--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำไมราคาน้ำมันส่งออกจึงถูกกว่า ราคาน้ำมันที่ขายในประเทศ !!??

คำถามหนึ่งซึ่งค้างคาใจสังคมไทยมากก็คือ ทำไมราคาน้ำมันที่ส่งออกไปขายต่างประเทศ จึงถูกกว่าราคาน้ำมันที่โรงกลั่นน้ำมันขายในประเทศ

ก่อนที่จะทำความเข้าใจในปัญหานี้ได้อย่างลึกซึ้ง คงต้องย้อนประวัติศาสตร์ไปถึงการเริ่มต้นส่งเสริมให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยกันก่อน

ในอดีตก่อนที่รัฐบาลจะเปิดให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่น น้ำมันในประเทศไทย เราต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดและ ทุกลิตรจากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศสิงคโปร์

ต่อมาเมื่อเรามีนโยบายส่งเสริมให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นฯ ในประเทศไทยเพื่อทดแทนการนำเข้า ก็ได้มีการกำหนด สูตรการตั้งราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นให้อ้างอิงราคาน้ำมันในตลาด สิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายน้ำมันที่เป็นสากล ได้รับการยอมรับและอ้างอิงกันไปทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบเอเชีย

และเพื่อให้นักลงทุนมีแรงจูงใจในการมาลงทุนสร้างโรง กลั่นฯ ในประเทศไทย โดยมั่นใจว่าผลตอบแทนการลงทุน จะไม่ต่ำกว่าการตั้งโรงกลั่นในประเทศสิงคโปร์ (เพราะความ สะดวกในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ กฎระเบียบพิธีศุลกากร ของเราสู้สิงคโปร์ไม่ได้ และค่าขนส่งน้ำมันดิบมายังประเทศไทยก็แพงกว่าสิงคโปร์ด้วย) จึงให้มีการบวกค่า ขนส่งจากสิงคโปร์มายังประเทศไทย ลงไปในสูตรราคาหน้าโรงกลั่น ด้วยเป็นราคาอ้างอิงการนำเข้า (Import Parity)

นี่คือ ที่มาที่ไปของสูตรราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของไทยที่ใช้กันมาตั้งแต่มีการส่งเสริมให้มีการสร้างโรงกลั่นในประเทศไทยมาตลอดระยะเวลา 50 กว่าปีที่ผ่านมา

โรงกลั่นน้ำมันที่สร้างขึ้นในระยะแรกๆ นั้นไม่ได้เป็นการ ลงทุนของผู้ประกอบการเพียงรายใดรายหนึ่งเท่านั้น แต่เป็น การร่วมทุนของผู้ค้าน้ำมันหลายรายมาลงทุนร่วมกัน และเมื่อ กลั่นน้ำมันได้เท่าไร ผู้ค้าน้ำมันที่เป็นผู้ลงทุนร่วมกัน ก็รับน้ำมันไปจำหน่ายตามสัดส่วนการถือหุ้นของแต่ละบริษัท ตามราคา หน้าโรงกลั่นที่ได้ตกลงกันไว้เป็นสูตรดังที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น (ซึ่งราคาก็มีการปรับขึ้นลงตามราคาในตลาดโลก โดยมีการแจ้งราคาหน้าโรงกลั่นทุกวัน)

ในระยะแรก โรงกลั่นฯ ในประเทศยังมีจำนวนไม่มากนัก การกลั่นน้ำมันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โรงกลั่นฯ กลั่นน้ำมันได้เท่าไรก็ขายในประเทศหมด

ต่อมาในปีพ.ศ.2535 รัฐบาลได้มีนโยบายเปิดเสรีโรงกลั่นน้ำมันและได้มีการสร้างโรงกลั่นฯ ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นในประเทศ ไทยอีกสองแห่ง ทำให้มีกำลังการกลั่นเกินความต้องการภายใน ประเทศ ประกอบกับประเทศไทยประสบกับภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจในปีพ.ศ. 2540 จึงทำให้ความต้องการน้ำมันในประเทศ ลดต่ำลง โรงกลั่นฯ จึงต้องหันไปพึ่งพาตลาดส่งออก เพื่อระบาย น้ำมันส่วนเกินออกไปขายยังตลาดต่างประเทศ

แน่นอนว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ส่วนเกินความต้องการในประเทศออกไปขายต่างประเทศนั้น ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของการสร้างโรงกลั่นฯ ในประเทศไทย เพราะเราสร้างโรงกลั่นฯ มาเพื่อทดแทนการนำเข้าไม่ได้สร้างมาเพื่อการส่งออกเหมือนอย่าง โรงกลั่นฯ ในประเทศสิงคโปร์

ดังนั้น เมื่อต้องส่งออกน้ำมัน เราก็ต้องไปแข่งขันกับสิงคโปร์ที่มีความได้เปรียบเราในทุกด้าน และเป็นผู้ครองตลาดอยู่ก่อน แล้ว ถ้าเราต้องการขายให้ได้ เราก็ต้องลดราคาลงมาเพื่อ แข่งขันกับสิงคโปร์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะขายถูกกว่าราคา ในประเทศไปเสียทั้งหมด ในบางตลาดที่เรามีความได้เปรียบด้าน การขนส่ง เช่น ลาว กัมพูชา เราก็ขายราคาแพงกว่าราคาหน้าโรงกลั่น ยกเว้นบางตลาดที่เราเสียเปรียบด้านการขนส่งทางเรือเท่านั้นที่เราต้องตัดราคาลงมาเพื่อแข่งขันกับสิงคโปร์

ซึ่งเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการค้าระหว่างประเทศ ที่ราคาส่งออกนั้นมีทั้งราคาถูกและราคาแพง มีทั้งราคาที่สูงกว่าที่ขายในประเทศ หรือบางกรณีก็ต่ำกว่าราคาขายในประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่เรามีสินค้าส่วนเกินเหลือมากๆ และต้องระบายออกอย่างรวดเร็ว อย่าง เช่น ข้าว เป็นต้น

ว่าที่จริงแล้วมีสินค้าหลายชนิด ที่ราคาขายส่งออกถูกกว่าราคาขายในประเทศ อย่างเช่น ข้าว มันสำปะหลัง น้ำตาล และปาล์มน้ำมัน เป็นต้น

นอกจากเหตุผลในเรื่องของการผลิตเกินความต้องการจน ต้องส่งออก และต้องไปแข่งขันราคากับคู่แข่งแล้ว ยังมีเหตุผล อื่นๆ อีกที่ทำให้บางครั้งผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกมีราคาถูกกว่าราคาที่ขายในประเทศ คือ

1.น้ำมันที่ส่งออกมีคุณภาพไม่เหมือนกับน้ำมันที่ขายภาย ในประเทศ โดยน้ำมันที่ขายในประเทศไทยมีคุณภาพสูงกว่า เพราะ รัฐบาลกำหนดมาตรฐานเอาไว้สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น น้ำ มันเบนซินและดีเซลของเราต้องได้มาตรฐานยูโร 4 และต้องมีเปอร์เซ็นต์ซัลเฟอร์ต่ำเป็นพิเศษ ในขณะที่ของประเทศเพื่อนบ้านเราบางแห่งไม่ได้มีมาตรฐานสูงขนาดนั้น

ดังนั้น เราจึงต้องทำน้ำมันคุณภาพต่ำไปขายแข่งกับเขา หรือ ถ้าไม่อยากทำน้ำมันคุณภาพต่ำไปขายแข่ง ก็ต้องลดราคาน้ำมันคุณภาพดีของเราลงมาให้แข่งขันกับเขาให้ได้

2.การส่งออกน้ำมันไปขายต่างประเทศมีต้นทุนที่ถูกกว่าขาย ในประเทศเพราะตัดค่าใช้จ่ายบางอย่างได้ เช่น การสำรองน้ำมัน ตามกฎหมาย ทำให้ลดราคาลงได้

3.ตลาดส่งออกถือเป็นตลาดซื้อขายที่ไม่มีความแน่นอน (Spot Market) ไม่มีสัญญาซื้อขายกันเป็นระยะยาว โรงกลั่นฯ ไม่ถูกผูกมัดว่าจะต้องขายให้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ด้าน ราคา ปริมาณน้ำมันของโรงกลั่นฯ และความต้องการน้ำมัน ในตลาดโลกและตลาดในภูมิภาคที่มีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ราคาที่ซื้อขายกันเป็นราคาตลาดจร (spot price) ตกลง กันเป็นครั้งๆ ไป ราคามีการเปลี่ยนแปลงกันทุกวัน

ส่วนการขายในประเทศ โรงกลั่นฯ มีข้อตกลงทำสัญญากับ ผู้ซื้อในระยะยาว และมีสูตรราคาอ้างอิงเป็นตัวกำหนด โรงกลั่นฯ ต้องสำรองน้ำมันให้พอเพียงกับความต้องการของผู้ซื้อตามสัญญาตลอดเวลา (แต่ถ้าผู้ซื้อซื้อครบตามสัญญาแล้ว และโรงกลั่นฯ ยังต้องการขายเพิ่มอีก ผู้ซื้อก็สามารถซื้อในราคาที่ มีส่วนลด ซึ่งในบางครั้งอาจจะถูกกว่าราคาที่โรงกลั่นฯ ส่งออกเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งผู้ซื้อจะไปลดราคาขายปลีกให้กับประชาชนหรือไปทำรายการส่งเสริมการขายก็แล้วแต่แผนการตลาด ของแต่ละบริษัทไป)

ดังนั้น เมื่อเอาราคามาเปรียบเทียบกันจึงอาจมีความลักลั่นกันได้บ้าง ตามสถานการณ์ของตลาดน้ำมันในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป

4.การส่งออกไม่ใช่ธุรกิจหลักของโรงกลั่นฯ ดังนั้น การ ระบายน้ำมันออกได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเก็บสินค้าไว้เป็นเวลานาน สิ้นเปลืองเนื้อที่คลังน้ำมันและถังเก็บน้ำมัน อีกทั้งยังทำให้กลั่นน้ำมันได้เต็มกำลังการผลิตตลอดเวลา ย่อมเป็นผลดีต่อการบริหารต้นทุนสินค้ามากกว่า

ดังนั้น ถ้าจะต้องส่งออกในราคาที่ต่ำลงไปบ้าง ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในเชิงธุรกิจ และเป็นหลักของการบริหาร ธุรกิจที่ทำกันอย่างนี้ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจดีว่า ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นกติกา สากลและเป็นเรื่องธรรมดาของการทำธุรกิจ ซึ่งเป็นไปตามกลไกการตลาด แต่ก็คงมีหลายท่านทำใจไม่ได้ และรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมที่คนไทยต้องซื้อน้ำมันแพงกว่าคนต่างชาติ (ในบางครั้ง) และคงอยากรู้ว่าจะทำให้ราคาขายในประเทศและ ราคาส่งออกมันเท่ากันได้ไหม

คำตอบคือ ทำได้ครับ นั่นก็คือการปรับสูตรราคาหน้าโรงกลั่นเสียใหม่ ให้อ้างอิงราคาส่งออก (Export Parity) แทนที่ จะอ้างอิงราคานำเข้า (Import Parity) ก็จะทำราคาขายในประเทศลดลงได้ประมาณ 50-75 ส.ต./ลิตร

แต่ปัญหาในระยะยาวที่จะเกิดขึ้นคือ การลงทุนในธุรกิจโรงกลั่นฯ ในประเทศไทยจะไม่น่าสนใจอีกต่อไป (จาก ปัจจุบันก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะลงทุนกันอยู่แล้ว) ในขณะที่ความต้องการน้ำมันของไทยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็จะต้องกลับไปนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์เหมือนในอดีต ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อประเทศชาติมากกว่า

ข้อสำคัญแก้แล้ว ราคาส่งออกก็จะยังถูกกว่าอยู่ดี (ใน บางกรณี) เพราะผมบอกแล้วไงว่ามันเป็นการแข่งขันตามกลไก ตลาด ถ้าเราอยากขาย เราก็ต้องสู้ราคา

สู้พยายามทำความเข้าใจในเหตุผลและความเป็นจริงทางธุรกิจน่าจะดีกว่านะครับ !!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น