--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

สงคราม ที่มิอาจหลีกเลี่ยง !!??

นั่งรอฟังข่าวม็อบสวนยางอยู่ซักพักใหญ่ๆ...แต่ขณะยังไม่มีอะไรคืบหน้า เลยต้องขออนุญาตเลี้ยวซ้ายออกนอกประเทศ ไปปุจฉา-วิสัชนาว่าด้วยเรื่องสถานการณ์ซีเรียต่อไปอีกซักนิด โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดีผิวสี จอมลื่นไหลอย่าง  บารัค โอบามา ท่านตัดสินใจโยนขี้ไปให้รัฐสภา คำถามในเรื่องสหรัฐจะบุกหรือไม่บุกซีเรีย จึงกลายมาเป็นคำถามยอดฮิต ที่พอจะเอามาพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างกำลังรอๆ ว่าระหว่างตำรวจกับม็อบยางพารา ใครจะบุกใคร กันแน่!!!
   
เอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะโดยรัฐสภาหรือโดยตัวประธานาธิบดีก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากประเทศที่พยายามดำรงลักษณะความเป็น  จักรวรรดินิยม มาโดยตลอดอย่างสหรัฐ เกิดบรรลุโมกขธรรม หรือบรรลุสัมโพธิญาณใดๆ ขึ้นมาก็แล้วแต่ เกิดไม่คิดจะบุกซีเรีย หรือยืดเวลาการบุกออกไปเป็นเดือนๆ ปีๆ แล้วละก็ สิ่งที่จะปรากฏตามมาต่อความเป็นอภิมหาอำนาจสูงสุดของสหรัฐ ก็คงหนีไม่พ้นไปจาก ความเสื่อม ในสายตาของชาติพันธมิตร ไม่ว่าในแง่ใดแง่หนึ่งก็ตาม เนื่องจากความเป็นจักรวรรดินิยมใดๆ ก็แล้วแต่ มันแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ ขี่หลังเสือ โอกาสที่จะลงจากหลังเสือโดยไม่ให้เสือขบหัว ออกจะยากลำบากเอามากๆ มีแต่ต้องห้อตะบึงไปจนทั้งเสือทั้งคนขี่หมดเรี่ยว หมดแรง โทรมลงไป ด้วยกันทั้งคู่...
     
โดยเฉพาะถ้าหากชาติพันธมิตรรายสำคัญในตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบีย ที่ไม่เพียงแต่หวังจะให้สหรัฐบุกซีเรียเท่านั้น แต่ยังหวังให้ลุยทะลุไปถึงอิหร่าน ไปทุบโรงงานนิวเคลียร์ ไปลดอิทธิพลของพวกอิหม่ามชีอะห์ที่เป็นหอกข้างแคร่ของพวกสุหนี่และลัทธิวาฮ์ฮะบีมาโดยตลอด เกิดความรู้สึกถึง ความเสื่อม เหล่านี้ ความเป็นจักรวรรดินิยมของสหรัฐ ก็อาจต้องเจอกับภาวะแบบที่นาย ชาร์ลส์ ดับเบิลยู ฟรีเมน อดีตเอกอัคราชทูตสหรัฐประจำซาอุดีอาระเบีย และอดีตประธานสภานโยบายด้านตะวันออกกลาง (Middle East Policy Council) เคยตั้งเป็นข้อสังเกตเอาไว้ว่า... “สิ่งสำคัญที่ประเทศซาอุดีอาระเบียได้สร้างเอาไว้อย่างชนิดต้องจดจารึกเป็นประวัติศาสตร์ ก็คือการยืนหยัด ยืนกราน ที่จะซื้อขายน้ำมันของพวกเขาด้วยเงินสกุลดอลลาร์ เพราะฉะนั้นรัฐบาลของเรา จึงยังคงสามารถพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาซื้อน้ำมันได้เรื่อยๆ โดยอาศัยความได้เปรียบที่ประเทศอื่นไม่ได้มีเหมือนเรา แต่ด้วยการปรากฏตัวขึ้น มาของเงินสกุลอื่น และด้วยสัมพันธภาพอันตึงเครียด (หรือด้วยความเสื่อม) ระหว่างเรากับประเทศนี้ ซึ่งนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...ผมกังวลว่า ในอีกไม่นานไม่ช้า พวกเขาอาจไม่คิดที่จะทำสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อประชาชน (หรือรัฐบาล) ในซาอุดีอาระเบีย ต่างร้องถามขึ้นมาว่า...ทำไมเราจะต้องใจดีกับพวกอเมริกันถึงขนาดนั้น...”
   
พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากรัฐบาลซาอุฯ ที่เคยหวังจะอาศัยไหว้วานให้จิ๊กโก๋อย่างสหรัฐไปช่วยถีบใครต่อใคร เกิดความรู้สึกว่ารัฐบาลสหรัฐชักใจไม่ถึง หรือไม่มีบารมีพอที่จะคุมปากซอย ท้ายซอย ได้อีกต่อไป แทนที่จะยอมเป็นมือ เป็นตีน  ให้กับอภิมหาอำนาจสูงสุดรายนี้ต่อไปเรื่อยๆ มันก็อาจก่อให้เกิดความคิดใหม่ๆ แบบที่นาย วิลเลียม อิงดาลห์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “A Century of War: Anglo American Oil Politic and the New World Oder” ได้เคยสรุปเอาไว้ว่า “พวกประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซีย) ต่างรู้สึกเต็มกลืนมานานเต็มที สำหรับการกำหนดราคาน้ำมันของตัวเองเป็นเงินสกุลดอลลาร์ และเริ่มคิดว่าหากยังมัวหวาดกลัวต่อการเผชิญหน้า การตอบโต้ แก้เผ็ด จากสหรัฐ พวกเขาก็คงต้องขาดทุนต่อไปเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่มีแต่จะอ่อนลงๆ เมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่น และเมื่อเทียบกับทองคำ...” ข่าวลือในช่วงเดือนตุลาคมปี ค.ศ.2009 ว่าด้วยกรณีที่บรรดาผู้นำของกลุ่ม ประเทศอ่าวฯ ไม่ว่าจะเป็นซาอุฯ บาห์เรน โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้จัดการประชุมอย่างลับๆ ร่วมกับรัสเซีย จีน รวมทั้งญี่ปุ่น เพื่อที่จะหารือถึงความเป็นไปได้ ในการเปลี่ยนระบบการซื้อ-ขายน้ำมันโดยใช้เงินดอลลาร์ เป็นหน่วยชำระทางบัญชี มาเป็นการใช้ระบบตะกร้าเงินกันแทนที่ มันอาจกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!

และถ้าหากมันเป็นจริงขึ้นมาตามนั้น...นั่นย่อมทำให้อนาคตของเงินดอลลาร์สหรัฐย่อมต้องเป็นไปตามที่ผู้ปล่อยข่าวลืออย่าง นาย โรเบิร์ต ฟิกส์ นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษที่คลุกคลีอยู่ตะวันออกกลางมานานกว่า 30 ปี ได้จั่วหัวเอาไว้ในรายงานในหนังสือพิมพ์ ดิอินดิเพนเดนต์ นั่นแหละว่า The Demise of the Dollar หรือ อวสานของเงินดอลลาร์ และนั่นอาจทำให้เกิด ฉากสถานการณ์จำลอง อย่างที่ศาสตราจารย์  อัลเฟรด แมคคอย แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ได้วาดเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า  “เงินดอลลาร์ที่เคยแพร่สะพัดไปยังซีกโลกต่างๆ จะหวนกลับมาสู่ประเทศเป็นสายๆ และด้วยค่าเงินเท่าที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในมือชาวอเมริกันแต่ละราย จะถูกนำไปใช้เพื่อแลกมากับน้ำมันแค่ไม่กี่ลิตร และแล้วระบบเศรษฐกิจทั้งระบบของอเมริกาจึงถึงกาลอัมพาต เมื่อการทะเลาะเบาะแว้งกับชาติพันธมิตรสิ้นสุดลง พร้อมๆ กับแรงกดดันอันท่วมทับปานขุนเขา ท้ายที่สุด...กำลัง ทหารสหรัฐที่เคยกระจัดกระจายอยู่ทุกซีกโลก ก็จะต้องถอนกำลังกลับมาอย่างเงื่องหงอย และอีกไม่กี่ปีนับจากนั้น จักรวรรดิอเมริกาอันเคยมั่งคั่ง ยิ่งใหญ่ มาหลายต่อหลายศตวรรษ ก็จะตกอยู่ในภาวะล้มละลาย เข็มนาฬิกาแห่ง ศตวรรษของชาวอเมริกันเคลื่อนสู่ช่วงเวลาเที่ยงคืน...”
   
ด้วยเหตุนี้...ถ้าไม่ต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปในรูปนี้ สุดท้าย...ไม่ว่าจะโดยรัฐสภาหรือโดยตัวประธานาธิบดี อเมริกาคงหนีไม่พ้นที่จะต้องหาทางบุกซีเรียจนได้ แต่บุกแล้วมันจะทำให้สถานการณ์ของตัวเองดีขึ้น หรือเลวลง นั่นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...มันย่อมส่งผลให้สถานการณ์ของโลกทั้งโลกมีแต่ต้องเลวร้ายตามไปด้วย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย เพราะไม่เคยมี สงคราม ใดๆ ในโลกนี้ที่มันสามารถนำมาซึ่ง สันติภาพ อันมั่นคง ยั่งยืนถาวร  มีแต่ยิ่งนำมาซึ่งสงครามอันไม่รู้จักจบจักสิ้น จนทำให้คำว่าสันติภาพมีความหมายไปในทำนองที่  ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านได้ให้คำนิยามเอาไว้นั่นแหละว่า “คือสันติภาพเพื่อเตรียมการรบครั้งใหญ่ ยิ่งยืดเวลาออกไปยาวนานเพียงใด ก็ยิ่งจะมีการรบใหญ่ตามมาเบื้องหลัง...เพียงนั้น...”

 ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Plato (อีกครั้ง)... “Only the dead have seen the end of war.- มีแต่คนตายเท่านั้น ที่มีโอกาสได้เห็นอวสานแห่งสงคราม...”

ที่มา.ไทยโพสต์
//////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น