--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

วสันต์ : ฟันธง จำนำข้าว ขัด รธน !!??

วสันต์. ฟันธงรัฐบาลขัดรัฐธรรมนูญ ไม่แถลงผลงาน-จำนำข้าว

สถาบันพัฒนาภาวะผู้นำการปกครองท้องถิ่น จัดเสวนาเรื่อง "ระบบนิติรัฐกับทางรอดของประเทศไทย" และการอภิปรายร่วมหัวข้อ "วิพากษ์กฎหมายไทยเป็นที่พึ่งของประชาชนได้หรือไม่" ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บรรยายเรื่อง "ระบบนิติรัฐกับทางรอดของประเทศไทย" ว่า นิติรัฐหมายถึง รัฐที่มีการปกครองโดยยึดหลักกฎหมาย การชนะการเลือกตั้ง ไม่ได้แปลว่าให้มาบริหารประเทศอย่างเดียว เพราะแม้แต่การบริหารท้องถิ่น อบต.(องค์การบริหารส่วนตำบล) ล้วนแต่ต้องบริหารตามกฎหมายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ. และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เปรียบเทียบองค์กรเอกชนก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องบริหารตามข้อบังคับของบริษัท หากมีปัญหาเรื่องข้อบังคับก็ต้องแก้ไข แต่บริษัทแก้ไม่ยาก แค่ประชุมผู้ถือหุ้น ทนายความ แต่ถ้าเป็นการบริหารองค์กรของรัฐ เทศบาล อบต. รวมถึงรัฐบาลจะต้องบริหารตามกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญ

รัฐบาลจำเป็นต้องมีมือกฎหมายที่เก่ง มีความรู้ และแก้ปัญหาได้ดีไว้ใกล้ตัว นักกฎหมายที่เก่งควรรู้กฎหมายและผูกโยงกฎหมายหลายฉบับที่เชื่อมโยงกันเพื่อให้บริหารถูกต้อง และเพื่อใช้กฎหมายให้เป็นประโยชน์ต่อการบริหารประเทศ ไม่ใช่เอาช่องโหว่ของกฎหมายมาหาประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้อง แต่ต้องบริหารตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่บริหารตามอำเภอใจ

นายวสันต์ กล่าวอีกว่า องค์กรศาลมาตามตัวบทกฎหมายที่สภาออกมา สภาต้องการให้เป็นอย่างไรก็ออกมา แต่ประชาชนต้องยอมรับ ไม่อย่างนั้นมีปัญหา ที่องค์กรตุลาการอยู่มาได้ทุกวันนี้ เพราะความเชื่อมั่นที่สังคมให้ ไม่ใช่ว่าตุลาการดีทุกคน เสียก็มี ไล่ออก ปลดออก ก็มี เพียงแต่คนเลวยังน้อยจึงทำให้อยู่กันได้

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญปี 2540 หน้าที่หลัก คือ ตัดสินว่ากฎหมายฉบับนี้ขัดหรือไม่ การตัดสินของศาลอาจมีคนที่พอใจและไม่พอใจ ฝ่ายที่ไม่พอใจจะบอกว่าศาลไม่ยุติธรรมบ้าง ลำเอียงบ้าง แต่ตนคิดว่าคิดไปเองมากกว่า เพราะกว่าจะตัดสินแต่ละเรื่อง พวกเราคิดกันนาน และเถียงกันมากพอสมควร

"เรื่องการกระทำที่อาจขัดต่อมาตรา 68 ถือเป็นอำนาจที่สามารถวินิจฉัยได้ แต่ขนาดเป็นอำนาจศาลยังงอแงกันว่า ต้องผ่านอัยการ ตกลงเป็นสิทธิประชาชนหรืออัยการ เพราะในมาตรา 68 เป็นสิทธิเสรีของประชาชนชาวไทย พอรับคำร้องก็จะตายกันให้ได้ ทั้งเวลาที่รับฟ้องมีการยกคำร้องบ่อยไป เช่น การแก้ไขมาตรา 291 แล้วมางอแงว่าจะโหวตวาระ 3 ได้หรือไม่ ก็ไปดูกันเอง เก่งๆ กันทั้งนั้น"

"ในการตัดสินไม่สามารถทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจได้ พอผลตัดสินออกมาฝ่ายที่ไม่พอใจก็มีการพูดว่าสองมาตรฐาน ไม่ยุติธรรม ถ้าเนื้อหาเหมือนกันหมดและตัดสินออกมาคนละแบบ แบบนั้นถึงแปลว่าสองมาตรฐาน แต่ต้องเนื้อหาเหมือนกันเป๊ะ แต่ถ้าเนื้อหาไม่เหมือนเดิม มีอะไรเปลี่ยนแปลงและตัดสินไม่เหมือนเดิม ไม่ได้แปลว่าสองมาตรฐาน"

นายวสันต์ กล่าวอีกว่า ผมฟันธง ตอนนี้รัฐบาลทำขัดรัฐธรรมนูญแล้ว 2 เรื่อง แต่ไม่มีกฎหมายให้ศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงไปวินิจฉัย คือ ไม่แถลงผลงานปีละ 1 ครั้งต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 75 วรรคสองที่กำหนดไว้ ตรงนี้ไม่เหมือนศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมัน ที่มีอำนาจจะเข้าไปตรวจสอบ เรียกไต่สวน หรือออกคำสั่งห้ามได้ โดยที่ไม่ต้องมีคนร้องหากเห็นว่ารัฐบาลหรือรัฐสภากำลังทำผิด

นอกจากนี้ ที่น่าหงุดหงิดคือ โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยตั้งแต่เดือนก.พ.2555 เมื่อครั้งขอออกเป็น พ.ร.ก.ถือว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ วันนี้พ.ร.ก.ดังกล่าวออกเป็น พ.ร.บ.แล้ว โดยมาตรา 3 เขียนให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และในวรรคหนึ่งกำหนดให้การกู้ต้องทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิ.ย.2556 แต่จนถึงขณะนี้มีคำยืนยันจากรองปลัดกระทรวงการคลังว่า ไปเซ็นสัญญากับ 4 ธนาคารแล้ว

มีคำถามว่าการกู้เงินตามพ.ร.บ.กำหนดให้ต้องทำให้แล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.2556 การเซ็นสัญญากับธนาคารแล้ว ถือว่าเป็นกู้หรือยัง ซึ่งตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เขียนไว้ว่าสัญญานี้จะบริบูรณ์ เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม แต่ตอนนี้ถ้าเป็นไปตามที่รองปลัดกระทรวงการคลังบอกว่า ยังไม่มีการส่งมอบเงิน จึงเท่ากับว่ายังไม่มีการกู้เงินเกิดขึ้น ปัญหาคือ ถ้าหลังจากเดือนมิ.ย.แล้ว ธนาคารจะเสี่ยงกล้าให้เงินกับรัฐหรือไม่ เพราะถ้ายึดตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การเสี่ยงให้เงินของธนาคารก็อาจนำมาสู่การไม่ได้รับเงินต้นคืนและดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน รัฐจะเข้าข่ายทำผิดกฎหมาย

นายวสันต์ กล่าวอีกว่า เป็นห่วงบริษัทอิตาเลี่ยนไทย และเค วอเตอร์ ไม่ทราบว่าเกาหลีมีแห้วขายไหม แนะนำว่าหากรัฐทวงเงินกู้ตามสัญญาจากธนาคาร วิธีที่ดีที่สุดสำหรับธนาคารคือไม่ส่งมอบเงินให้กับกระทรวงการคลัง แต่ให้กระทรวงการคลังไปฟ้องแพ่งเอา เพราะถ้าให้ก็ไม่แน่ว่าจะได้เงินคืน นี่คือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

ถามว่า ปีครึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ มัวไปทำอะไรกันอยู่ มัวแต่ไปเล่นละครพญาเม็งรายหรือไม่ มีคนไปฟ้องศาลปกครอง ศาลปกครองก็มีคำสั่งว่าจะต้องทำรายงานวิจัยศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ก็ไปด่าศาลว่า ถ้าน้ำท่วมศาลปกครองต้องรับผิดชอบ ผมบอกได้เลยว่า ถ้าตอนนี้น้ำท่วมขึ้นมา คนที่รับผิดชอบ คือรัฐบาลอย่างเดียว เพราะปีกว่าๆ ไม่ทำอะไรเลย ทั้งที่ความจริงบ้านเรามีกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่กำหนดให้ต้องทำประชาพิจารณ์ในโครงการที่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี 2535 และมีรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 67 กำหนดว่าโครงการที่มีผลกระทบกับชุมชนต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนและผู้มีส่วนได้เสีย

ซึ่งกรณีก็โยงไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะมีการกู้เงินตาม พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ถามว่า วันนี้จะทำรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ต้องขุดลงใต้ดินผ่านอุทยานฯ ป่าสงวน และชุมชนไหนบ้าง รัฐก็ตอบไม่ได้ พูดอย่างเดียวจะเอาเงินกู้ โดยการกู้เงินเอามาทำโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรัฐ ระบุเป็นโครงการ 7 ปี ถ้าเฉลี่ยรายปี จะต้องใช้งบประมาณปีละ 3 แสนล้านบาท ทำไมไม่กู้ผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี คำตอบคือ ถ้าทำตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี การยื่นคำขอในแต่ละปี ต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน และจะถูกตรวจสอบได้ง่าย จึงเลี่ยงที่จะถูกตรวจสอบ ถือเป็นการขัดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 169 และถ้าเรื่องนี้ผ่านไปได้ ต่อไปรัฐบาลจะไม่เลือกใช้การกู้ผ่านวิธีการงบประมาณแล้ว

นายวสันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนอีกเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าผิด แต่ไม่มีอำนาจวินิจฉัยคือ โครงการรับจำนำข้าว เพราะผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 84 (5) ที่บัญญัติเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ว่า นโยบายที่รัฐกำหนดขึ้นต้องให้มีการแข่งขันเสรีเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาด ตัดตอน แต่โครงการรับจำนำข้าวที่ทำกันอยู่ถือว่ารัฐตัดตอนเสียเอง เพราะแท้จริงแล้วไม่ใช่การรับจำนำ แต่เป็นการรับซื้อข้าวทุกเมล็ดจากชาวนา กลายเป็นโรงสีของรัฐเท่านั้นที่มีสิทธิได้ซื้อ แต่โรงสีเอกชนบางรายจะไม่ได้สิทธิรับซื้อ ขัดกับหลักของการรับจำนำ เพราะการจำนำคือ การเอาทรัพย์ไปประกันหนี้กับเจ้าหนี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งต้องมีการไถ่ถอนหรือมีการต่อรอง แต่นี่กลับเป็นการตั้งโต๊ะรับซื้อทั้งหมด ถือเป็นการโกหกตั้งแต่ต้น

นายวสันต์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม มีประเด็นอยู่ 3 มาตรา คือ 1.มาตรา 3 วรรคสอง เรื่องหลักนิติธรรม เช่น คดีที่เกิดพิพากษามาแล้ว อยู่ๆ จะยกเลิกมาพิจารณาใหม่ไม่ได้ 2.การออกกฎหมายต้องใช้บังคับเป็นการทั่วไป จะบังคับใช้กับคนเดียวๆ หรือบางกลุ่มไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญในมาตรา 29 และ 3.ในมาตรา 30 กำหนดไว้ว่า กฎหมายต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะสถานะของบุคคล ฟันธงเลยผู้ใช้จ้างวาน ผู้โฆษณาก่อให้เกิดความผิด ถ้าจะมีการนิรโทษกรรมจะต้องไปทั้งยวง ดังนั้น การนิรโทษกรรมจะยกเว้นให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ หากออกกฎหมายแล้วยกเว้นแกนนำจะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 30 เรื่องนี้หากจะวินิจฉัยไม่ยากเลย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น