
"ปธ.กกต." แย้มมี.ค.รู้ผลคดี 258 ล้าน ยุบปชป.ยุติหรือไม่
ข้องใจ "ดีเอสไอ" สำนวนเสร็จเป็นปียังไม่ถึงศาล โยนขี้มาให้กกต.รับทำต่อ
วันที่ 22 ก.พ.2553 ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง
กล่าวถึง ความคืบหน้ากรณีสำนวนเงิน 258 ล้านบาท และเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาท
ที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวว่าหาว่า มีการใช้จ่ายเงินผิดวัตถุประสงค์และอาจเข้าข่ายขัดพ.ร.บ.พรรคการเมือง ว่า
ขณะนี้คณะทำงานก็ทำหน้าที่กันอย่างหนัก ซึ่งประชุมกันหลายครั้ง ส่วนตนก็ได้อ่านสำนวนทั้ง 7,000 หน้าแล้ว
ทั้งนี้ตนตั้งใจจะทำให้เสร็จภายในเดือนมี.ค.นี้
“การพิจารณาของเราไม่ได้อยู่นิ่ง คณะทำงานก็ประชุมกันอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ผมรู้สึกพอใจการทำงานของคณะทำงานมาก
เพราะรู้ว่าเขาทำงานกันอย่างเต็มที่ ส่วนการวินิจฉัยของ กกต.ก็ไม่ได้ดูกระแสการเมือง แต่ทำในสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด
เพราะเรื่องนี้ผมตั้งใจไว้ว่า เมื่อออกมาสู่สายตาประชาชน จะต้องออกมาเหมือนคำพิพากษาของศาล ถูกต้องด้วยเหตุผล
และความจริง ให้คนได้เห็นชัดไปเลย ” นายอภิชาต กล่าว
นายอภิชาต กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การที่คณะทำงานที่นายทะเบียนจัดตั้งขึ้นเชิญฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์มาชี้แจงนั้น
ตนเห็นว่าก็เป็นการให้โอกาสเขามาข้อเท็จจริง ยืนยันว่าการพิจารณาไม่ได้ล่าช้า เพราะต้องยอมรับว่าการดำเนินการที่ผ่านมา
ผิดทางไปหน่อย หากมาที่นายทะเบียนพรรคการเมืองแต่แรก เรื่องก็คงไม่ล่าช้าขนาดนี้ แต่สำนวนที่ฝ่ายสืบสวนได้สอบสวน
ทำมาก็ถือว่าได้ประโยชน์
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายทะเบียนยกคำร้องจะต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.อีกหรือไม่
นายอภิชาต กล่าวว่า ถ้านายทะเบียนยกคำร้องก็ถือว่ายุติเรื่อง เพราะก่อนหน้าก็มีเสียงจาก กกต.ท่านอื่นที่ตีความทางกฎหมายต่างกัน
แต่ขณะนี้เป็นในทางเดียวกันแล้ว ดังนั้น หากนายทะเบียนมีความเห็นให้ยุบพรรคก็จะต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.หากจะยุบพรรค
เมื่อถามว่า ส่วนคณะทำงานจะให้น้ำหนักประเด็นเงิน 258 ล้าน กับเงินกองทุนจำนวน 29 ล้านบาทต่างกันหรือไม่
นายอภิชาต กล่าวว่า ไม่ได้เจาะจงให้น้ำหนักชุดไหน แต่สั่งให้ทำเต็มที่ เพราะเรื่องเงินกองทุนเป็นเรื่องเก่า เกิดก่อนที่พวกตน
มารับตำแหน่งเป็น กกต. โดยเรื่องนี้ก็ผ่านกระบวนการตรวจสอบทางบัญชีถูกต้อง พร้อมทั้งมีการใช้เงินอย่างถูกต้องทุกอย่าง
ซึ่ง กกต.ชุดนี้ได้รับรองไปแล้ว ทั้งนี้ หากมีการโต้แย้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวใช้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตนก็จะให้คณะทำงาน
ตรวจสอบไปให้ลึกกว่าเดิม
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตรวจสอบเรื่องเป็นเพราะดีเอสไอต้องการโยนภาระมาให้ กกต. เนื่องจากเป็นประเด็นทางการเมือง
จึงไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่
นายอภิชาต กล่าวว่า คุณก็ดูแล้วกันว่า เรื่องนี้ทำไมทำเสร็จแล้วเป็นปี แต่เรื่องยังไม่ส่งศาล เพราะฉะนั้นเราต้องค้นหาข้อมูลให้ชัดเจน
ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการยักยอกทรัพย์ของบริษัทหรือไม่ ถ้าเป็นกรณียักยอกทรัพย์ คนที่นำเงินที่ได้รับจากคนที่ยักยอกทรัพย์
ก็ถือว่าเข้าข่ายรับของโจร ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนถึงจะส่งศาลได้เรื่องก็จะจบ ซึ่ง กกต.เป็นส่วนปลายทางแล้ว
จริงๆเรื่องต้องยุติก่อนที่จะมาถึงเรา แต่ไปๆมาๆดูเหมือนว่าปลายเหตุจะยุติก่อนต้นเหตุด้วยซ้ำ
“หากให้เราทำก็ต้องให้เวลาเราพอสมควร เพราะที่หน่วยงานอื่นโยนมาให้เราเป็นกองใหญ่ก็ต้องมานั่งหาข้อเท็จจริงให้ชัดเจนก่อน
ที่ยังมีความขัดกันระหว่างดีเอสไอกับกกต. เรื่องสำนวนที่แม้ดีเอสไอจะบอกว่าสำนวนสมบูรณ์ครบถ้วน แต่ กกต.ห็นว่ายังไม่เรียบร้อย
เมื่อเราดูแล้วยังเห็นว่าตรงไหนไม่ครบถ้วนก็จะชี้แจงให้สังคมรับทราบ” นายอภิชาต กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความกดดันหรือไม่ที่กลุ่มการเมืองออกมากดดันประธานกกต.ในช่วงนี้
นายอภิชาต กล่าวว่า "นั่นเป็นความต้องการของหลายฝ่าย แต่ตนก็ต้องออกในแบบที่ตนต้องการด้วย คือให้ถูกต้องเป็นธรรมที่สุด
เพราะมีส่วนได้เสียกันสองฝ่าย ผมไม่ได้คำนึงถึงความถูกใจของใคร แต่ผมก็ทำหน้าที่เหมือนผู้พิพากษาที่จะต้องชี้ให้ชัดเจนให้ได้
ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนถึงจะชี้ได้ และจะมัวแต่นั่งกลัวทำไม่ถูกใจใครนั้น ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นผมจะทำให้ดีที่สุด"
ที่มา:konthaiuk
******************************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น