถูกประกาศออกมาคนก็ได้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า
มาตรการทางกฎหมายทั้งหลายที่ คมช. นำมาใช้ต่อจากนั้นล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระทั้งสิ้น
คตส. นั้นห่วยแตกที่สุด
ไม่ควรมีใครยอมรับให้เป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม
ส่วนมาตรการอายัดทรัพย์เพื่อการตรวจสอบอื่นๆต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องเหลวไหลติดตามมา
ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯจะมีคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ. จึงเป็นวันสำคัญที่ประชาชนต้องให้ความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด
ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยได้ยินนายแก้วสรร อติโพธิ หนึ่งในคณะกรรมการ คตส. ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างมั่นอกมั่นใจว่าควรจะมี
การยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณเสียทั้งหมด โดยเสนอทฤษฎีวัวกินหญ้า
นายแก้วสรรอธิบายว่า พ.ต.ท.ทักษิณเปรียบเหมือนคนไทยธรรมดาคนหนึ่งซึ่งเลี้ยงวัว ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต.
เลยมีโอกาสใช้งบประมาณของ อบต. และ พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้งบประมาณนั้นปลูกหญ้าในที่สาธารณประโยชน์ของตำบลนั้น
วัวของ พ.ต.ท.ทักษิณกินหญ้านั้นจนอ้วนพี มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น และราคาก็สูงขึ้น
ดังนั้น เมื่อพิจารณาการประกอบข้อกฎหมายเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณทุจริต เพราะเอาเงินหลวงมาปลูกหญ้าให้วัวของตัวเองกิน ถึงเวลา
ยึดทรัพย์ก็ต้องยึดวัวไปทั้งตัว
ทฤษฎีวัวกินหญ้าของนายแก้วสรรนี้ถูกคนโห่กันมาก เพราะเป็นทฤษฎีที่ไม่มีหลักนิติธรรมรองรับ ถ้าจะว่าไปแล้วเป็นทฤษฎีของ
การล้างแค้นกันมากกว่า
แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ผู้เขียนมองลึกไปกว่านั้น คือมองเข้าไปจนเห็นว่านี่คือจิตสำนึกของนักกฎหมายเผด็จการหรือนักกฎหมายอำมาตย์
ไม่ใช่นักกฎหมายมหาชนหรือนักกฎหมายจากสำนักนิติศาสตร์ใดๆ
นายแก้วสรรเป็นลูกน้องและเป็นเครื่องมือของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารกิ๊กก๊อกที่ไม่มีหลักใดๆในการปกครอง
ประเทศเลย นอกจากหลักความพึงพอใจของตัวเอง แล้วยังแถมเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่งอีกด้วย
บันได 4 ขั้นของคณะรัฐประหารคือความอัปลักษณ์
กระบวนการยุติธรรมที่ดีไม่ควรนำมาเป็นสาระเพิ่มความอัปยศอดสูเป็นอันขาด
ยิ่งตอนนี้บ้านเมืองของเราย่างเท้าเข้ามาในดินแดนประชาธิปไตยแล้วส่วนหนึ่ง ย่ำเข้ามาในแดนศิวิไลซ์ร่วมกับนานาอารยประเทศแล้ว
ก็ไม่ควรใช้เครื่องมือใดๆของเผด็จการอีก
เฉพาะอย่างยิ่งเพื่อพิจารณารายละเอียดของคดียึดทรัพย์ ปรากฏว่าทรัพย์สินมูลค่า 7.6 หมื่นล้านคือหุ้นชินคอร์ปที่ลูกๆของ
พ.ต.ท.ทักษิณ และพี่ชายร่วมกันครอบครองและขายให้บริษัทเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ ยิ่งจะไปกันใหญ่
หุ้นจำนวนนี้เคยมีปัญหาตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2544 แต่แล้วศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นได้ชี้ขาดว่า
เป็นการโอนให้กันโดยชอบ ไม่ใช่การซุกหุ้น
เรื่องหุ้นก็จบลงไป
แล้วเหตุไฉนจึงกลับมาเป็นปัญหาให้ต้องยึดทรัพย์กันอีกในปี 2553 ซึ่งแน่เหลือเกินว่าหากมีการยึดทรัพย์กันในคราวนี้ย่อมไม่ใช่
การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นจำเลยของ คมช.
แต่เป็นการยึดทรัพย์ของลูกๆและพี่ชาย ซึ่งต่างก็บรรลุนิติภาวะแล้ว
แล้วนี่มันคือหลักอะไร ไม่ใช่หลักวัวกินหญ้า และไม่ใช่หลักนิติศาสตร์หรือนิติธรรมอย่างแน่นอน
เป็นได้ก็แต่เพียงหลักกู หลักเผด็จการ หรือหลักของคณะโจรปล้นประชาธิปไตยเท่านั้นเอง
เท่านั้นจริงๆ ไม่มีอะไรอื่น
ที่มา:konthaiuk
โดย.อัคนี คคนัมพร
**********************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น