กมธ.การเงินวุฒิสภา เผยรายงานสอบรัฐบาลยิ่งลักษณ์ครบ 1 ปี ทำ 10 โครงการประชานิยมสร้างภาระการคลังกว่า 5.4 แสนล้านบาท
คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ที่มีนายวิทวัส บุญญสถิ่ตย์ ส.ว.สรรหา เป็นประธานกรรมาธิการฯ ได้จัดทำรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “ความห่วงใยนโยบายประชานิยม ต่อหนี้สาธารณะสาธารณะของประเทศ" และมีการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภาเพื่อรอพิจารณา
สำหรับสาระสำคัญของรายงานดังกล่าวเป็นการศึกษาและติดตามนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่มีผลกระทบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ตามที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2554 โดยในรอบ 1 ปีแรกของการเข้ามาบริหารประเทศ สรุปได้ว่า การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตการณ์ต่างๆ อาทิ ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ออกพ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ.2555 วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมกับเงินที่ใช้ไปในโครงการประชานิยมต่างๆ ทำให้นโยบายการคลังของรัฐบาลเข้าสู่ทางตัน จึงต้องหันไปพึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุนอยู่บ่อยครั้งซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นว่านโยบายการคลังใกล้หมดประสิทธิภาพ
สำหรับโครงการประชานิยมที่มีเป้าหมายเน้นไปยังเพิ่มโอกาสให้คนจนเข้าถึงแหล่งทุนอาทิ การพักชำระหนี้และปรับลดอัตราดอกเบี้ยใหแก่เกษตรกร เป็ฯเวลา 5-10 ปี, การปรับโครงสร้างหนี้วงเงินเกิน 0.5-1 ล้านบ้าน ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 3 ต่อปี หรือออกบัตรเครดิตชาวนา ทำให้มาตรการทางการคลังมีข้อจำกัดและกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมหภาค ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้นโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุน และลดหนี้ภาคครัวเรือน ขณะที่นโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอัตราเดียวทั่วประเทศ 300 บาทต่อวัน แม้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำแต่มีผลเข้าไปแทรกแซงการประกอบธุรกิจของเอกชน ส่งผลให้มีการบิดเบือนกลไกตลาด ทำให้เกิดต้นทุนการผลิตที่สูงและกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศระยะยาว เพราะการเพิ่มค่าแรงเป็นวันละ 300 บาทท ตามผลการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า จะทำผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงานจำนวนมาก มีกำไรลดลงร้อยละ 35 ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีกว่าร้อยละ 98 ของผู้ประกบการทั้งหมดได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
นอกจากนั้นการใช้นโยบายประชานิคมได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของประเทศ เพราะระบบเลือกตั้งที่คำนึงถึงเฉพาะการได้มาซึ่ง ส.ส.จำนวนมากเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ แทนการคำนึงถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่จะทำให้เกิดความไม่สมดุลของระบอบการเมืองการปกครองด้วย
ทั้งนี้กรรมาธิการฯ ได้มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลโดยมีประเด็นที่สำคัญ คือ ช่วงที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงกับวิกฤษเศรษฐกิจโลก ทำให้ไทยไม่สามารถพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศได้ ดังนั้นเมื่อรัฐบาลจะใช้นโยบายประชานิยมต้องมีการวางยุทธศาสตร์เพื่อรองรับและต้องสนับสนุนการบริหารเศรษฐกิจมหภาคด้วย คือ 1.ต้องสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนต่อเศรษฐกิจไทยและต้องกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือน ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องใช้จ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนำร่องไปก่อน เช่น การใช้จ่ายเงินเพื่อระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อสร้างอนาคตของประเทศ ทำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนจากภาครัฐกับภาคเอกชน 2.นโยบายประชานิยมต้องรักษาเสถียรภาพทางการคลังและเศรษฐกิจ เช่น การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 ในแง่ดีถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แง่ลบคือการลดความสำคัญของภาษีอากรที่เป็นเครื่องมือทางการคลังในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 3.การใช้จ่ายในโครงการประชานิยมต้องเหมาะสมกับสถานการณ์และกลุ่มเป้าหมาย 4.นโยบายประชานิยมต้องสนับสนุนการออมของประเทศ เพื่อเป็นการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
กรรมาธิการฯ ยังได้สรุปนโยบายประชานิยมรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ กับภาระทางการคลัง ในรอบปีแรกของการบริหารราชการแผ่นดิน 1.ลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก มีผลตั้งแต่ 22 ก.ย. 54 - 31 ธ.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท , 2.คืนภาษีรถยนต์คันแรก มีผลตั้งแต่ 16 ก.ย.54 - 31 ธ.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 3 หมื่นล้านบาท , 3.ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 และเหลือร้อยละ 20 ในปี 2556 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 5.2 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณ 2555 , 4.ลดภาษีน้ำมันดีเซล มีผลตั้งแต่ 21 ส.ค.54- ก.ย.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 9,000 ล้านบาทต่อเดือน , 5.ปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างของทางราชการที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี เป็น 15,000 บาท มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1.8 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2555 และ 2.3 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2556
6.แจกแท็บเล็ตฟรี ให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีผลตั้งแต่เดือนต.ค.2555 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1,600 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2555 และจำนวน 1,200 บาทในปีงบประมาณ 2556, 7.พักชำระหนี้เกษตรกร ที่มียอดเงินกู้ค้างชำระ 5แสนบาท มีผลตั้งแต่ 1 ก.ย.55 - 31 ส.ค. 58 โดยรัฐบาลใช้งบสนับสนุนปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ทางปฏิบัติรัฐบาลและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องจะรับภาระ 50:50 แต่ในที่สุดคาดว่ารัฐบาลจะชดเชยความเสียหายให้แก่สถาบันการเงินโดยลำพัง 8.โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ช่วงทำโครงการ 7 ต.ค. 54 -15 ก.ย.55 มีประมาณการค่าใช้จ่าย 3 แสนล้านบาทหรือร้อยละ 2.6 ของจีดีพีในปี 2555 ทั้งนี้จำนวนภาระทางการคลังจะเพิ่มขึ้นตามราคาข้าวที่รัฐบาลจะขายได้
9.การปรับเพิ่มขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.55 ภาระทางการคลังภาคธุรกิจเอกชนเป็นผู้รับภาระโดยตรง และ 10.กองทุนพัฒนาสตรี เปิดรับสมัครตั้งแต่ 18 ก.ย. 55 ภาระทางการคลัง อยู่ที่จังหวัดละ 100 ล้านบาทรวมเป็นเงิน 7,700 ล้านบาท โดยรวมเป็นเงินที่ประเมินภาระทางการคลังได้ จำนวน 544,300 ล้านบาท
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น