--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

จากทศวรรษที่สูญเสีย สู่แผน กู้ฟื้นประเทศ !!??

ผ่านไปเกินครึ่งทางแล้ว สำหรับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ "พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท" ที่รัฐบาล-ฝ่ายค้านได้เปิดเกมเดือดบนเวทีสภาผู้แทนราษฎร ในการอภิปรายวาระที่ 2 และเตรียมวางคิว "โหวต" เพื่อให้ความเห็นชอบในวาระ 3 ต่อไป

กระนั้นแล้ว การต่อสู้ในเวทีสภาฯ คงไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับขับเคลื่อนเกม "นอกสภา" ที่หลังจากผ่านสภาฯ วาระ 2-3 ไปแล้ว ก็คงถึงคิว "จองกฐินรัฐบาล" ที่จะมีคนไปรอยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ร่างพระราชบัญญัติกู้เงินฉบับนี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่..

สำหรับการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ถือเป็นการกู้เงินก้อนใหญ่ที่สุดของประเทศ และเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศไทยไม่มีการพัฒนามานานแล้ว โดยที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามชี้ให้เห็นว่า การ ลงทุนครั้งนี้จะเป็นการ "สร้างอนาคต" ให้กับประเทศไทยเพื่อเป็นศูนย์กลางอาเซียน ได้อย่างแท้จริง

โดยสาระสำคัญใน "พ.ร.บ.เงินกู้" จะมีระยะเวลา 7 ปี (2556-2563) มีกรอบ การลงทุนครอบคลุม 5 ด้าน กอปรไปด้วย 1.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งด้วยระบบราง 1,185,692 ล้านบาท 2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่ง ทางบก 429,794 ล้านบาท 3.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งทางน้ำ 126,435 ล้านบาท 4.การพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานระบบขนส่งทางอากาศ 66,989 ล้านบาท 5.โครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นๆ 392,786 ล้านบาท ส่วนแหล่งเงินที่จะ ใช้ในการลงทุน "รัฐบาล" จะมุ่งเน้น "กู้เงินภายในประเทศ" เป็นหลัก หรือคิดเป็น 91%

ขณะเดียวกันมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ประเมินว่า ภาระหนี้ตาม พ.ร.บ.ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน รวม พ.ร.บ.เงินกู้เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัย 3.5 แสนล้านบาท และโครงการอื่นๆ รวมกันแล้ว สัดส่วนหนี้ สาธารณะคงค้างต่อจีดีพี จะเพิ่มสูงขึ้นจาก 43% ในปี 2555 ไปสูงสุดที่ 51.5% ในปี 2560 ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับที่ "รับได้" โดย พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทฉบับนี้ รัฐบาลคาดหวังไว้อย่างสวยหรูว่าจะช่วยพัฒนาระบบขนส่งของไทยแบบก้าว กระโดด เป็นโอกาสจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ทางด้าน "แกะดำ" ในปีกฝ่ายค้านอย่าง "อลงกรณ์ พลบุตร" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงการตัดสินใจ "กู้เงิน" มาพัฒนาประเทศของรัฐบาลว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในการลงทุนเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานประเทศไทยครั้งใหญ่ เพราะไม่มีการลงทุนในเรื่อง นี้มานานมากแล้ว เนื่องจากวิกฤติการเงิน และการเมือง จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ดี การกู้เงินจำนวนมากนั้นอาจไม่จำเป็นต้องสร้างภาระถึง 2 ล้านล้านบาท เพราะรัฐบาลสามารถออกกองทุน การลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานได้ หรือที่เรียกกันว่า "อินฟราสตรัคเจอร์ ฟันด์" ซึ่งเป็นการลงทุนที่บริษัทเอกชนในประเทศไทยเริ่มให้ความสนใจและมีการตั้งขึ้นมาแล้วคือ "บีทีเอส" ที่ระดมทุนผ่านกองทุนนี้เพียงสัปดาห์เดียว ได้เงินมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท แต่อยากให้รัฐบาลหันมาให้ความ สนใจในการพัฒนาด้านอื่นด้วย อาทิ การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นและนำมาพัฒนาต่อยอด ซึ่งจะเป็นหนทางหนึ่งในการยกระดับประเทศไทยในอนาคต

ขณะที่ "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้โพสต์ เฟซบุ๊กในหัวข้อ "ทศวรรษที่สูญหาย" โดยระบุถึง 10 ปีที่ไทยเสียโอกาสด้านการลง ทุน และความเสียหายมหาศาล

เพราะนับแต่ปี 2548 เป็นต้นมา มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในประเทศไทย เริ่ม ตั้งแต่การประท้วงรัฐบาล การปฏิวัติ การ ชุมนุมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง เกิดมหาอุทกภัย โดยอาจสรุปได้สั้นๆ ดังนี้ รัฐประหาร 1 ครั้ง 7 รัฐบาล + 1 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ 7 พรรค การ เมืองถูกยุบ 1 มหาอุทกภัย ผู้เสียชีวิต 933 ราย (น้ำท่วมและความไม่สงบทางการ เมือง) ผู้บาดเจ็บ 2,200 ราย และความเสียหายมากกว่า 1.7 ล้านล้านบาท จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้สูญเสียเวลาที่มีค่าไปเกือบสิบปี จึงขอเรียกว่าเป็น "ทศวรรษที่หายไป"

"ในช่วงนี้ เราแทบไม่ได้มีการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญหลังจากการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเลย ผมเองคงไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครผิด ใครถูก คงต้องให้คนรุ่นต่อไปมองย้อนกลับมาวิเคราะห์กันอีกที แต่ที่สำคัญตอนนี้ เราคงต้องพยายามเอาสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียน พยายามหาทางอยู่ร่วมกัน ลดความ ขัดแย้ง ร่วมกันเดินหน้า สร้างอนาคตประเทศไทยต่อไป มามองอนาคตร่วมกันดีกว่า ถ้ามองไปในอนาคต นอกเหนือจาก ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรมและการ ส่งออกแล้ว ยังคิดว่าตัวขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยคือ ธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ โดยในช่วงสามปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวของไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ 16.5% และนำรายได้เข้าสู่ประเทศ ปีละ 1.6 ล้านล้านบาท มีการกระจายตัวของเมือง และความเจริญจากกรุงเทพฯ สู่ต่าง จังหวัด การขยายตัวของเมือง การพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าปลีกส่ง ตามเมือง ใหญ่และจังหวัดชายแดน การเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรองรับ AEC รวมถึงการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต และค้าขายกับกลุ่มประเทศอาเซียน การใช้จ่ายในประเทศ การกระตุ้นการลงทุน การสร้างงานและการใช้จ่ายในประเทศ"

"ตัวขับเคลื่อนเหล่านี้ ล้วนเกี่ยวข้อง กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทั้งสิ้น ถ้าโครงสร้างพื้นฐานไม่ดี ก็มีปัญหาต่อเนื่องไปถึงการท่องเที่ยว การกระจายตัวของเมือง การเชื่อม โยงกับเพื่อนบ้าน นอกจากนั้น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ก็เป็นตัวกระตุ้นสำคัญสำหรับการใช้จ่ายในประเทศ เพราะก่อให้เกิดการจ้างงาน และใช้วัตถุดิบในประเทศจำนวนมาก"

"ชัชชาติ" ย้ำชัดเจนในจุดยืน คือ "ร่วมกันเดินหน้า สร้างอนาคตประเทศ ไทยต่อไป มองอนาคตร่วมกัน" ทำให้ "ทศวรรษที่หายไป" กลับคืนมา!!

แต่กระนั้น ดูเหมือน "ประชาธิปัตย์" ในฐานะฝ่ายค้านอาชีพ ยังคงประกาศจุด ยืนคู่ขนาน "ไม่เห็นพ้อง" กับโครงการนี้โดยสิ้นเชิง และเตรียมพร้อมจะโค่นล้ม "กฎหมายร้อน" ฉบับนี้ในทุกรูปแบบ

จะเห็นได้จากการประชุมสภาผู้แทน ราษฎรในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท "วาระที่ 2" นับตั้งแต่วันที่ 19-20 กันยายนเป็นต้นมา "ประชาธิปัตย์" ยังคงยึดแนวทางเดียวกับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นั่นก็คือ ดึงเกมยื้อเวลาและปั่นป่วน ให้มากที่สุด โดยให้ลูกหาบในค่าย ประชาธิปัตย์ ที่ร่วมแปรญัตติไว้ 115 คน จองกฐินถล่มรัฐบาลแทบจมกระเบื้อง!

ไม่ใช่แค่รายมาตรา หากแต่จะลงรายละเอียด ชนิดทุกถ้อยคำ ทุกตัวเลขทุกแผนงาน ทุกโครงการ และทุกยุทธศาสตร์ ลากยาวไปถึงบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ. ที่ได้กำหนดกรอบแต่ละยุทธศาสตร์ว่ามีรายละเอียดอย่างไร และวงเงินเท่าไหร่ อีกทั้ง ส.ส.ประชาธิปัตย์ ยังขอใช้สิทธิแปรญัตติปรับลดในรายละเอียด แบบถี่ยิบ

และที่เป็นไฮไลต์ ก็คือ การอภิปราย ชี้เป้าว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ที่ระบุไว้ว่า "การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณ รายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประ-มาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประ-มาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง..."

ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำให้ พ.ร.บ. นี้ไม่ชอบธรรมแล้ว ยังเป็นการปูทางที่จะนำไปสู่การส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

มันย่อมถือเป็นการ "ทิ้งไพ่" ใบสุดท้ายของประชาธิปัตย์ โดยหวังพึ่งพิง "องค์กรอิสระ" ให้เป็นกลไกขัดขวางกระบวนการของฝ่ายนิติ บัญญัติ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
--------------------------------------------------------

ตัวแปรการเมืองอะไรบ้าง บ่งชี้สถานการณ์ ศก.ไทย 56-57 รอดหรือร่วง !!??

ก้าวสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 ที่ต้องบอกว่าสถานการณ์การเมืองไทยกลับมาขมึงเกลียวอีกครั้งกับข้อขัดแย้งในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยที่มาสว.และที่จะเกิดขึ้นในระยะต่อไปก็คือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่จะกลับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา วาระ 2 ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ขณะที่สัญญาณด้านเศรษฐกิจปลายปีที่เชื่อว่าน่าจะดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่านาทีนี้ยังคงสั่นคลอนด้วยแรงกดดันด้วยบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน

ข้อพิจารณาสำคัญก็คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนที่กระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคส่งออก รวมถึงภาวะค่าครองชีพที่ตรึงตัวของผู้มีรายได้น้อยกลับไม่ทำให้รัฐ บาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยี่หระกับการให้ความสำคัญมากกว่าการทะลุทะลวงในเรื่องการแก้ปัญหาการเมืองให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

เมื่อดูตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างการส่งออกพบว่า ช่วงม.ค.– ส.ค.56 มูลค่าการส่งออก ประมาณ 4.6 ล้านลบ. ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ร้อยละ 3.0 ขณะที่มูลค่านำเข้า ประมาณ 5.2 ล้านลบ. ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ร้อยละ 0.9  ทำให้ในรอบ 8 เดือนของปี 2556 ไทยต้องขาดดุลการค้ามูลค่าสูงถึงประมาณ 6.04 แสนลบ.เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียว กันของปี 2555  ที่ขาดดุลการค้ามูลค่าประมาณ 5.2 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 18.3  ซึ่งศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ  ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ยากที่การส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี 2556 จะเติบโตในช่วงร้อยละ 4-7 ต่อปี และยังมองว่าใน 4 เดือนที่เหลือการส่งออกจะขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 5 ซึ่งจะทำให้การส่งออกไทยในปี 2556 นี้ อาจขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2 ต่อปีเท่านั้น

ส่วนการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนก็ส่งสัญญาณชะลอตัวลงเช่นกัน  จากความกังวลในเรื่องค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เป็นต้นมา อีกทั้งแนวโน้มหนี้ภาคครัวเรือนที่เร่งสูงขึ้นต่อเนื่องจากร้อยละ 60 ของ GDP ในปี 2554 จนปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 75 ของ GDP ทำให้ประเมินเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง จะขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2.1 และทั้งปี 2556 จะขยายตัวที่เพียงร้อยละ 3.1 ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 6.5 ในปีที่ผ่านมา

โดยค่าดัชนีค่าครองชีพประจำเดือนส.ค.56   เทียบเดือนก.ค. 56 ลดลงร้อยละ 0.01    แต่ถ้าเทียบเคียงกับเดือนส.ค.55 พบว่ามีอัตราสูงขึ้นร้อยละ 1.59  และเทียบเฉลี่ยช่วงเดือนม.ค – ส.ค.55  ปรากฎว่าสูงขึ้นถึงร้อยละ 2.47  

ทั้งหมดเป็นสถานการณ์เศรษฐกิจบางส่วนของประเทศที่คนไทยทั้งประเทศรับรู้โดยการใช้ชีวิตประจำวัน ขณะที่ข้าราชการบางคนกลับบอกว่าสินค้าราคาแพงเป็นแค่ความรู้สึก แถมรัฐบาลก็ยังเดินหน้าสนับสนุนประเด็นทางการเมือง อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม โดยไม่ให้น้ำหนักเรื่องปากท้องประชาชน ทั้งๆที่รู้ว่าจะนำไปสู่ข้อขัดแย้ง

ที่มา.ทีนิวส์
////////////////////////////////////////

ธ.ก.ส.เบรกจ่ายเงิน จำนำข้าว ค้างกว่า 3 แสนตัน ห่วงเกินงบ !!??

ธ.ก.ส. สั่งเบรกจ่ายเงินจำนำข้าวให้เกษตรกร หลังพบ อคส.-อ.ต.ก.เร่งออกใบประทวนค้างจ่ายปริมาณข้าวกว่า 3 แสนตัน หวั่นเกินวงเงินที่เหลืออีกประมาณ 4 พันล้าน ส่วนข้าวภาคกลางที่เข้าโครงการไม่ทัน รอ กขช.ตัดสินใจ หากช่วยต้องมีมติ ครม.รองรับ หวั่นมีความผิดโทษฐานทำเกินคำสั่ง คาดต้องใช้เงินอีกหมื่นล้าน

แหล่งข่าวจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังมีเกษตรกรมาขอเบิกเงินในโครงการรับจำนำในฤดูการผลิตปี 2555/56 กับ ธ.ก.ส.อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะปิดโครงการสำหรับพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา โดยพบว่า องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ได้ออกใบประทวนไปแล้วกว่า 3 แสนตัน ทั้งนี้ ธ.ก.ส.คงไม่สามารถจ่ายเงินได้ทุกราย เพราะต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่จะไม่จ่ายเงินให้กับใบประทวนที่ออกหลังวันที่ 15 กันยายน 2556 จึงได้สั่งตัดการเบิกจ่ายเงินแล้วทุกสาขาและกำชับให้พิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งการจ่ายเงินจะต้องใช้รหัสในการเข้าไปสั่งจ่ายเงินและผ่านการอนุมัติจากส่วนกลางเท่านั้น

แหล่งข่าวกล่าวว่าอย่างไรก็ตามขณะนี้ธนาคารได้จ่ายเงินจำนำข้าวไปแล้ว 3.41 แสนล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.45 แสนล้านบาท หรือเหลือเงินอีกเพียง 4 พันล้านบาท มีปริมาณข้าวเข้าโครงการแล้ว 21.6 ล้านตัน จากเป้าหมาย 22 ล้านตัน จึงยังเหลืออีกประมาณ 4 แสนตัน หากปล่อยให้จ่ายเงินทั้งหมดทีเดียว 3 แสนตันคาดว่า จะใช้เงินประมาณ 4 พันล้านบาท ที่เหลือหมดภายในสัปดาห์เดียว และมีความเสี่ยงที่จะเกินวงเงินที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติได้ จึงต้องชะลอการจ่ายเงินไว้ก่อน เพราะยังมีข้าวจากภาคใต้ที่ออกมาช้ากว่าภาคอื่นอีกจำนวนหนึ่ง

ช่วงใกล้จะปิดโครงการ อคส.และ อ.ต.ก.เร่งออกใบประทวนทั้งๆ ที่รู้ว่าปริมาณข้าวใกล้เต็มกรอบที่รับจำนำแล้ว ทำให้ขณะนี้มีใบประทวนค้างอยู่กว่า 3 แสนตัน โรงสีต่างๆ จึงมีการวิ่งเต้นให้การเมืองกดดันให้ ธ.ก.ส.เร่งจ่ายเงิน แต่ธนาคารจำเป็นต้องพิจารณาอย่างเข้มงวดและระมัดระวัง ไม่ทำเกินกว่าที่ ครม.อนุมัติไว้ไม่เช่นนั้นจะมีความผิดในฐานการปฏิบัติงานด้วย" แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวกล่าวว่า ในส่วนของข้าวภาคกลางที่ยังเข้าโครงการไม่ทันและมีการเรียกร้องอยู่นั้น คงต้องรอมติจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ก่อนว่า จะมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือผ่อนผันให้เข้าร่วมโครงการหรือไม่ หากให้เข้าโครงการได้ก็อาจจะใช้เงินอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่ต้องมีมติ กขช.รองรับและนำเข้าสู่การพิจารณาอนุมัติของ ครม.ก่อน ธ.ก.ส.จึงจะดำเนินการเพิ่มเติมได้

ที่มา : นสพ.มติชน
--------------------------------------------------------

คมนาคมพร้อม ลงทุน 2 ล้านล้าน !!??

คมนาคมสั่งทุกหน่วยงาน เตรียมพร้อมแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท เดินหน้าทันทีหลังกฎหมายบังคับใช้ เชื่อทุกโครงการเสร็จตามเป้า

วุฒิสภาจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ ในสัปดาห์นี้ รัฐบาลมั่นใจว่าไม่มีปัญหา และคาดว่าจะประกาศเป็นกฎหมายบังคับใช้ในปีนี้

ก่อนหน้านี้ พรรคประชาธิปัตย์เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา จะทำให้ไม่สามารถทูลเกล้าฯได้ และหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ จะส่งผลให้กฎหมายฉบับนี้ไม่มีผลบังคับใช้

อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคม ถือเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ได้เตรียมดำเนินการทันทีหลังกฎหมายบังคับใช้ โดยจะผลักดันโครงการที่สามารถทำได้ก่อน ในขณะที่ราคาที่ดินในจังหวัดที่มีโครงการรถไฟความเร็วสูงผ่านเริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ราคาที่ดินบางพื้นที่ปรับสูงขึ้นถึง 100%

นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผย "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หากพ.ร.บ.ได้รับความเห็นชอบสามารถดำเนินการได้ทันที

"โครงการที่จะดำเนินการได้ก่อน เช่น งานก่อสร้างทางถนน งานก่อสร้างด่านศุลกากร งานปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณรถไฟ"

นายจุฬากล่าวว่าตามกฎหมายฉบับนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องดำเนินการให้งานแล้วเสร็จภายในกำหนด หากการก่อสร้างไม่เป็นไปตามแผน จะส่งผลกระทบกับโครงการของหน่วยอื่นด้วย เช่น งานก่อสร้างถนนไปยังท่าเรือ เมื่องานก่อสร้างท่าเรือเสร็จสมบูรณ์ งานก่อสร้างถนนเชื่อมท่าเรือต้องแล้วเสร็จด้วยเช่นกัน เพื่อให้สามารถเดินทางเข้าออกท่าเรือได้ หรือหากเป็นกรณีการปรับปรุงรถไฟทางคู่ การก่อสร้างจุดตัดถนนกับรถไฟต้องแล้วเสร็จด้วยเช่นกัน เพื่อให้รถไฟสามารถใช้ความเร็วได้ ทุกหน่วยงานจึงต้องรับผิดชอบงานที่อยู่ในความดูแลให้ดี จะอ้างว่างานไม่เสร็จหรือล่าช้า เพราะงบประมาณเหมือนในอดีตไม่ได้

"การดำเนินโครงการตามพ.ร.บ.เงินกู้จะเป็นชุดโครงการ หน่วยงานผู้รับผิดชอบ จะมีตัวชี้วัดว่างานต้องเสร็จตามกำหนด เพราะในภาพรวมตัวชี้วัด จะมากกว่าที่ตัวเองต้องทำงานในส่วนที่รับผิดชอบ โดยเป้าหมายการดำเนินโครงการภายใต้แผนกู้เงินต้องเริ่มและแล้วเสร็จภายใน 7 ปี การประสานงานและการวางแผนการดำเนินโครงการร่วมกัน จึงจำเป็นและสำคัญมาก สนข.จะร่วมประสานทำความเข้าใจในการทำงานระหว่างหน่วยงาน"

ตั้งเป้ากลางปี2557ประมูลไฮสปีดเทรน

นายจุฬากล่าวว่าโครงการที่ สนข.ต้องเข้าไปช่วยในการทำความเข้าใจค่อนข้างมาก คือ การพัฒนาเมืองตามสถานีรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะมีหลายหน่วยงานดูแล ไม่ว่าจะเป็นกรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งจะทำหน้าที่จัดรูปที่ดินใหม่ เนื่องจากในบางพื้นที่ต้องย้ายสถานีขนส่งให้มาอยู่ใกล้สถานีรถไฟความเร็วสูง เพื่อให้การเดินทางเชื่อมต่อกันได้

ส่วนการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง แม้ต้องใช้เวลาในการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แต่จะไม่มีผลให้งานก่อสร้างอื่นๆ ล่าช้า เพราะเป็นโครงการใหม่ จะเกี่ยวข้องเฉพาะกับโครงการรถไฟ ซึ่งพื้นที่ใดที่ต้องใช้ร่วมกันต้องออกแบบไว้รองรับ โดยการออกแบบจะให้โครงสร้างของรถไฟความเร็วสูงอยู่ด้านบน และรถไฟธรรมดาอยู่ข้างล่าง เมื่อแผนการดำเนินโครงการชัดเจนว่าจะมีรถไฟความเร็วสูงแน่นอน จะออกแบบโครงสร้างเผื่อไว้ได้ ต่างจากการดำเนินงานก่อสร้างสถานีบางซื่อ ซึ่งไม่ได้ออกแบบรองรับรถไฟความเร็วสูงไว้ตั้งแต่แรก จึงต้องปรับแบบก่อสร้างใหม่

สนข.รับผิดชอบศึกษาความเป็นไปได้โครงการรถไฟความเร็วสูง 3 เส้นทาง โดยล่าสุดเส้นทางกรุงเทพฯ-พิษณุโลก อยู่ระหว่างการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา อยู่ระหว่างเตรียมเสนอรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะเสนอได้ประมาณเดือนต.ค.นี้ และเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน จะช้ากว่าเล็กน้อย คาดว่าภายในปีนี้จะเสนอรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้

"โครงการรถไฟความเร็วสูงเป็นงานก่อสร้างตามเขตทางรถไฟเดิม เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากนัก หากจะมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมน่าจะเป็นบริเวณสถานีรถไฟ ตามแผนคาดว่าภายในกลางปี 2557 จะเปิดประกวดราคาคัดเลือกผู้รับเหมา และมีกำหนดเปิดให้บริการภายในปี 2562"

หวั่นท่าเรือปากบาราเจอแรงต้าน

นายจุฬามั่นใจว่าทุกโครงการตามแผนเงินกู้ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้แน่นอน เพราะทุกโครงการมีประโยชน์สามารถลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้ ส่วนโครงการที่จะไม่ได้ก่อสร้างคงเป็นเรื่องการคัดค้านของประชาชน โดยโครงการที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่อาจไม่ได้ก่อสร้างคือโครงการท่าเรือปากบารา

"ประชาชนไม่ได้คัดค้านท่าเรือโดยตรง แต่คัดค้านอุตสาหกรรมที่จะมากับท่าเรือ เพราะกังวลว่าจะมีการย้ายนิคมอุตสาหกรรมจากมาบตาพุดมายังท่าเรือปากบารา ซึ่งรัฐบาลต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน เพราะตามแผนท่าเรือปากบาราจะเหมือนท่าเรือแหลมฉบังที่รับเรือสินค้าเข้าออกเท่านั้น แต่ไม่มีอุตสาหกรรมอื่น"

ขณะเดียวกันมั่นใจว่าเมื่อทุกโครงการเปิดให้บริการต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศจะลดลง 2% ตามเป้าหมาย และประชาชนจะหันมาใช้บริการขนส่งทางรถไฟเพิ่มขึ้น อีกทั้งการกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แน่นอน จะส่งผลให้ผู้ใช้บริการสามารถวางแผนได้ว่าจะเปลี่ยนมาใช้การขนส่งทางรถไฟเมื่อใด รวมทั้งวางแผนว่าจะไม่ทำสัญญาจ้างรถบรรทุกหรือไม่ลงทุนซื้อรถบรรทุกใหม่ให้สอดคล้องกับระยะเวลาดังกล่าว

"ปัจจุบันมีผู้ประกอบการต้องการใช้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟ แต่จากการที่โครงสร้างพื้นฐานไม่สามารถรองรับความต้องการดังกล่าวได้ เพราะมีปัญหาหลายอย่าง เช่น หัวรถจักรและแคร่ไม่เพียงพอ การมีรางเดียวทำให้ต้องเสียเวลารอหลีก แต่เมื่อโครงสร้างพื้นฐานมีความพร้อมจะทำให้การบริการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าทันที"

ทั้งนี้ เมื่อโครงสร้างพื้นฐานทางรางมีความพร้อม ภาครัฐต้องพิจารณาถึงการใช้ประโยชน์จากรางเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นภาค 2 ต่อจากแผนลงทุน โดยเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ ซึ่งอาจต้องแก้ไขกฎหมายให้เอกชนเข้ามาแข่งขันเป็นผู้ให้บริการรถไฟ เพื่อใช้ประโยชน์จากรางที่มีอยู่ได้เต็มประสิทธิภาพ ลักษณะเดียวกับการใช้ถนน ซึ่งภาครัฐเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างถนนและเปิดให้ผู้ขนส่งมาใช้ถนน

ชี้ปัจจัยเสี่ยง'แรงงาน-วัสดุก่อสร้าง'

นายจุฬากล่าวว่าอุปสรรคของโครงการจะเป็นปัจจัยด้านแรงงานและวัสดุก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นหินและทราย ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการ จากการศึกษาพบว่าช่วงเวลา 7 ปี จะมีตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับการก่อสร้างเพิ่มอีก 280,000 ตำแหน่ง ขณะที่วัสดุก่อสร้างไม่เคยต้องจัดเตรียมรองรับงานก่อสร้างที่เริ่มพร้อมกันมากเท่านี้มาก่อน อาจต้องวางแผนให้สัมปทานระเบิดหินหรือขุดทรายเพิ่มขึ้น

ส่วนเรื่องความโปร่งใสในการดำเนินโครงการเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโครงการตามพ.ร.บ.เงินกู้หรืองบประมาณปกติ จึงไม่ถือว่าเป็นปัญหาหรืออุปสรรค แต่เรื่องของแรงงานและวัสดุก่อสร้างจำเป็นต้องวางแผนล่วงหน้า เพราะหากเกิดปัญหาขาดแคลนอาจส่งผลให้โครงการล่าช้าได้ แต่จะไม่ทำให้ต้นทุนการดำเนินโครงการเพิ่มขึ้น เพราะมีการแข่งขัน

นายจุฬามั่นใจว่าในอนาคต หากมีการเปลี่ยนรัฐบาลเชื่อว่าจะไม่ส่งผลให้โครงการตามแผนกู้เงินต้องชะลอหรือยกเลิก เพราะเมื่อโครงการเหล่านี้เป็นที่รับรู้ของประชาชน ประกอบกับประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนโครงการ

"หากรัฐบาลใหม่ไม่ดำเนินการต่อไปหรือคิดโครงการใหม่ น่าจะได้รับการคัดค้านมากกว่าการสนับสนุน การผลักดันให้โครงการแล้วเสร็จย่อมได้รับคะแนนเสียงที่ดี"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
----------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

ดราม่า:รถไฟตกราง 5 ปีมากกว่า 500 ครั้ง !!??

16 กันยายน การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ประกาศหยุดเดินรถไฟสายเหนือ เพื่อเปลี่ยนหมอนรองรางรถไฟจากหมอนไม้เป็นหมอนคอนกรีต ตั้งแต่สถานีรถไฟศิลาอาสน์-สถานีรถไฟ จ.เชียงใหม่ รวมระยะทางราว 300 กิโลเมตร ระหว่างวันที่ 16 กันยายน-31 ตุลาคมนี้

วันเดียวกัน เมื่อเวลา 13.45 น. เกิดเหตุรถไฟขบวนที่ 172 ขาขึ้น สุไหงโก-ลก-กรุงเทพฯ ตกรางจำนวน 4 โบกี้ ระหว่างเข้าจอดชานชาลาที่ 8 ก่อนถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงประมาณ 300 เมตร จนมีการวิจารณ์กันว่า อยู่หัวลำโพงยังตกราง

ก่อนหน้านี้ วันที่ 13 กันยายน เกิดเหตุรถไฟด่วนพิเศษระหว่างประเทศ ขบวนที่ 36 วิ่งระหว่างสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ-กรุงเทพฯ ตกรางระหว่างออกจากสถานีรถไฟบางซื่อ 2 ก่อนถึงสะพานดำข้ามคลองบางซื่อ

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ฟันธงทันทีว่า รถไฟตกรางรายวัน ช่างประจวบเหมาะกับ "พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้าน" กำลังเข้าสภาวันที่ 19-20 กันยายน 2556

"ยิ่งตกบ่อยเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผู้คนเขาเห็นว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จะ "ปรับปรุง" ระบบรางรถไฟ หรือโลจิสติกส์ของไทยเสียที"

ไม่ใช่แค่ชูวิทย์ จะเชื่อเช่นนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถึงกับเตือนรัฐบาลเลยว่า อย่าเอาเหตุรถไฟตกรางบ่อยครั้งมาเชื่อมโยงว่า เหตุทั้งหมด จำเป็นต้องปรับปรุงระบบราง โดยการกู้เงิน 2 ล้านล้าน

นักการ เมืองทั่วๆ ไปอาจเชื่อว่ารถไฟตกรางบ่อยครั้ง เป็นดราม่า ปั่นกระแสเงินกู้ 2 ล้านล้าน แต่หากดูสถิติขบวนรถตกราง ปีงบประมาณ 2552-2556 จะพบตัวเลขที่น่าสนใจ ดังนี้ ปี 2552 จำนวน 94 ครั้ง ปี 2553 จำนวน 96 ครั้ง ปี 2554 จำนวน 113 ครั้ง ปี 2555 จำนวน 86 ครั้ง ปี 2556 จำนวน 115 ครั้ง (ถึงกันยายน)

สาเหตุความเสี่ยง ด้านหลักๆ ในช่วงปี 2552-2556 พบว่า เกิดจากล้อเลื่อน จำนวน 75 ครั้ง เกิดจากสภาพทาง จำนวน 132 ครั้ง เกิดจากผู้ปฏิบัติงาน จำนวน 115 ครั้ง อยู่ระหว่างสอบสวน 119 ครั้ง ตัวเลขดังกล่าวมาจากฝ่ายการช่างกล การรถไฟแห่งประเทศไทย

จากตัวเลขสถิติบอกได้เพียงว่า จำนวนครั้งของรถตกรางเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ยุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนถึงยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และแนวโน้มน่าจะเกิดบ่อยและถี่มากขึ้นเรื่อยๆ

ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) 17 กันยายน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สอบถามกระทรวงคมนาคม ว่า เหตุใดรถไฟจึงตกรางบ่อยครั้ง หากรถไฟสายใดไม่มีประสิทธิภาพให้ปรับปรุง หรือยกเลิกการใช้งาน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

ขณะที่ผู้ รับผิดชอบโดยตรง คือ นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยความรู้สึกภายในว่า ตลอดเวลาเกือบ 9 เดือนที่เข้ามาทำงานได้ประกาศตั้งแต่วันแรกว่าไม่มีก๊ก ไม่มีฝ่าย ไม่มีแบ่งกลุ่ม มีแต่ ร.ฟ.ท. อย่างเดียว โดยวางเป้าหมายที่จะกลับไปสู่จุดที่เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย

"หากใครมีการแบ่งพวกพ้องก็จะต้องมีปัญหา และพร้อมจะดำเนินการปรับโยกย้ายทันที และตั้งแต่เข้ามาทำงานใน ร.ฟ.ท. ได้ประกาศไว้ว่า มาคนเดียว มาทำงานแบบไม่มีพวกพ้อง และเชื่อใจในพนักงานทุกคน ถือว่าทุกคนมีเกียรติ และให้คะแนนทุกคนเต็ม จะไม่ทำงานแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่า ขอให้ทุกคนทำงานให้กับองค์กรอย่างเต็มที่ แต่หากคะแนนใครลดลงก็พร้อมจะโยกย้ายเปลี่ยนแปลง" ผู้ว่าการการรถไฟฯ กล่าว

ในประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ สายเหนือ และผู้ที่เกี่ยวข้องในการซ่อมทางรถไฟสายเหนือ ที่แขวงการบำรุงทางลำปาง นายประภัสร์ กล่าวให้สัมภาษณ์สื่อว่า เมื่อปิดซ่อมทางบริเวณนี้แล้วเสร็จจะมีการตกรางอีกไม่ได้ หากตกต้องมีคนรับผิดชอบ ซึ่งตนต้องเป็นคนแรก และพร้อมลาออกหากซ่อมเสร็จแล้วยังมีรถไฟตกรางในพื้นที่ซ่อมอีก เพราะประชาชนคงรับไม่ได้แน่นอน

ประโยคทองของนายประภัสร์ แสดงถึงความรับผิดชอบในฐานะผู้บริหารเต็มร้อย แต่คนในการรถไฟฯ ฟันธงว่า นายประภัสร์ ได้ลาออกแน่ๆ เพราะความเสี่ยงและโอกาสรถตกราง ยังเกิดได้อีกเรื่อยๆ ตราบใดที่ใครๆ โดยเฉพาะนักการเมืองก็เอาแต่กระทืบรถไฟไทยจนติดดิน แต่ไม่คิดเรื่องการพัฒนาอย่างเป็นระบบ

เมื่อไม่นานมานี้ "พันศักดิ์ วิญญรัตน์" ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี กล่าวกับ "มติชนทีวี" ว่า ผมถึงบอกสงสารรถไฟกันบ้าง อย่าไปกระทืบรถไฟกันนัก บ่นกันอยู่นั่น ขนาดเป็นแบบนี้ ลูกค้ายังมี แล้วคิดดู ลองทำระบบให้ดีขึ้น ให้เครื่องไม้เครื่องมือรถไฟทำงาน ให้เงินเดือนถูกต้องยุติธรรม ตามงานของเขา แล้วคุณคิดว่า รถไฟไทย จะงี่เง่าเหมือนเดิมได้ยังไง เขาก็ดีขึ้นสิ เขาก็ภูมิใจขึ้นด้วยสิ

"สิ่งที่ผมให้คำปรึกษารัฐบาลไทยเรื่องการพัฒนารถไฟไทย ไม่ใช่ของใหม่ ผมไม่ได้เอาอะไรจากดวงจันทร์ หรือดาวอังคาร แต่รถไฟไทยมีครัวทำผักบุ้งลอยฟ้า ต้มยำกุ้งได้ และปูเตียงเก่งกว่ารถไฟอเมริกัน ผ้าสะอาดกว่ารถไฟอเมริกัน รถเสียก็มาบอกอย่างเป็นมิตร บริการสุดประทับใจ แต่เครื่องไม้เครื่องมือมัน 108 ปี ไม่มีการลงทุนใหม่ ขาดทุน พนักงานก็เซ็ง ดูไม่มีอนาคต" นี่คือมุมมองจากคลังสมองของรัฐบาล

...ครั้งหน้า ถ้ารถไฟตกราง เราอาจต้องโทษนักการเมือง!!!

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

สะท้านยุทธภพ :เมืองคุนหมิง !!??



โดย : ปริญญา ชาวสมุน

อีกครั้งที่ลูกหลานมังกรจะเหินร่อนไปสู่ดินแดนบรรพบุรุษ ที่เคยเรียกว่าขั้นสุดคราวก่อนๆ อาจไม่ทำให้สะทกสะท้านเหมือนเดิม

แต่ยืนยันได้ว่ามีอะไรอีกหลายอย่างน่าตื่นเต้นและถือว่า 'สุด' เหมือนกัน

จากที่เคยผ่านบททดสอบจีนๆ มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหนึ่งปีก่อน ครั้งนั้นผมกับจีนได้สบตากันแบบเต็มรักก็ที่ปักกิ่งซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวง ประสบการณ์แบบสุดติ่งจึงเป็นแบบเมื้อง..เมือง อะไรต่อมิอะไรก็ดูทันสมัย ไฮเทคโนโลยีไปเสียหมด ทว่าคราวนี้ช่างเป็นประสบการณ์อันแตกต่างสุดขั้ว เพราะปักกิ่งคือเมืองหลวง แต่เมืองที่ผมเพิ่งกลับมาเล่าให้คุณฟัง (อ่าน) คือ คุนหมิง เรียกอย่างสุภาพแบบคนไทยก็คือ "เมืองชนบท" แต่ตรงไปตรงมานี่คือ "บ้านนอก" ของจีนกันเลยทีเดียว!

ชื่อคุนหมิงน่าจะคุ้นหูคุ้นตาคนไทยพอสมควร เพราะเมื่อหลายปีก่อนทัวร์ไทยไปลงที่เมืองนี้กันมาก โดยเฉพาะทัวร์อาม่าอากง แม้ไม่ถึงกับเป็นทัวร์แสวงบุญแต่ก็มี

อาม่าอากงหอบหิ้วกระเป๋าซื้อทัวร์ไปไหว้เทพเจ้ากันจนเต็มเมืองคุนหมิง

ด้วยค่าที่คุนหมิงอยู่ในมณฑลยูนนานซึ่งเป็นตำแหน่งขาไก่ (เมื่อเปรียบเทียบแผนที่ประเทศจีนเป็นรูปไก่ตัวใหญ่) นั่นเท่ากับว่าเมืองนี้ค่อนข้างใกล้ภาคเหนือของไทยมาก...อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่คนไทยแห่กันไปเที่ยว

และสภาพอากาศแบบเย็นสบายตลอดทั้งปี ไม่หนาวจัด ไม่ร้อนตับแตก และได้ชื่อว่าเป็นเมืองนอกเมืองนาสำหรับชาวไทย...นี่ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งเช่นกัน

-1-

เมื่อล้อเครื่องบินลำสีแดงของสายการบินแอร์เอเชียแตะพื้นรันเวย์ ก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นและกลิ่นกรีนๆ ของป่าเขาซึ่งรายล้อมเมืองนี้อยู่ ที่กล่าวไปอาจคล้ายเกินจริง แน่นอนว่ามันเกินจริง (ยิ้ม) แต่ใช่ว่าผมจะกล่าวอ้างเกินสรรพคุณเสียทั้งหมด เพราะอากาศที่นั่นก็เย็นจริง และถ้าขยับออกไปนอกเขตเมืองก็เป็นป่าเขาเขียวขจีจริง เพียงแต่ตอนนี้ผมอยู่ที่ สนามบินฉางโส่ย สนามบินใหญ่อันดับที่สี่ของประเทศจีนซึ่งถูกสร้างขึ้นมาแทนสนามบินคุนหมิงเพื่อขยายพื้นที่ใช้สอยและสร้างบรรยากาศงดงาม ทันสมัยกว่า

หลังจากผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองจนเมื่อยมือ (เพราะต้องใช้ภาษาใบ้ตอบคำถามเจ้าหน้าที่หน้าตี๋ร่างใหญ่แต่ไม่พูดอะไรนอกจากภาษาจีน...แล้วผมจะฟังออกไหมครับ) ก็รีบออกไปจากสนามบินโดยพลัน เมื่อมองท้องฟ้าสลับกับยกนาฬิกาขึ้นดู เวลาห้าโมงกว่าช่างไม่สอดรับกับท้องฟ้าสีหม่นมืดเอาเสียเลย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเวลาของคุนหมิงเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมงจึงถึงบางอ้อ (บางอ้อที่คุนหมิงนี่ล่ะ) ไม่รอช้าบิดเม็ดมะยมจนเข็มหมุนตามครบวงรอบ ได้เวลาคุนหมิงเกือบทุ่มหนึ่ง

วันนี้คงไม่ทันกาลหากคิดจะไปไหนนอกจากเข้านอนแล้วค่อยว่ากันอีกทีเมื่ออรุณรุ่ง...

"เอ้กอีเอ้กเอ้ก...!" เสียงไก่ขันในฝันทำเอาผมสะดุ้งตื่น ที่แท้มันคือเสียงดังจากโทรศัพท์มือถือของผมเอง ตัวเลขตรงหน้าจอบอกเวลาตีห้า นั่นเท่ากับว่าที่คุนหมิงคือหกโมงเช้า (เพราะไม่ได้ตั้งเวลาคุนหมิงในโทรศัพท์) สำหรับบางคนมันเช้าเกินกว่าจะลืมตาดูโลก แต่สำหรับเมืองที่ผมไม่คุ้นเคยเวลานี้ช่างน่าเดินเตร็ดเตร่ยิ่งนัก

ก้าวออกจากโรงแรมปุ๊บลมเย็นๆ ก็กระแทกหน้าปั๊บ ตามธรรมชาติสายตาต้องหรี่เพื่อกรองลมที่จะเข้าสู่ดวงตา ในช่วงเวลานั้นเองจินตนาการโลดแล่นไปแล้วว่านี่คงเป็นเมืองที่งดงามมากอีกเมืองหนึ่งเป็นแน่ ทันทีที่ดวงตาเบิกกว้างเต็มที่ ภาพเบื้องหน้าของผมคือ "รถติด!" ถึงแม้ไม่ติดเหมือนกรุงเทพฯยุคนี้ แต่ก็ติดเหมือนเมืองใหญ่อย่าง เชียงใหม่ ภูเก็ต ระยอง ประมาณนั้น ไม่ทันเดินไปไหนก็ขาสั่น ความจริงช่างโหดร้ายเหลือเกิน...

ผมเปลี่ยนแผนทันทีเพราะจะมีค่าอะไรหากต้องเดินชมรมควันเหมือนตอนอยู่กรุงเทพฯ จึงรอเวลาอันสมควร กระทั่งรถโดยสารของ สุริยา มัคคุเทศก์ท้องถิ่นชาวจีนแต่พูดไทยปล๋อ คำทักทายแรกของมัคคุเทศก์หนุ่มไม่ใช่คำว่า "หนีฮ่าว" หรือ "สวัสดี" แต่เป็นคำเตือนก่อนออกเดินทางว่า ถ้าลงไปเดินนอกรถเมื่อใดจะต้องสะพายกระเป๋าไว้ด้านหน้า ถ้าสะพายข้างหน้าเป็นของเรา สะพายข้างหลังเป็นของเขา สะพายข้างๆ เป็นของเราและเขาคนละครึ่ง เจอกันปุ๊บก็ประทับใจกันเลยทีเดียวนะสุริยา...

-2-

รถแล่นไปบ้างหยุดบ้างตามประสา จนกระทั่งพ้นเขตเมืองอันจ้อกแจ้กจอแจ ผมแทบไม่เชื่อสายตาว่าเมืองอะไรจะสุดขั้วได้ถึงเพียงนี้ พอพ้นเมืองปุ๊บสองข้างทางกลายเป็นทุ่งหญ้า ทุ่งนา ได้อารมณ์ชนบทขนานแท้

แล้วรถก็มาส่งผมลงที่กระท่อมขนาดกะทัดรัดหลังหนึ่ง ที่นั่นมีป้ายติดอยู่ เนื้อความประมาณว่าเป็นที่ขายตั๋วขึ้น เขาซีซาน แค่รู้ชื่อของเขาลูกนี้ก็อดนึกถึงหนังจีนกำลังภายในไม่ได้ ภาพจอมยุทธกวัดแกว่งกระบี่ฟาดฟันกับเจ้าสำนักพรรคมาร เหาะเหินเดินอากาศไปบนแนวเขา ปล่อยพลังภายในกันตูมตาม ผุดพรายขึ้นในหัวแทบสลัดทิ้งไม่ทัน

กลับสู่ความจริง ไม่มีจอมยุทธมาเหาะขึ้นเขาลูกนี้ มีแต่รถมินิบัสที่จะพานักท่องเที่ยวแบบผมให้ขึ้นไปสู่ข้างบนได้ หากคุณนึกไม่ออกว่าการขึ้นเขาซีซานเป็นอย่างไรให้นึกถึงดอยสุเทพเข้าไว้ ทั้งทางคดเคี้ยวเป็นงู และข้างทางมีทั้งต้นไม้และหุบเหว กระทั่งครบห้ากิโลเมตร ผมลงจากรถพลางคิดว่าถึงแล้วสินะ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะนี่แค่จุดเริ่มต้น...

ตามตำนานกล่าวไว้ว่า มีอาจารย์แกะสลักหินท่านหนึ่งเป็นชาวเสฉวนหลงรักหญิงสาวคนหนึ่งแต่ต้องอกหักรักสลาย ประจวบเหมาะกับได้เดินทางมาที่เขาซีซานจึงอยากระบายพร้อมกับลองวิชาบวกกับศรัทธา แกะสลักหินเป็นสิ่งต่างๆ ทั้งตัวอักษร ภาพ แม้กระทั่งเทพเจ้าในลัทธิเต๋า

ผมเดินไปตามไหล่เขา บางช่วงเป็นอุโมงค์ซึ่งเชื่อกันว่าอาจารย์ท่านนี้และลูกศิษย์อีกไม่กี่คนเป็นผู้สกัดไว้นานนับพันปีมาแล้ว โดยใช้เวลาทั้งหมด 72 ปีจึงแล้วเสร็จเป็นศิลปกรรมเหนือธรรมชาติอย่างที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่จุดแรกที่ขึ้นไปพบจนจุดก่อนสุดท้าย ผมและชาวจีนอีกมากมายซึ่งเดินตามกันเป็นพรวนได้ยกมือไหว้เทพเจ้าหลายองค์ อาทิ เทพหวังหลิงกวนตรงด่านแรก ถัดขึ้นมาหน่อยก็ไหว้เทพฉ่ายเส่งเอี๊ยะ (เชื่อกันว่าจะดลบันดาลให้ร่ำรวย) และถัดมาเป็นเทพเจินอู่ เทพศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋า

แต่ระหว่างทางที่ผ่านมาแล้วจะสังเกตเห็นโพรงคล้ายถ้ำขนาดย่อม มีรูปปั้น (หรือหินสลัก...ไม่แน่ใจ) รูปวัวนั่งอยู่ ข้างๆ คือบ่อน้ำใสไหลเย็น ถัดไปอีกมีรูปปั้น (หรือหินสลักอีกนั่นละ) รูปวัวตัวเล็กๆ อีกหนึ่งตัว ถามไถ่ได้ความว่านี่คือ บ่อน้ำกตัญญู เกิดจากตำนานแม่ลูกวัวคู่หนึ่ง บางตำนานบอกว่าวัวตัวนี้กตัญญูกับเจ้าของมาก เพื่อที่จะให้เจ้าของได้ดื่มน้ำที่บนภูเขาซีซาน มันจึงใช้เขาเจาะหน้าผาจนทะลุได้เป็นสายน้ำและเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ให้เจ้าของได้ดื่ม แต่บางตำนานก็ว่าลูกวัวใช้เขาเจาะหน้าผาจนทะลุเพื่อให้แม่ของมันได้ดื่มน้ำ...ขนาดสัตว์ยังรู้จักกตัญญู เป็นคนก็คิดเอาเองแล้วกัน

เดินขึ้นบันได 333 ขั้นหมดแรงพอดิบพอดีผมมองหาที่นั่งพักหวังว่าจะมีแรงเดินต่อ แต่พอหันกลับมาชาวจีนมากมายที่เดินตามผมมาเมื่อครู่ก็หยุดเดินตาม ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นนักเลียนแบบตัวยง แต่เป็นเพราะเราได้มาถึงจุดสุดยอดของเขาซีซานแล้ว นั่นคือ ประตูมังกรหลงเหมิน สร้างขึ้นสมัยราชวงศ์หมิง เชื่อกันว่าเป็นประตูแห่งสิริมงคล เดินลอดผ่านจะประสบความสำเร็จ เฮงๆ ยิ่งได้เอื้อมมือแตะ สะดือมังกร (ที่ปูดๆ อยู่บนคานประตู) จะโชคดีเป็นร้อยเท่า แต่ต้องยอมรับว่าผมไม่ได้เชื่อเรื่องแบบนี้มากนักจึงไม่ได้แตะสะดือมังกร เพราะมัวแต่มองลงมายังเบื้องล่าง คือ ทะเลสาบคุนหมิงเตียนฉือ ทะเลสาบน้ำจืดกว้างใหญ่ไกลสุดสายตา

ชื่นชมความงามของทะเลสาบจนอิ่มเอม หันมาก็ไม่เห็นกองทัพชาวจีนกลุ่มเดิมแล้ว คงได้เวลาลงจากเขาซีซานแล้ว ผมก้าวเท้าฉับๆ ผ่านประตูมังกรฯไป, แล้วเดินกลับมา ในใจก็แสร้งว่าลืมของไว้ไหมหนอ สรุปว่าได้ลอดประตูสี่รอบเลยเชียว...บอกแล้วผมไม่เชื่อ

ขณะที่รถมินิบัสของอุทยานพาผมลงจากเขา ภาพภูเขารูปทรงเหมือนในหนังจีนกำลังภายในเมื่อสักครู่ยังติดตา แต่ต้องสะดุดด้วยภาพคนเดินขึ้น - ลง ตลอดเส้นทางที่รถแล่นผ่าน สุริยา บอกผมว่าชาวจีนมักจะมาเดินขึ้นเขาเพื่อแสดงความจริงใจต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ระยะทางขึ้นห้ากิโลเมตร ลงห้ากิโลเมตร ไม่นับขึ้นลงบันไดรวม 666 ขั้น ผมว่าผมได้พบบรรดาจอมยุทธแห่งเขาซีซานแล้ว...

-3-

ผมยกนาฬิกาขึ้นดูจำไม่ได้ว่ากี่โมง แต่จำได้ว่าใกล้หมดวันแล้วหากจะไปไหนต่อยามนี้คงไม่เหมาะ เพราะดวงตะวันก็เริ่มหย่อนตัวลงเตรียมลับขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ห้วงยามแบบนี้มีอยู่สถานที่หนึ่งที่สมควรแก่การส่งท้ายวัน ณ คุนหมิง นั่นคือ จตุรัสม้าทองและไก่หยก ตั้งอยู่กลางใจเมืองคุนหมิง พอผมมาถึงก็โพล้เพล้พอดี บนจตุรัสแห่งนี้มีซุ้มประตูศิลปะแบบจีนๆ ตระหง่านอยู่ถึงสองประตู ประตูหนึ่งชื่อม้าทอง ประตูสองชื่อไก่หยก ว่ากันว่าเมื่อดวงอาทิตย์กำลังตกดินจะตรงกับซุ้มประตูทั้งสองพอดีเป๊ะ!

นอกจากที่ผมจะได้นั่งรอชมดวงอาทิตย์ตรงประตู (ซึ่งก็ไม่ค่อยตรงเป๊ะสักเท่าไร) ยังได้เดินชมแต่ไม่ช้อป สินค้าที่จตุรัสแห่งนี้ด้วยเพราะตกค่ำจะกลายเป็นถนนคนเดินในทันที

. . .

เช้านี้โทรศัพท์มือถือไม่ส่งเสียงปลุกผมดังเมื่อวาน ด้วยรู้ว่าจะไปเตร็ดเตร่ก็คงไม่ได้ หนึ่ง-เพราะเข็ดขยาดภาพรถติดแน่นเอียด สอง-วันนี้ผมมีโปรแกรมน่าตื่นเต้นรออยู่...

สุริยา กับรถคันเดิมมารับผมตามเวลานัดหมาย เราออกจากโรงแรมกันแต่เช้าเพราะคำขู่ของสุริยาเมื่อวานที่ว่า หากไม่รีบไป "ป่าหินจะกลายเป็นป่าหัว!"

ใช่แล้วครับผมเดินทางมาถึง ป่าหิน แล้ว นี่คือสถานที่ขึ้นชื่อของคุนหมิง และก็น่าเชื่อว่าสมัยก่อนพวกทัวร์อาม่าอากงก็ต้องตรงดิ่งมาที่นี่ด้วยเป็นแน่ ผมมาถึงที่นี่ราวเก้าโมงกว่า แค่ทางเข้าก็ต้องใจสั่นแล้วกับจำนวนนักท่องเที่ยวมากมายราวกับมารอชมคอนเสิร์ตซูเปอร์สตาร์

เมื่อผ่านด่านคนและเสียสตางค์ถึงสองต่อ คือ ค่าเข้า 175 หยวน และ ค่ารถกอล์ฟพาเข้าไปอีก 25 หยวน สมกับเป็นพี่จีนจริงๆ เก็บทุกเม็ด

และนี่คืออีกครั้งที่ผมถูกดูดเข้าไปสู่โลกจินตนาการ ท่ามกลางหินสูงเสียดฟ้า รูปร่างพิสดาร คล้ายว่าจอมยุทธจะโผล่มาดวลวิทยายุทธกันอีกแล้ว ผมรีบสะบัดหัวไล่ความคิดเพ้อฝันออกทันที เพราะป่าหินจริงๆ ตรงหน้าผมน่าสนใจกว่า

ภายในอาณาบริเวณกว่า 400 ตารางกิโลเมตร มีหินรูปร่างแปลกประหลาดเหล่านี้เรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ เชื่อกันว่าเมื่อ 300 ล้านปีก่อนเคยเป็นเพียงหินปูนซึ่งอยู่ใต้น้ำ ครั้นเวลาผ่านไปเปลือกโลกดันตัวสูงขึ้นจึงกลายเป็นป่าหินแห่งนี้ในที่สุด บ้างมองดูเหมือนภูผาในภาพวาดโบราณ บ้างเสมือนหญิงงามในวรรณคดี แต่ที่ถือเป็นสีสันคือ หินอาซือหม่า (อาซือหม่า คือ หญิงสาวชนเผ่าท้องถิ่น ใช่แล้วครับ...มีหินรูปร่างคล้ายอาซือหม่าตั้งอยู่ และที่นี่ก็ทำให้ผมเข้าใจว่า "ป่าหินจะกลายเป็นป่าหัว" คืออะไร

จบจากป่าหิน ก็ถึงโปรแกรมขั้นสุดของทริปนี้กันแล้ว ทันทีที่รถจอดที่ลานกว้าง ผมก็เริ่มเห็นป้ายคล้ายโปสเตอร์หนังจีนซึ่งผมคุ้นตา ยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งเห็นป้ายมากขึ้น และใหญ่ขึ้น

"นี่มันเฮียเฉินหลงนี่นา!" ผมอุทานในใจ ใช่จริงๆ นอกจากนั้นยังมีภาพดาราเอเชียอีกมากมายในชุดจอมยุทธ เมื่อจับต้นชนปลายได้จึงร้องอ๋อ เพราะที่นี่คือ ถ้ำจิ่วเซียง สตูดิโอธรรมชาติ เพราะที่นี่คือสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง บางเรื่องคุณเองก็อาจจะคุ้นตา...ผมมั่นใจ

แต่ก่อนจะเข้าถ้ำ ผมได้เตรียมใจด้วยการล่องเรือไปตามแนวเขา ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งฉากของหนังจีนกำลังภายในหลายเรื่อง ทว่าคงไม่พูดถึงมากเพราะจะว่าไปแล้วอารมณ์ขณะนั้นก็คล้ายๆ ล่องเรือล่องแพที่แม่น้ำแคว กาญจนบุรี

เอาละ! ได้เวลาเข้าถ้ำ ถ้ำจิ่วเซียงมีลำธารไหลผ่านภายในถ้ำ ประกอบด้วยธารน้ำตก หุบเขาลึก และถ้ำเล็กๆ อยู่มากมาย ด้วยค่าที่มีลำธารและน้ำตกนี่เองจึงทำให้พื้นภายในถ้ำเปียกชื้นและค่อนข้างลื่น จึงขอแนะนำว่าควรสวมรองเท้าผ้าใบที่มีดอกยางกันลื่นและกระชับเท้า

แต่ละย่างก้าวของผมไม่เร่งรีบนัก ผมค่อยๆ เดินผ่าน ก้มๆ เงยๆ ลอดถ้ำน้อยใหญ่ซึ่งประดับประดาด้วยแสงไฟหลากสีสมกับเป็นฉากถ่ายภาพยนตร์กำลังภายในยุคใหม่เสียจริง และต้องยอมรับว่าที่นี่มีถ้ำเยอะมากหากจะสาธยายไปก็คงเปลืองหน้ากระดาษจึงขอยกตัวอย่าง อาทิ ถ้ำช้างเผือก ถ้ำค้างคาว วังเทพธิดา แค่ชื่อเหล่านี้ก็ชวนให้นึกถึงจอมยุทธอีกแล้วใช่ไหมละ

ยิ่งเข้าไปลึกยิ่งตื่นตาตื่นใจกับความอัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างไว้ ทั้งหินงอก หินย้อย หลากหลายรูปร่าง เมื่อใส่จินตนาการเข้าไปก็ยิ่งได้อรรถรส เช่น หินขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายสิงโตกำลังขย้ำเหยื่อ และสีสันอย่างหนึ่งคือ น้ำตกแฝด (Twin Water Falls) ขนาดมหึมา

เส้นทางภายในถ้ำมีทั้งเดินขึ้นและลง บรรยากาศคล้ายโลกใต้พิภพอันซับซ้อนและสวยงาม และแน่นอนว่ากว้างใหญ่ ยิ่งเดินยิ่งเมื่อย โดยเฉพาะเส้นทางสุดท้ายก่อนจะถึงทางออก คล้ายเราทุกคนต้องใช้เกียร์ต่ำก้มหน้าก้มตาเดินดุ่มๆ ขึ้นไปตามขั้นบันไดหินผ่านหินงอกหินย้อยและผนังถ้ำแปลกตาทว่าไม่มีจิตใจมองแล้วเพราะเมื่อยขา

กระทั่งผมเดินเข้าสู่แสงสว่างภายนอกถ้ำ เท่ากับว่าผมได้พิชิตถ้ำจิ่วเซียงสำเร็จแล้ว

ทว่า จะลงไปจากภูเขาสูงใหญ่นี้ได้อย่างไร ถ้าจะให้เดินย้อนกลับไปทางเดิมคงต้องคิดหนัก แต่อีกทางเลือกซึ่งแทบจะทุกคนต่างเลือกวิธีนี้ คือ นั่งกระเช้าแบบห้อยขาข้ามเขาสองลูกไปยังทางออก (ทางเดียวกับทางเข้า)

กระเช้าค่อยๆ พานักท่องเที่ยวทีละคู่ไปส่งยังจุดหมาย ผมยอมรับโดยดุษณีว่าไม่ถูกชะตากับความสูงนัก กระเช้าสุดเสียวนี่ก็เช่นกันย่อมไม่ใช่สิ่งอันปรารถนาของผม แต่เมื่อถึงคิว เจ้าหน้าที่ชาวจีนแท้ๆ ส่งเสียงเรียกแบบแปล่งๆ ว่า "มายืนตรงรอยเท้า มายืนตรงรอยเท้า"

ไม่ทันคิดอะไร กระเช้าเจ้ากรรมช้อนตัวผมขึ้นไปนั่ง แล้วก็เหาะเหินเดินอากาศข้ามภูเขาได้ดั่งจอมยุทธในหนังจีนกำลังภายใน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////

ป.ป.ช.ลุยต่อ คดีสรยุทธ์-ไร่ส้ม. !!??



ภักดี. เผย ป.ป.ช.เตรียมตั้งคณะทำงาน ลุยคดีสรยุทธ์-ไร่ส้มยักยอกเงินโฆษณา อสมท. 138 ล้านต่อ หลังสำนวนถูกตีกลับ ชี้ชัดคำตัดสินศาล ปค.กลางไม่มีผลต่อคดีนี้

นายภักดี โพธิศิริ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีการยักยอกเงินโฆษณาส่วนเกินของ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด กล่าวถึงกรณีที่ อัยการสูงสุด ตีกลับสำนวนคดี บริษัท ไร่ส้มจำกัด ยักยอกเงินโฆษณาเกินเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาร่วมผลิตรายการกับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เป็นเงิน 138ล้านบาท ว่า เมื่ออัยการสูงสุด ส่งกลับมา แสดงว่ายังมีข้อที่ไม่สมบูรณ์ โดยต้องมีการพิจารณาข้อที่ไม่สมบูรณ์นั้นต่อไป ทั้งนี้ ทางอัยการสูงสุด จะแจ้งรายชื่อเพื่อเป็นกรรมการร่วมกับ ป.ป.ช. ในการพิจารณาด้วย

อย่างไรก็ตาม ถ้าสามารถทำให้สมบูรณ์ได้โดยความเห็นร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย คือ อัยการ กับ ป.ป.ช. ทางอัยการ ก็จะดำเนินการต่อไป เพื่อที่จะส่งฟ้องศาล แต่ถ้าคณะทำงานร่วมได้มีการพิจารณาร่วมกันแล้ว ยังมีประเด็นที่ไม่สามารถตกลงกันได้ ป.ป.ช. ก็ต้องส่งฟ้องเองตามหลักการ
 
ทั้งนี้ การดำเนินการที่เกี่ยวกับการไต่สวนคดีถือว่าจบไปแล้ว จะไม่มีการนำคำตัดสินของศาลปกครอง มาประกอบการพิจารณาอีก โดยจะมีการพิจารณาเฉพาะข้อที่ไม่สมบูรณ์ ที่ฝ่ายอัยการ แจ้งมาเท่านั้น ส่วนคำตัดสินของศาลปกครองกลาง ที่ให้ บริษัท อสมท จ่ายเงินค่าโฆษณาเกินในสัญญาแก่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด กว่า 55 ล้านบาท ก็ไม่เกี่ยวข้องกันกับการพิจารณา

ที่มา.ทีนิวส์
----------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กับ ภาคการเกษตร !!??

โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

ประมาณปลายปี 2558 ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ก็จะเปิดกันเต็มรูปแบบ ซึ่งก็หมายความว่าสินค้าส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น สินค้าอุตสาหกรรม เกษตรกรรม บริการ จะเปิดถึงกันอย่างเสรี ยกเลิกภาษีขาเข้าระหว่างกัน รวมทั้งกฎระเบียบอุปสรรคอย่างอื่นที่ไม่ใช่ภาษีระหว่างกันก็คงจะยกเลิกไปด้วย เพื่อให้การค้าขายระหว่างกันเป็นไปอย่างเสรี จนจะกลายเป็นการค้าที่ไร้พรมแดนระหว่างกัน

การเปิดเสรีระหว่างกันเป็นการขยายตลาดอาเซียนให้ใหญ่โตขึ้น รัฐบาลก็ทำประชาสัมพันธ์ค่อนข้างมากให้ประชาชนได้รู้ จะได้ปรับตัวให้ทันเมื่อเวลามาถึง

สำหรับประเทศไทย โดยส่วนรวมน่าจะได้ประโยชน์เพราะตั้งอยู่ใจกลางของประชาคม รายล้อมด้วยประเทศอาเซียนใหม่ อันได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม อีกทั้งอยู่ใกล้จีนที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่ 2 ของโลก เมื่อเทียบกับมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และอินโดนีเซีย ในแง่ของที่ตั้งและระดับของการพัฒนาอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว เราน่าจะได้ประโยชน์กว่าประเทศอาเซียนเก่าอื่น ๆ

แต่เมื่อคำนึงถึงภาคเกษตรกรรมแล้วน่าห่วง โดยเฉพาะพืชหลักที่เราผลิตส่งออกเป็นจำนวนมาก เป็นผู้นำของโลก เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม พืชดังกล่าวขณะนี้เป็นพืชที่รัฐบาลใช้ภาษีอากรเป็นจำนวนมากชดเชยการผลิต ต้นทุนการผลิตสูงเพราะขาดแคลนแรงงาน ต้องใช้เครื่องมือเครื่องจักร ใช้น้ำมัน รวมทั้งใช้แรงงานต่างชาติเป็นจำนวนมาก

ในกรณีเรื่องข้าว ไทยคงได้เปรียบมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ สำหรับสิงคโปร์นั้นไม่มีพื้นที่ทำการเกษตร แต่เราก็ไม่ได้เปรียบพม่า เวียดนาม กัมพูชา และลาว ประเทศเหล่านี้ก็เสียเปรียบในเรื่องระบบการขนส่ง แต่ต่อไปข้างหน้าเมื่อถึง พ.ศ. 2558 สินค้าเกษตรเหล่านี้จะสามารถส่งข้ามพรมแดนกันได้อย่างเสรี ถ้าประเทศไทยยังคงไม่มีการเตรียมตัวก็น่าจะมีปัญหาราคาข้าว ราคายางพารา ราคามันสำปะหลัง ราคาข้าวโพด ราคาลำไย ต้องเป็นไปตามราคาตลาด หากยังคงโครงการรับจำนำพืชผลต่าง ๆ ในราคาที่สูงกว่าตลาด สินค้าชนิดเดียวกันจากประเทศเพื่อนบ้านก็คงจะหลั่งไหลเข้ามาในประเทศ นำเข้ามาจำนำ ซึ่งที่จริงก็คือเอามาขายให้กับรัฐบาลไทยนั่นเอง รัฐบาลจะเอาเงินภาษีอากรที่เก็บจากประชาชนไทยไปรับซื้อข้าวพม่า ข้าวกัมพูชา ข้าวเวียดนาม หรือไปรับซื้อยางพาราจากมาเลเซียและอินโดนีเซียในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ประชาชนคนไทยผู้เสียภาษีก็ไม่ควรจะยอม

แม้ทุกวันนี้การที่รัฐบาลเอาเงินภาษีของประชาชนไปทำโครงการรับจำนำข้าว จำนำยางพารา มันสำปะหลัง ใช้เงินภาษีอากรไปชดเชยการขาดทุนจำนวนมหาศาล และชาวไร่ชาวนาก็ได้ไม่ถึงครึ่ง แต่สูญเสียไปกับค่าขนส่ง ค่าเช่าโกดัง ค่าสินค้าสูญหาย เสื่อมสภาพ ความสามารถส่งออกไม่มี หรือมีก็ต่ำกว่าเอกชนผู้ส่งออก ประเทศผู้นำเข้าถ้าซื้อก็ซื้อกดราคาลง เพราะรู้หมดว่าประเทศไทยมีข้าว มียาง มีมัน เก็บอยู่ในโกดังเท่าไหร่ ประชาชนผู้เสียภาษียังไม่รู้สึก แต่ถ้ารัฐบาลไม่สามารถรักษาวินัยทางการคลังไว้ได้และต้องขึ้นภาษี เมื่อนั้นผู้เสียภาษีคงจะรับไม่ได้

หากไม่เตรียมตัว ไม่ปรับตัวเสียแต่เนิ่น ๆ เกษตรกรที่เคยได้รับผลประโยชน์จนเคยชินจากนโยบายของรัฐบาลก็คงจะไม่เข้าใจและยอมรับไม่ได้ ปัญหาเหล่านี้ก็จะกลายเป็นปัญหาการเมืองทันที จะไม่เกิดความโกลาหลขึ้นหรือเมื่อเวลานั้นมาถึง รัฐบาลก็คงจะเปลี่ยนวิธีมาใช้วิธีชดเชยตามเนื้อที่การเพาะปลูกเหมือนกับ

กรณีของยางพาราในขณะนี้ แต่ก็คงจะทำไปตลอดกาลไม่ได้ มิฉะนั้นก็เท่ากับเราเอาภาษีอากรของประชาชนไปอุดหนุนผู้นำเข้าในต่างประเทศเราควรจะต้องตระหนักว่า เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องเปิดเสรีสำหรับสินค้าเกษตรกรรมกับประเทศสมาชิกของประชาคมอาเซียน ราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับราคาในตลาดโลก สามารถขึ้นลงตามสถานการณ์ในตลาดโลก

เนื่องจากระดับการพัฒนาของประเทศอาเซียนเก่าสูงกว่าประเทศอาเซียนใหม่ แม้ว่าผลผลิตต่อไร่ของเราอาจจะสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเราใช้เครื่องจักร ใช้พลังงาน ใช้ปุ๋ยในอัตราที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพราะประเทศเราเป็นประเทศที่ขาดแคลนแรงงานเสียแล้ว ต่อไปข้างหน้าก็คงจะขาดแคลนยิ่งขึ้น

ถ้าเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการขยายตัวมากขึ้น การจะคงปริมาณการผลิตไว้ในระดับที่สูงแล้วชดเชยด้วยเงินภาษีอากร ก็ยิ่งจะเป็นภาระอย่างหนักกับประชาชนผู้เสียภาษี จะเป็นลูกตุ้มถ่วงความเจริญก้าวหน้าของประเทศ ไม่ให้ก้าวพ้นการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง

ไม่น่าจะมีทางเลือกอื่น นอกจากวางแผนลดการผลิตสินค้าเกษตรที่ต้องการเงินชดเชยช่วยเหลือลงตามลำดับ ไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้ายังมัวแต่ตั้งงบประมาณจากภาษีอากรไปชดเชยราคาสินค้าที่เราไม่มีความได้เปรียบในการผลิตเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ

อีกทางหนึ่งที่จะลดปริมาณการผลิตของสินค้าเกษตรราคาลงก็คือ จำกัดเนื้อที่เพาะปลูก ลดการส่งออกลง เพราะการชดเชยราคาให้เกษตรกรไทยก็เท่ากับรัฐบาลจ้างเกษตรกรไทยผลิตข้าว ผลิตยางพารา แล้วขายให้กับผู้บริโภคหรือ

ผู้ใช้ในต่างประเทศในราคาที่ถูกกว่าต้นทุนการผลิต เพราะต้นทุนการผลิตเมื่อรวมกับต้นทุนของเกษตรกรและต้นทุนจากภาษีอากรของประชาชนแล้ว มีอัตราสูงกว่าราคาที่ผู้บริโภคและผู้ใช้สินค้าเกษตรของไทยจ่าย ในระยะยาวประชาชนผู้เสียภาษีก็คงจะยอมไม่ได้ ถ้ายังต้องใช้เงินเป็นแสน ๆ ล้านอย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบัน

ทางเดียวก็คือต้องให้การศึกษากับสังคมว่า เราคงจะทำอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ โดยเฉพาะสินค้าราคาถูก เช่น ข้าวนาปรัง ต้องปรับเปลี่ยนระบบชลประทานที่มีให้เหมาะสมและคุ้มค่ากับสิ่งที่ผลิต เช่น สินค้าเกษตรชนิดอื่น หรือเปลี่ยนไปเป็นการประมง ไม้ยืนต้น และอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

เมื่อประเทศเพื่อนบ้านของเรา พม่า เวียดนาม กัมพูชา และลาว พัฒนาระบบการขนส่งภายในประเทศของเขา เปิดพื้นที่อันกว้างใหญ่ของเขาให้ติดต่อตลาดโลก ประกอบกับจำนวนประชากรที่มาก ค่าแรงงานยังต่ำกว่าเรา ระดับการพัฒนายังต่ำกว่าเรา การเมืองได้รับการปฏิรูปให้เป็นที่ยอมรับของชาวโลกมากขึ้น นักลงทุนย่อมจะพากันไปลงทุนในประเทศเหล่านั้น เราเองต้องถอยออกจากภาคเศรษฐกิจนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป จะอยู่กับความภูมิใจว่าเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอันดับหนึ่งต่อไปไม่ได้

สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมา คงจะมาถึงเร็วขึ้นจากการเกิดเออีซี หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สำหรับสินค้าทางด้านอุตสาหกรรมและบริการคงจะไม่มีผลกระทบอะไรมาก เพราะการลดภาษีขาเข้าและสิ่งกีดขวางทางการค้าได้ค่อย ๆ ลดลงมา ได้ปรับตัวกันมานานแล้วแต่ภาคเกษตรกรรมของเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////

เล็งผุดสนามบินเชียงใหม่สอง ล้อแผนยกศูนย์ประชุมสู่นานาชาติ !!??

นายนพรัตน์ เมธาวีกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) กล่าวว่า จากกรอบแนวทางดำเนินงานเพื่อพัฒนาศูนย์ประชุมนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ให้ เป็นศูนย์กลางการจัดประชุมและนิทรรศการของประเทศและภูมิภาคอาเซียนภายในระยะ เวลา 5 ปีนั้น ได้แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ คือระยะแรก ปี 2556 เน้นการทำตลาดภายในประเทศและวางรากฐานอุตสาหกรรมไมซ์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เชียงใหม่เป็นเมืองยุทธศาสตร์ไมซ์ ระยะที่ 2 ปี 2557-2558 ขยายการส่งเสริมการตลาดระดับภูมิภาคผ่านกรอบความร่วมมือในอนุภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) และประเทศในอ่าวเบงกอล (BIMSTEC) ระยะที่ 3 ยกระดับเชียงใหม่ให้เป็นจุดหมายการประชุมระดับนานาชาติ

"แผนระยะที่ 2 นอกจาก สสปน.จะพัฒนาฐานข้อมูลไมซ์จังหวัดเพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 ยังร่วมมือกับจังหวัดเชียงใหม่ส่งเสริมตลาดในภูมิภาคผ่านกรอบความร่วมมืออนุภาคลุ่มน้ำโขง และประเทศในอ่าวเบงกอล โดยกำหนดอุตสาหกรรมหลักเป็นหัวหอกในการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ เช่น ศิลปหัตถกรรมและหัตถศิลป์ สิ่งทอ สมุนไพรและสปา สุขภาพและอาหาร โดยยังคงเสน่ห์ล้านนาด้านงานแสดงสินค้าภายในประเทศ พร้อมร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ส่งเสริมและดึงงานประชุมสัมมนาจากกลุ่ม GMS และ BIMSTEC เข้ามาจัดในเชียงใหม่ เชื่อว่าตั้งแต่ปี 2560 ศูนย์ประชุมนี้จะพร้อมรับการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์ระดับนานาชาติแห่งใหม่ของไทย" นายนพรัตน์กล่าว

นายฤทธิพงศ์ เตชะพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ปี 2557 จะเพิ่มกิจกรรมต่างประเทศต่อเนื่อง พร้อมกับต่อยอดกิจกรรมในอดีต ตามแผนแม่บทเชียงใหม่ซิตี้ เน้นตลาดอาเซียน เอเชีย และตะวันออกกลางเป็นหลัก ทั้งนี้ จังหวัดอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการสร้างสนามบินเชียงใหม่แห่งที่สอง รวมถึงแผนการพัฒนาขนส่งมวลชนในตัวเมืองเชียงใหม่รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและไมซ์ในอนาคต

"ปีนี้คาดว่าอุตสาหกรรมไมซ์ของเชียงใหม่จะเติบโตด้านจำนวนคน 5% เมื่อเทียบกับปี 2555 หรือคิดเป็นผู้เดินทางกลุ่มไมซ์ 72,424 คน ส่วนรายได้เติบโตสูงถึง 10% คิดเป็น 4,245 ล้านบาท ส่วนอุตสาหกรรมไมซ์ในประเทศ คาดว่าจะเติบโต 15% คิดเป็นจำนวนผู้เดินทางกลุ่มไมซ์ 4.3 ล้านคน สร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศ 1.37 หมื่นล้านบาท" นายฤทธิพงศ์กล่าว

ที่มา : นสพ.มติชน
--------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

อดีตในอนาคต 1

โดย.พญาไม้

ความสำเร็จของ ทักษิณ ชินวัตร ในการแย่งชิงทำเนียบไทยคู่ฟ้าจากพรรคประชาธิปัตย์..ไม่ใช่มาจากป้ายโฆษณา..และคำพรรณนามากมายที่จะทำความร่ำรวยให้กับประชาชนคนยากจนในประเทศ

หากแต่มาจากความเบื่อหน่าย..ในการต่อสู้อันยาวนานของพรรคประชาธิปัตย์กับฝ่ายตรงกันข้ามในยุคนั้น และการทรยศหักหลังกันไปมาในระหว่างสมาชิกพรรคการเมืองและพรรคการเมือง

ประชาชนไม่ได้อะไรจากการมีผู้แทนปวงชนในสภา..

ประชาชนยากจนมากขึ้นทุกวัน..ในขณะที่คนในสภากล่าวหากันไปมาในเรื่องคอรัปชั่น..และเมื่อตัวเลขความมั่งคั่งของนักการเมืองปรากฏในบัญชีทรัพย์สิน

ร้อยล้านพันล้านบาทนั้นมาจากไหน..

ดังนั้น เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร เสนอตัวเข้ามาในฐานะพรรคไทยรักไทย..จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่ประชาชนใช้เป็นทางหลีกจากความเบื่อหน่ายกับพรรคการเมืองเก่าๆ

ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ทำให้ประชาชนผิดหวัง..มีโครงการต่างๆ มากมายที่ทำให้ประชาชนได้สัมผัสและเข้าถึงในสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

บวกกับการใช้การประชาสัมพันธ์อย่างมีรูปแบบ..รัฐบาลของเขาจึงโดดเด่น..และได้รับการตอบรับจากประชาชนในการเลือกตั้งใหญ่คราวใหม่

ก่อนจะถึงวันปฏิวัติ 19 กันยายน..รัฐบาลของเขาถูกกล่าวหามากมายในเรื่องคอร์รัปชั่น..ประชาชนเริ่มคล้อยตามกับข้อกล่าวหา..

คนในครอบครัวของเขาเริ่มถูกตะโกนด่าว่า..เมื่อปรากฏตัวในที่สาธารณะ..การปรากฏตัวของฝ่ายต่อต้านได้รับความเชื่อถือ..

ถ้าไม่มีการปฏิวัติเกิดขึ้น..พรรคไทยรักไทยก็จะประสพกับชะตากรรมเช่นเดียวกับประชาธิปัตย์ในเรื่อง สปก 4-01

แต่เพราะมีการปฏิวัติเกิดขึ้น..ขบวนการประชาธิปไตยจึงกลายเป็นแนวร่วมของเขา..จนเมื่อประชาชนได้ชัยชนะจากการเรียกร้องการเลือกตั้ง..พรรคการเมืองของ ทักษิณ ชินวัตร จึงจัดตั้งรัฐบาล
คงต้องว่ากันอีก..กับอดีตที่กำลังจะกลับมาเป็นอนาคต

ที่มา.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////

พท.โหวตแก้ รธน.ที่มา ส.ว.-ปชป.เสนอเลื่อน !!??

"เพื่อไทย" ยันเดินหน้าโหวตวาระ 3 ร่างแก้ไข รธน.ที่มา ส.ว. ขณะที่ปชป.เตรียมเสนอเลื่อนลงมติวาระ 3

จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัย ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาของ ส.ว. แต่ไม่มีคำสั่งชะลอการลงมติในวาระ 3 นายอำนวย คลังผา ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล ระบุว่า ขณะนี้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาได้ออกหนังสือเพื่อเรียกประชุมรัฐสภาในวันที่ 28 ก.ย. ในเวลา 10.00 น. เพื่อลงมติ ในวาระ 3 แล้ว และเพื่อให้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา ยังยืนยันที่จะเดินหน้าลงมติ ทั้งนี้ตามกระบวนการก็ได้ระบุชัดเจนว่าหลังจากผ่านการพิจารณาวาระสองต้องโหวตใน 15 วัน ตนเชื่อว่าการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจลงมติของสมาชิกรัฐสภา

นายอำนวยกล่าวต่อว่า ที่หลายฝ่ายกังวลว่าแม้จะลงมติได้ แต่อาจจะมีปัญหาในเรื่องของการนำขึ้นทูลเกล้าฯ หากพิจารณาตาม รธน. มาตรา 90 ที่ระบุว่าร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญและร่าง พ.ร.บ.จะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้ก็แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา และเมื่อพระมหากษัติริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยหรือถือเสมือนว่าได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจาเพื่อประกาศใช้บังคับต่อไป ประเด็นนี้เมื่อสภาได้ให้ความเห็นชอบในวาระสามแล้ว จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงในกระบวนการนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้รับความยินยอม ขึ้นทูลเกล้าเพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธย

"การลงมติเป็นการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา และฝ่ายนิติบัญยัติที่จะเดินหน้าได้" นายอำนวย กล่าว

"คำนูณ"ถามความเหมาะสมหากจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ

นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. สรรหา กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ชะลอการลงมติ ดังนั้นการนัดหมายในวันที่ 28 ก.ย. นี้ เชื่อว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายคนมองเรื่องปัญหาการขึ้นทูลเกล้าฯ หากพิจารณาตามกระบวนการที่ระบุใน มาตรา 291 ก็เป็นกระบวนการที่สภานิติบัญญัตติสามารถทำได้ โดยมีกำหนดระยะเวลาให้รัฐสภานำร่างแก้ไขที่ได้รับความเห็นชอบส่งให้นายกฯนำขึ้นทูลเกล้าภายใน 20 วัน เพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธย และไม่ได้มีการเว้นช่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ดังนั้นอาจจะมีปัญหาว่าการนำร่างที่ยังอยู่ในระหว่างตีความขึ้นทูลเกล้าฯจะมีความเหมาะสมหรือไม่

ปชป. เตรียมเสนอเลื่อนลงมติวาระ 3

ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มองว่าจากาารที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องแล้ว แต่ไม่ได้ชะลอ ตนมองว่าประเด็นนี้ยังเป็นสิ่งที่ทางรัฐสภาต้องมาพิจารณาว่าจะเดินหน้าลงมติในวาระสามต่อหรือไม่ โดย ส่วนตัวมองว่าการลงมติวาระสามสามารถที่จะชะลอ ยกตัวอย่างเช่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่จนถึงขณะนี้ยังไม่ลงมติ ดังนั้นทำให้เห็นว่ายังมีเวลาที่จะชะลอได้ เบื้องต้น 28 ต.ค. ประชาธิปัตย์ ต้องหารือและเสนอให้เลื่อนการลงมติออกไปปแต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ขึ้นกะบเสียงข้างมากในที่ประชุม หากที่ประชุมยังเดินหน้าลงมติ ก็อาจจะเป็นปัญหาต่อไปในกระบวนการที่นายกฯจะนำร่างขึ้นทูลเกล้าภายใน 20วัน ดังนั้นก็ควรรอให้ครบ 20 วันแล้วจึงทูลเกล้าฯ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาในการใช้พระราชวินิจฉัย

จุฬาฯชี้ศาลรธน.เร่งวินิจฉัย หวั่นเกิดปัญหา

ขณะที่นันทวัฒน์ บรมานันท์ อ.นิติศาสตร์จุฬา กล่าวว่าเรื่องนี้ทางสภายังคงที่จะเดินหน้าเพื่อทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดได้อยู่ถึงแม้ว่าจะมี สมาชิกส่วนหนึ่งมองว่าควรชะลอ แต่อย่าลืมว่าแม้จะส่งเรื่องให้ศาลพิจารณาแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แยกออกจากกัน ทางสภาสามารถเดินหน้าลงมติได้

ส่วนประเด็นนำขึ้นทูลเกล้าฯ นายนันทวัฒน์ได้ยกตัวเอย่า กรณีการแต่งตั้ง กสทช. ซึ่งมีผู้ยื่นต่อศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ว่ากระบวนการได้มามิชอบ และ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจะนะงับไว้ก่อน แต่ก็มีเสียงว่านายกไม่ควรระงับเพราะเท่าากับเป็นการแทรกแซง นายกจึงไม่ระงับไว้ ทั้งๆที่มีการยื่นคำร้องต่อศาลอยู่ ตามกระบวนการนี้เมื่อลงมติผ่านวาระสามไปแล้ว กฎหมายให้อำนาจนายกนำขึ้นทูลเกล้าโดยทันที

นายนันทวัฒน์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามหากรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขมีผลบังคับใช้แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่ามิชอบอาจจะเป็นปัญหาได้ว่ายกเลิกได้หรือไม่ ดังนั้นหากศาลรัฐธรรมนูญมองว่าเป็นเรื่องด่วนก็ควรไต่สวนหรือพิจาณราให้แล้วสร็จก่อนที่จะลงมติหรือนำขึ้นทูลเกล้าฯ

ระบุศาลรธน. มีอำนาจรับเรืองไว้พิจารณา

ขณะที่ นายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สำหรับการยื่นคำร้องครั้งนี้ต้องมองเป็นสองกรณี คือ 1.เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดต่อมาตรา 68 ว่าด้วยการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่รัฐธรรมนูญบัญญัติหรือไม่ และ 2.กระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชอบด้วยข้อบังคับตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยทีเปิดโอกาสให้สมาชิกรัฐสภาที่มีการสงวนความเห็นและคำแปรญัตติได้อภิปรายอย่างครบถ้วนหรือไม่

นายกิตติศักดิ์ กล่าวต่อว่า ประเด็นการพิจารณาของสมาชิกรัฐสภาว่าเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ตนมองว่าเป็นสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญ สามารถที่จะรับคำร้องได้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องการใช้สิทธิของสมาชิกรัฐสภาและตัวรัฐสภา ที่สมาชิกรัฐสภาถูกมองว่าถูกจำกัดสิทธิ ส่วนที่จะขัดกับ ม. 68 หรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าหากศาลพิจารณาเรื่องการจำกัดสิทธิ การวินิจฉัยเรื่อง ม. 68 น่าจะสอดคล้องกัน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

สัมภาษณ์พิเศษ : ดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ต้นทุนแฝงแพงกว่าที่คิด !!??

การค้าขายในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต ซึ่งกระบวนการผลิตสินค้ามีต้นทุนแฝงมากมาย โดยเฉพาะต้นทุนด้านพลังงาน ซึ่งพลังงานนอกจากจะทำให้สูญเสียเม็ดเงินแล้ว หากปล่อยขึ้นไปในอากาศมากๆ ยัง ก่อให้เกิดผลเสียต่อโลก และกำลังจะกลายเป็นมาตรการกีดกันทางการค้ารูปแบบใหม่ ที่กลุ่มประเทศอาเซียนหยิบยก มาพูดถึง

ดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ถึงแนวทางการทำอุตสาหกรรมยุคใหม่ และการเข้ามาเป็น แรงขับเคลื่อนของสถาบันมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย

อยากให้เล่าถึงบทบาทของสถาบันฯโดยสังเขป?

งานที่เราทำมีหลายด้าน เช่นการ นำเสนอข้อมูลให้คนศึกษาเพื่อมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและปรับตัว โดยดึงทุกภาค ส่วนมาทำงานร่วมกัน เมื่อขับเคลื่อนในประเทศเสร็จได้ผลดีก็ขยายผลไปสู่ต่างประเทศ ถ้าต่างประเทศมีเรื่องใหม่ๆ ก็นำมาขยายผลในประเทศไทย

 โครงการที่พอจะเห็นเป็นรูปธรรม? 

ยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้วว่าน้ำทะเลจะสูงขึ้น อากาศจะร้อนขึ้น ผลไม้จะเปลี่ยนฤดูกาล สื่อสารให้คนไทยปรับตัวในการสร้างผลผลิตหรือการบอก กับประเทศเพื่อนบ้านว่าน้ำในแม่โขงจะลดลงแล้วนะ ต้องมาคุยว่าจะหาทางออกร่วมกันอย่างไร ถ้าจีนสร้างเขื่อนกักน้ำเรา จะหาทางออกอย่างไร หรือเจรจาต่อรองกับจีน เพื่อให้เกิดการปรับตัวอย่างไร สร้างเขื่อนอย่างไรโดยไม่กระทบกับประเทศที่อยู่ปลาย น้ำ หรือในอนาคตเราจะต้องเจอแน่ๆ ถ้าไม่ เตรียมการคือเรื่องพลังงาน เราซื้อพลังงาน ข้างนอกมาใช้ ไม่ลดการใช้ลง ไม่หาแหล่งพลังงานใหม่ๆ อย่างแอลพีจีถ้าไม่มีการปรับ ราคาเปิดประชาคมอาเซียน คนจะแห่มาซื้อเมืองไทยจนหมด เพราะเราขายถูก

 อนาคตการทำเกษตรบ้านเราควรปรับตัวอย่างไร?

เกษตรมี 2 แบบคือปลูกเพื่อกินในประเทศ ต้องมีระบบการจัดการว่าพื้นที่ไหนปลูกพืชอาหาร พื้นที่ไหนปลูกพืชพลัง งาน ทุกวันนี้เกษตรกรไทยมีปัญหาผลผลิต ต่อไร่ต่ำ จึงต้องมีการนำระบบวิจัยและพัฒนามาใช้ ทำยังไงให้เพิ่มผลผลิตได้ ต้อง ปลูกของดีแล้วขายราคาแพง ไม่ใช่ปลูกของถูกเพื่อส่งออก อุตสาหกรรมก็เหมือน กัน อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูงแล้วส่งออก ถ้าราคาไม่ดีมาก ควรทำหรือเปล่า หรือว่าควรหยุดการส่งเสริม

ในอาเซียนดำเนินการเรื่องเหล่านี้อย่างไร? 

ประเทศที่ฉลาดสุดคือสิงคโปร์ โรง งานที่มีมลพิษมากๆ เขาไม่เอา มาเลเซียก็ ใช้วิธีนี้ เวียดนามก็เริ่มใส่ใจเพราะบริษัทใหญ่ๆ เข้าไปลงทุนในเวียดนามมาก ซึ่งเขาก็เรียนรู้จากเรา เอาไปตั้งกติกาในประเทศของเขา สำหรับประเทศไทยก็ต้องประเมินว่าควรจะสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมากๆ หรือเปล่าเพราะถ้าเรา ต้องผลิตสินค้าที่ใช้พลังงานเช่นน้ำมันจำนวนมาก โดยต้องจัดหาพลังงานมาให้กับอุตสาหกรรมนั้นๆ อาจจะไม่ฉลาดนัก เพราะคนที่ได้คือเจ้าของโรงงาน แต่ประเทศ เหนื่อย ต้องหาพลังงานจำนวนมากมาให้บริษัทนี้เพื่อผลิตของขาย เราน่าจะมีหลัก ในการคิดใหม่ว่าอุตสาหกรรมไทยจะไปทาง ไหน ควรจะมีอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมากๆ ได้แค่ไหน ถ้าดูแล้วได้เงินเข้ามาพัฒนาประเทศไทยไม่มาก กำไรนิดหน่อย แต่ต้องคอยหาพลังงานมาอุดหนุน เกิดผล กระทบต่อสุขภาพ ระบบนิเวศเสีย วัตถุดิบ ก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อาจจะต้องเลิกการส่งเสริมสนับสนุน เหมือนสิงคโปร์ที่เลือกอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพเข้า ไปตั้งในประเทศ

เห็นว่าร่วมกับบริษัทดาว เคมิคอลทำโครงการพี่ช่วยน้อง?

คุยกันเมื่อ 4 ปีที่แล้ว คอนเซปต์บริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย จำกัด มองว่าอยากทำซีเอสอาร์ แต่สถาบันไม่ได้ มองว่าซีเอสอาร์สำคัญ ก็พยายามคุยให้เปลี่ยนใจ หาจุดดีของดาวจนเจอว่าดาวมี โรงงานที่จีน ซึ่งมีกฎระเบียบเรื่องคลีนเนอร์เทคโนโลยีถึงขั้นผลิตตำราภาษาจีน มีระบบการลดความสูญเสียในกระบวน การผลิตสินค้า การป้องกันอุบัติเหตุกับบุคลากร จึงเอาบทเรียนที่เขาทำได้ดีในจีน มารวมกับประสบการณ์ของเราที่เคยทำเรื่อง Lean แล้วนำเสนอในรูปแบบพี่ใหญ่ ดูแลน้อง ช่วยอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม

รูปแบบการทำงานเป็นอย่างไร?

เริ่มต้นด้วยการพัฒนาแนวคิดและจัดทำคู่มือ Lean Management for Environment ที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก โดยดำเนินการร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และหุ้นส่วนเชิง สร้างสรรค์ไทย-สหรัฐฯ ในการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมและการป้องกันมลพิษที่ยั่งยืน ให้แก่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐและเอกชน และสถาบันการศึกษา รวมแล้ว กว่า 2,000 คน โดยแก้ไขปัญหาที่ต้นทางอย่างครบวงจรเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดมลพิษ ลดการใช้พลังงาน แต่เกิดประสิทธิภาพที่ดีต่อการบริหารจัดการองค์กร ซึ่งจะทำให้ธุรกิจภาคอุตสาหกรรมเติบโตควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคมได้ในระยะยาว ช่วยยกระดับองค์กรให้ก้าวไปสู่การเป็น "Green Industry" รวมทั้งเป็นการต่อยอดเพื่อสร้างระบบ "เศรษฐกิจสีเขียว" ขยายผลไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ จากนั้นขยายสู่ภาคส่วนอื่นๆ ให้มีการนำองค์ความ รู้ที่ได้รับไปสู่การปฏิบัติในลักษณะ "Good Practice" และมีการประยุกต์ใช้ Lean Management for Environment ในโรงงานนำร่อง

คัดเลือกโรงงานที่เข้ามาร่วมอย่างไร?

ตอนแรกเรามองโรงงานอุตสาหกรรมที่มีปัญหาด้านต้นทุนและมลพิษเยอะ เช่น โรง งานเซรามิก โรงงานฟอกย้อม ซึ่งจบโครงการเฟสแรกไปแล้ว ปัจจุบันขึ้นเฟสใหม่ คัด เลือกโรงงานทุกกลุ่มอุตสาหกรรมเน้นการ ฝึกอบรมเชิงลึกว่าการลดการสูญเสียทำได้อย่างไร โดยจะคัดเลือกโรงงานที่มีความตั้งใจอยากปรับปรุงกระบวนการผลิตจริงๆ

อุตสาหกรรมที่ทำตามระบบดังกล่าวจะดีขึ้นอย่างไร?

ยกตัวอย่างเซรามิก เวลาขึ้นรูปจะสูญเสียประมาณ 50% เบี้ยวบ้าง สีเพี้ยนบ้าง ต้องทิ้ง เราก็ต้องสอนให้เขาควบคุมกระบวนการผลิตให้สูญเสียน้อยที่สุด เผา แจกันใบหนึ่ง พลังงานก็ต้องเสีย ดินก็ต้อง เสีย สีก็ต้องเสีย หลักการคือเอาระบบลีนเข้าไปลดการสูญเสีย ให้ได้ของเกรดดีขายได้ราคาแพงขึ้น หรือการผลิตยามีกติกาว่ายาที่ผลิตแล้วเสีย สามารถนำกลับ มาใช้ใหม่ได้แค่ 10% ห้ามเกินเป็นกติกาสากล ถ้าไม่ทำตามนี้ถือว่ามีความผิด ถ้าเสีย 15% ก็ต้องทิ้ง 5% เราต้องอบรมว่า ทำยังไงจะลดความสูญเสียเรื่องยาได้ทำยังไงให้ประหยัดพลังงานได้ ทำยังไงให้ใช้แรงงานได้คุ้มที่สุด บางอย่างเป็นต้นทุนที่คิดไม่ถึง เช่น พนักงานเลิกงานกลับบ้านเอาเครื่องลมเย็นฉีดไล่ความสกปรกก็เกิด ความสูญเสียแล้ว

ถ้าเปิดเออีซีอุตสาหกรรมไทยสู้อาเซียนได้ไหม? 

ฝีมือแรงงานต้องพัฒนา ภาษาอังกฤษต้องได้ ถ้าแรงงานเราไม่พัฒนา โรงงานเขาก็ย้ายไปหาที่ใหม่ที่มีต้นทุนถูกกว่า แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดเราต้องลดต้นทุนแฝงให้ได้ ถ้าลดต้นทุนแฝงได้ ก็เท่า กับลดคอสต์การผลิต ศักยภาพการแข่งขันก็สูงขึ้น

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////

การแทรกแซงราคาพืชผล : บทเรียนที่ต้องจดจำ !!??

การออกมาชุมนุมประท้วงราคายางพาราตกต่ำของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราและมีอาชีพเกี่ยวกับยางพาราทั่วประเทศ จนเหตุการณ์บานปลายกลายเป็นการปิดถนน ปิดทางรถไฟ ยึดสถานที่ราชการ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แน่นอนว่าย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สมควร และไม่ใช่เป็นการชุมนุมประท้วงตามสิทธิที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามที่กลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวอ้างอย่างแน่นอน

เพราะการชุมนุมดังกล่าวมีการละเมิดสิทธิของผู้อื่นอย่างชัดแจ้ง และการชุมนุมในลักษณะเช่นนี้ ถ้าเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมมีอำนาจอย่างเต็มที่ตามกฎหมายในการเข้าสลายการชุมนุม เพื่อรักษาสิทธิของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ให้ได้รับผลกระทบ โดยไม่จำเป็นต้องรอฟังคำสั่งจากนักการเมืองหรือรัฐบาลแต่อย่างใด ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการสลายการชุมนุม อาจถูกกล่าวหาฟ้องร้องจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ว่าเจ้าหน้าที่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เรื่องของการชุมนุมประท้วงจนบานปลาย กลายเป็นม็อบและมีการปิดถนนไปหลายแห่งนั้น สาเหตุหลักก็คือ เรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ในอดีตก็มีการประท้วงกันอยู่เป็นประจำ รัฐบาลก็แก้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง วิธีการแก้ไขก็วนเวียนกันไปมา ระหว่างการรับจำนำ การประกันราคา การให้เงินช่วยเหลือ ฯลฯ ซึ่งก็ทำกันอยู่อย่างนี้เรื่อยมา โดยไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาในระยะยาวกันแต่อย่างใด

คำถามที่น่าสนใจก็คือ ในเมื่อเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติเป็นประจำ ทำไมปีนี้บรรยากาศการประท้วงจึงรุนแรงกว่าทุก ปี ทั้งๆที่ราคายางก็ยังไม่ได้ตกต่ำอะไรมากมายจนเกินไปนัก ว่า กันที่จริงราคายางที่กิโลกรัมละ 70-80 บาท ก็ยังพออยู่กันได้ เพียง แต่ไม่มีกำไรมากมายนัก แต่แน่นอนว่าถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับ ราคาที่เคยขึ้นไปสูงสุดถึง 140-150 บาท/กก. ก็จะรู้สึกว่าราคา ตกต่ำลงมามาก แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าราคานั้นเป็นราคาที่สูงเกินปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง และเป็นราคาที่ไม่ยั่งยืน อยู่ได้ไม่นาน

ผมมาวิเคราะห์ดูแล้วก็เห็นว่า มีปัจจัยอยู่สองประการที่ทำ ให้การประท้วงในปีนี้ค่อนข้างจะรุนแรงกว่าทุกปี คือ

1.บรรยากาศทางการเมืองที่มีการแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล รวมทั้งมีความพยายามที่จะปลุก ระดมมวลชนนอกสภาให้เข้าร่วมต่อสู้ทางการเมืองของพรรค การเมืองทั้งสองฝ่าย ยิ่งทำให้การต่อสู้ทางการเมืองมีความเข้มข้นมากขึ้น และลุกลามออกมานอกสภา

ถึงแม้ว่าทางฝ่ายเกษตรกรผู้ชุมนุมจะปฏิเสธว่าไม่มีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองหนุนหลัง แต่การที่การชุมนุมมีความเข้มข้นรุนแรงมากที่สุดในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่อิทธิพลของพรรคฝ่ายค้าน ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าการประท้วงครั้งนี้ปลอดจากการเมืองโดยสิ้นเชิง

2.นโยบายรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าราคาตลาดมากถึง 40% ของรัฐบาล นโยบายนี้เป็นนโยบายดาบสองคมของรัฐบาล ทางหนึ่งทำให้รัฐบาลชนะการเลือกตั้ง และเมื่อทำได้จริง ก็ได้รับความนิยมจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าว แต่อีกทางหนึ่งก็ทำให้รัฐบาลเผชิญกับปัญหาข้าวล้นสต็อก ขายไม่ออก ขาดทุนมหาศาลจากโครงการนี้ ถูกตรวจสอบอย่างหนักจากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว

มาคราวนี้รัฐบาลยังถูกเกษตรกรชาวสวนยางย้อนรอยว่า รัฐบาลกำลังดำเนินนโยบายสองมาตรฐานกับเกษตรกร โดยรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าราคาในตลาดโลกมาก แต่กับยางพารารัฐบาลกลับไม่ยอมประกันราคาหรือรับจำนำในราคาสูงเช่นเดียว กันกับข้าว แต่กลับบอกว่าต้องเป็นไปตามราคาในตลาดโลก

ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นประเด็นสำคัญครับ และรัฐบาลคงดิ้นไม่หลุด เพราะเป็นผู้ไปผูกปัญหาเอาไว้เอง โดยลืมไปว่า การรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าตลาดโลกมาก จะเป็นตัวอย่าง ให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชชนิดอื่นเรียกร้องเอาอย่างตาม

เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่หาทางออกลำบากครับ เพราะรัฐบาลจะไปบอกว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีความสำคัญกว่าเกษตรกรชาวสวนยางก็พูดไม่ได้ หรือจะบอกว่าข้าวสำคัญกว่า ยางพาราก็พูดได้ไม่ถนัดปากนัก พูดมากไปจะกลายเป็นการแบ่งพื้นที่ช่วยเหลือตามพื้นที่คะแนนเสียงที่ได้รับเลือกตั้งเสีย อีก ซึ่งเป็นจุดอ่อนของพรรครัฐบาลที่ถูกโจมตีในเรื่องนี้มาโดยตลอดอยู่แล้ว

ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายที่ไม่รอบคอบ มองไม่รอบด้านเท่าที่ควร และข้อสำคัญไม่มีความเข้าใจว่า นโยบายประชานิยมนั้น เมื่อนำมาใช้ก็เหมือนยาเสพติด มีแต่จะต้องใช้ยาแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนโยบายอุดหนุนหรือแทรกแซงราคาสินค้าทางการเกษตรนั้นกูรูทางการตลาดเขาบอกเอาไว้แล้วว่า เป็นประชานิยมขั้นสุดยอด ทำแล้วได้คะแนนเสียงเป็นกอบเป็นกำ แต่ต้องทำให้เป็นนะครับ ถ้าทำไม่เป็น มันก็จะหันกลับมาบาดมือจนเลือดสาดแบบนี้ละครับ

อย่างที่เขาเรียกกันว่า "ประชานิยมไร้เดียงสา" ไงล่ะครับ !!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

จัดระบบเทรดทอง สกัดค่าเงินป่วน !!??

สมาคมค้าทองเตรียมเสนอแผนตั้งศูนย์กลางตลาดค้าทองในประเทศ จัดระเบียบการซื้อขาย ลดแรงกดดันค่าเงินผันผวน ก.ล.ต.ผนึกธปท.ดูแลการเก็งกำไรค่าเงิน

นายภควต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา ผู้ถือหุ้นใหญ่ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า สมาคมค้าทองคำมีแนวคิดจัดตั้งศูนย์กลางตลาดซื้อขายทองคำ (Gold Exchange) เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของนักลงทุนที่ต้องการซื้อและขายทองคำแท่ง สามารถมาซื้อขายในตลาดนี้ซึ่งอยู่ภายในประเทศ เนื่องจากปัจจุบันการซื้อขายทองคำแท่งจะเป็นลักษณะนักลงทุนแต่ละรายซื้อ สั่งซื้อขายทองผ่านผู้ประกอบการแล้วผู้ประกอบการค้าทองก็จะนำเข้าทองจากต่างประเทศ

ดังนั้น หากมีตลาดซื้อขายทองคำแท่งในประเทศ เชื่อว่าจะลดแรงกดดันต่อการเคลื่อนไหวอัตราแลกเปลี่ยน เพราะการสั่งซื้อ-ขายทองคำแท่งจากต่างประเทศ จะเกี่ยวข้องกับการซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไปกระทบกับการดูแลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะทำหน้าที่ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ เนื่องจากปริมาณการเทรดทองคำแท่งในประเทศช่วง 2-3 ปีผ่านมามีปริมาณเพิ่มมากขึ้นมาก จนติดอันดับ 3 ของเอเชีย

"หากมีตลาดซื้อขายทองคำแท่งในประเทศ ถ้านักลงทุนซื้อทองแท่งมากกว่าที่มีนักลงทุนเสนอขาย ก็ค่อยนำเข้าทองแท่งมา เฉพาะส่วนต่างระหว่างซื้อกับขาย ก็จะช่วยลดแรงกดดันเรื่องการซื้อเงินตราต่างประเทศ เพราะจะซื้อเฉพาะที่เป็นส่วนต่างกันเท่านั้น" นายภควัต กล่าว

เขายังกล่าวอีกว่า ข้อดีของการมีตลาดซื้อขายทองคำแท่ง จะเป็นการรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (เออีซี) ทำให้ต่างชาติสามารถเข้ามาซื้อขายทองในประเทศไทยได้ด้วย แทนที่ผู้ประกอบการจะออกไปเทรดต่างประเทศ เช่น ที่ตลาดสิงคโปร์ ซึ่งได้ยื่นข้อเสนอมาให้ผู้ประกอบการค้าทองในประเทศไปตั้งบริษัท เพื่อดึงรายการซื้อขายทองแท่งในไทยไป

นอกจากนี้ยังเป็นการจัดระเบียบการค้าทองในประเทศด้วย โดยอาจให้ตลาดหลักทรัพย์มาวางระบบให้ เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์มีประสบการณ์ทั้งตลาดหุ้นและตลาดล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ก็จะช่วยให้ตลาดซื้อขายล่วงหน้า มีความคึกคักเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากทั้งสองตลาดจะลิงค์ถึงกันได้

อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหาที่ทำให้ตลาด Gold Exchange ยังไม่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีใครเป็นเจ้าภาพที่จะทำหน้าที่ในการกำกับดูแลความเรียบร้อย ซึ่งที่ผ่านมาสมาคมก็เคยไปหารือกับหลายหน่วยงาน แต่ไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพ ทั้งที่ตลาดซื้อขายทองแท่งในประเทศปัจจุบันมีมูลค่ามหาศาล บางรายเทรดกันปีละเป็นแสนล้านบาท

"เท่าที่ผมทราบคุณจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทอง ได้มีแนวคิดการเรื่องจัดตั้งตลาดค้าทองมานานแล้วประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้เป็นข้อสรุปในสมาคมฯ รวมทั้งยังไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพ ในการจัดตั้งและกำกับหากตั้งเป็นตลาดค้าทองแท่งในประเทศ"นายภควัตกล่าว

ทั้งนี้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศเอเชีย ที่นิยมการบริโภคและลงทุนทองคำอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมา ผู้บริหารของ ธปท. และดีลเลอร์ในตลาดเงิน ระบุตรงกันว่า ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำ จะมีผลต่อค่าเงินบาท โดยถ้าราคาทองคำปรับตัวลง จะมีการซื้อดอลลาร์เพื่อนำไปซื้อทอง แต่ในทางกลับกัน ถ้าราคาทองคำปรับขึ้น จะทำให้มีการขายทำกำไรทอง และขายดอลลาร์ เช่นกัน

ก.ล.ต.พร้อมร่วมมือธปท.สอบเก็งกำไร

ด้าน นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.พร้อมหารือและให้ความร่วมมือกับ ธปท. ในการกำกับดูแลผู้ประกอบการทองคำในเรื่องการเก็งกำไรค่าเงิน อย่างไรก็ตาม บทบาทหน้าที่ของก.ล.ต.กำกับดูแลเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายล่วงหน้า หรือฟิวเจอร์สเท่านั้น

ขณะที่การซื้อขายทองแท่งหรือรูปพรรณอยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเข้าใจว่าทาง ธปท.มีความกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นหาก ธปท.เห็นว่ามีส่วนใด หรือแนวทางใดที่ ก.ล.ต.ช่วยเหลือได้ ก็ยินดี ซึ่งจะต้องมีการหารือกัน แต่ ปัจจุบัน ยังไม่ได้หารือกัน และ ธปท.เอง ก็ยังไม่ได้มีการข้อมูลใดๆ เข้ามา

ย้ำดูแลเฉพาะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

"หากเป็นการซื้อขายทองคำที่ไม่ใช่สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ก.ล.ต.ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจ ก.ล.ต. อย่างไรก็ตามปัจจุบันผู้ประกอบการที่ได้ใบอนุญาตประกอบกิจการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าจาก ก.ล.ต. ก็มีทั้งส่วนที่เป็นโบรกเกอร์ และผู้ประกอบการร้านค้าทองคำ ซึ่ง ก.ล.ต.ได้มีการประชุมหารือกับผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เสมอ ในการหารือครั้งถัดไป อาจจะมีการสอบถามพูดคุย และตักเตือนว่าไม่ควรทำอะไรที่ไม่เหมาะสม"

สำหรับการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สนั้น ปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) อาจจะลดลงบ้าง แต่ไม่มาก และมองว่าไม่มีความสัมพันธ์กันกับประเด็นการเก็งกำไรค่าเงินของผู้ประกอบการร้านค้าทองคำ ขณะที่จำนวนการขออนุมัติวงเงินไปลงทุนต่างประเทศ ของนักลงทุนไทยก็อยู่ในระดับปกติ

เปิด 3 ขั้นตอนสอบซื้อขายล่วงหน้าทอง

ด้าน นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ในการกำกับดูแลผู้ประกอบการร้านค้าทองคำนั้น ก.ล.ต.ทำได้เฉพาะในส่วนที่ ก.ล.ต.รับผิดชอบเท่านั้น โดย ก.ล.ต.จะตรวจสอบใน 3 ส่วน คือ 1.ดูว่าการซื้อขายทองคำนั้น เป็นการซื้อขายล่วงหน้าล่วงหน้าหรือไม่ 2.หากพบว่าเป็นการซื้อขายล่วงหน้า ก็ต้องเข้าไปตรวจสอบว่า ผู้ประกอบการที่ทำธุรกรรมมีใบอนุญาตที่ถูกต้อง หรือเป็นผู้ประกอบการเถื่อนหรือไม่ และ 3.หลังจากนั้นถึงจะตรวจสอบว่าได้ดำเนินธุรกิจถูกต้องตามที่ใบอนุญาตกำหนดหรือไม่

เล็งพบธปท.แจงข้อมูลค้าทอง

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า สมาคมฯ จะขอเข้าหารือกับธปท. เพื่อชี้แจงและกำหนดแนวทางการป้องกันปัญหาการเก็งกำไรค่าเงินผ่านตลาดทองคำ ซึ่งผู้ประกอบการไม่มีการเก็งกำไรค่าเงินผ่านการซื้อขายในตลาดทองคำ เนื่องจากได้มีการทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน ผ่านสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าอยู่แล้ว และการซื้อขายทองคำในแต่ละครั้ง จะมีการรายงานข้อมูลให้กับทาง ธปท.รับทราบ ซึ่ง ธปท.จะมีข้อมูลในส่วนนี้ชัดเจน

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกลุ่มบริษัท แม่ทองสุก เอ็มทีเอส โกลด์ กล่าวว่า ขณะนี้สมาคมผู้นำเข้าและส่งออกทองคำ อยู่ระหว่างการรอคำตอบจากทางผู้ว่าการธปท.ว่าจะให้เข้าพบเมื่อใด เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ยังไม่แน่ใจว่าจะได้เข้าพบภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ ทั้งนี้ปัจจุบันสมาคมผู้นำเข้าและส่งออกทองคำ มีผู้ประกอบการร้านทองเป็นสมาชิก 7 ราย มีสัดส่วนการนำเข้าส่งออกกว่า 90% ของประเทศ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

สัญญาณ.เลือกตั้ง !!??

จังหวะก้าว ของสองพรรคใหญ่ เพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ในวันนี้ มองเป็นไปอย่างอื่นได้ยาก ต่างมองไปจุดข้างหน้า...

สนามเลือกตั้งที่ต้องพร้อมรับสถานการณ์ยุบสภา ได้ตลอดเวลา "

การเคลื่อนไหวของทั้งสองพรรคการเมือง วันนี้ไม่อาจคิดเป็นไปอย่างอื่น..!

โดยเฉพาะในประเด็น โครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท

เพื่อไทย โดยนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะประกาศคิ๊กออฟแคมเปญโรดโชว์ จุดดีของ ร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ในวันที่ 26 ก.ย.2556 ก่อนที่จะ ตะลุยโรดโชว์สัญจรไปต่างจังหวัด ในเดือน ต.ค.นี้ โดยเชื่อว่าประเทศต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน หลังจากที่ล่าช้ามานาน จากอุปสรรคการเมือง จึงต้องออกเป็นกฎหมายพิเศษ

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เสนอ “อนาคตที่เลือกได้” แนวทางการลงทุนเงิน 2 ล้านล้านบาทใน 7 ปีข้างหน้า ที่อยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่า "เพียงถนนกับรางไม่เพียงพอ แต่ถ้าคนเข้มแข็ง อนาคตไทยเข้มแข็งได้ โดยสามารถใช้งบประมาณปกติและลงทุนทั้งด้านคมนาคม การศึกษาและสาธารณสุขด้วย"

ทั้งสองพรรคประเมินตรงกัน ช่วงสิ้นปีนี้ จะมีจุดหักเหทางการเมือง ทั้งปัญหารุมเร้าทางเศรษฐกิจ ที่จะกดดันรัฐบาล ขณะที่กฎหมายสำคัญๆ 4-5 ฉบับจะเดินเข้าสู่การพิจารณาของศาล

ทางเลือกรัฐบาลมีไม่มากนัก การเลือกตั้งเพื่อ"Restartทางการเมือง"ใหม่ ช่วงชิงความได้เปรียบ และนโยบายในการหาเสียงแน่นอนว่า ชูโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท และร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เดินหน้าแผนปรองดองของประเทศ

ฝ่ายค้านเอง ก็ประเมินเบื้องต้นแล้ว หากยังเดินแผน"ค้าน"อย่างเดียวโดยไม่มี"ข้อเสนอ" ย่อมไม่เป็นทางเลือกให้กับประชาชน ในเชิงนโยบาย หากเลือกตั้งเกิดขึ้นเมื่อไร "จะเสียเปรียบมากขึ้น" ไม่มีทั้งเงินและนโยบาย เลือกตั้งเมื่อไร ส.ส.ในสภาอาจจะหายมากกว่าปัจจุบัน

จึงเป็นที่มากับข้อเสนอ “อนาคตที่เลือกได้” กับแนวทางการลงทุนเงิน 2 ล้านล้านบาท

ทั้งสองฝ่ายจึงมองไปข้างหน้า...สู่การเลือกตั้ง

การขับเคลื่อนที่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้...ฝ่ายหนึ่งจึงลุยโรดโชว์ ฝ่ายหนึ่งประกาศ"ทางเลือกใหม่"...ตัดสินกันที่สนามเลือกตั้ง

ทีมา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

สื่อนอกวิพากษ์ 2 นโยบายประชานิยม รบ.ไทย !!??


ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร,ประชานิยม

สื่อนอกวิพากษ์ นโยบายประชานิยม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ "รถคันแรก-จำนำข้าว" สร้างแรงกดดันเศรษฐกิจ บิดเบือนตลาด เป็นภาระงบประมาณ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน การตัดสินใจของรัฐบาลไทย ที่จะยืดระยะเวลาอุดหนุนราคาข้าว และยางพาราออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการประท้วงขึ้นมานั้น นับเป็นการบ่อนทำลายความพยายามที่จะควบคุมภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น และยังเกิดขึ้นแม้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ต่างลดโครงการอุดหนุนต่างๆ แล้ว

รายงานระบุว่า รัฐบาลจะต้องจ่ายเงินรวม 21,200 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา เพื่อชดเชยราคาที่ร่วงลงมา เพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับ 10,000 ล้านบาท ที่เคยตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ จนทำให้เกิดการประท้วงขึ้นมา ทั้งยังให้คำมั่นถึงการรับซื้อข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดต่อไปอีก 1 ปีเพาะปลูก ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 270,000 ล้านบาท หลังชาวนาขู่ที่จะออกมาเดินขบวนประท้วง

ปริมาณเงินอุดหนุนดังกล่าว อาจทำให้แผนการของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จะจัดทำงบประมาณสมดุลภายในปี 2560 ต้องชะลอออกไป และทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพี ทะยานขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 44.3% ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา จากระดับ 38.2 % ช่วงสิ้นปี 2551

นายยูเบน พาราคูลเลส นักเศรษฐศาสตร์จากโนมูระ โฮลดิ้งส์ อิงค์ ในสิงคโปร์ แสดงความเห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างจะประหลาด เมื่อพิจารณาจากความต้องการของผู้ประท้วง โดยรัฐบาลมีพื้นที่เหลืออีกไม่มานักสำหรับการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรดังกล่าว ความเสี่ยงของเรื่องนี้ ยังอยู่ตรงที่ว่า กลุ่มผู้ประท้วงอาจขยายวงออกไป และยิ่งการประท้วงยืดเยื้อไปนานเท่าใด ก็จะยิ่งสร้างความกังวลมากเท่านั้น และยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้ว

ทั้งนี้ นับแต่เดือนต.ค. 2554 เป็นต้นมา รัฐบาลไทยจ่ายเงินไปแล้ว 675,000 ล้านบาท ในการรับซื้อข้าวโดยตรงจากชาวนา ซึ่งรัฐบาลประเมินว่า ขาดทุนไปราว 137,000 ล้านบาท ในฤดูเพาะปลูก 2554/2555 จากการที่ต้องขายข้าวออกไปในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่รับซื้อมา

นายสเตฟเฟน ดิค ผู้ช่วยรองประธานบริหาร มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ในสิงคโปร์ ระบุว่า โครงการรับจำนำข้าวของไทย ได้สร้างเงื่อนไขขึ้นมาสำหรับกลุ่มอื่นๆ ซึ่งความเสี่ยงของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ว่า ในอนาคตรัฐจะมีการปรับ หรือเก็บโครงการนี้ไว้ต่อไปหรือไม่

นักวิเคราะห์ชี้ด้วยว่า ราคาโภคภัณฑ์ที่กำลังร่วงลง ได้สร้างแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจไทย หลังในช่วง 3 เดือนนับถึงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยปรับลดลงเหลือ 1.7% ทั้งยังมีการหั่นตัวเลขคาดการณ์สำหรับปีนี้ ลงมาอยู่ระหว่าง 3.8-4.3% จากเดิมที่ 4.2-5.2% ส่วนเป้าส่งออกอยู่ที่ 5%

ขณะที่บทวิเคราะห์จากแคปิตัล อิโคโนมิคส์ ประเมินว่า ราคาข้าวไทยอาจร่วงลงมาอยู่ที่ 425 ดอลลาร์ต่อตันภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่ 458 ดอลลาร์ และลดลงไปเหลือเพียง 400 ดอลลาร์ต่อตันในปี 2557 ซึ่งนายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย รองประธานบริหาร บล.ภัทรซิเคียวริตีส์ บอกว่า นอกจากภาคส่งออกแล้ว เศรษฐกิจไทยไม่มีแรงขับเคลื่อนที่แท้จริง โดยราคาสินค้าเกษตรที่ลดต่ำลง จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ และการใช้จ่ายน้อยลง ขณะที่การลงทุนก็จะไม่เพิ่มขึ้น ในช่วงเวลาที่แนวโน้มเศรษฐกิจยังมืดหม่นอยู่

รถยนต์คันแรกทำความต้องการร่วง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โครงการรถคันแรกของไทยให้ผลไม่เป็นไปตามคาด เมื่อลูกค้ากว่าแสนคนผิดนัดชำระหนี้ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่ครองตลาดในไทย ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อปกป้องผลกำไร

ผลวิจัยจากไอเอชเอส โกลบอล ออโตโมทีฟ บริษัทวิจัยในอุตสาหกรรมรถยนต์ แสดงให้เห็นว่าราว 10% ของผู้ซื้อรถในโครงการรถยนต์คันแรกจำนวน 1.2 ล้านราย เปลี่ยนใจไม่ซื้อรถ หรือผ่อนค่างวดรถยนต์ไม่ไหว ซึ่งเมื่อผู้ซื้อยกเลิกการผ่อน สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อรถยนต์ ก็จะเข้าไปยึดรถ และนำไปขายต่อเป็นรถมือ 2 สถานการณ์ที่ทำให้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ บรรดาค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ที่ครองส่วนแบ่งตลาดท้องถิ่นรวมกันมากถึง 80% รายงานยอดขายร่วงลงโดยเฉลี่ย 30%

รายงานระบุด้วยว่า โครงการดังกล่าวของไทย ที่ธนาคารโลกประเมินว่า ทำให้รัฐบาลไทยต้องรับภาระค่าใช้จ่าย 2,500 ล้านดอลลาร์ มีผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกับโครงการ "รถเก่าแลกเงินสด" ที่สหรัฐประกาศเมื่อปี 2552 ที่แรงจูงใจดังกล่าว ทำให้ตลาดบิดเบือนไป เพราะความต้องการที่เฟื่องฟูจะหมดไปทันทีหลังจากที่กำหนดการลดหย่อนภาษีดังกล่าวยุติลงในเดือนธ.ค.

ผู้จัดการเซ็นเตอร์ ยูสคาร์ บริษัทจำหน่ายรถยนต์มือ 2 ที่มีสาขาอยู่ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง เปิดเผยว่า ราคารถยนต์ที่มาจำหน่ายร่วงลงไปโดยเฉลี่ย 20% ในปีนี้ และว่า ดีลเลอร์รายย่อยจำนวนหนึ่งต้องประสบปัญหาในการขายรถ บางรายถึงขั้นต้องปิดกิจการ

"เมื่อลูกค้าเริ่มตระหนักว่าพวกเขาผ่อนค่างวดต่อไปไม่ไหว รถของพวกเขาก็กลายเป็นรถยนต์มือ 2 ไปแล้ว ซึ่งยิ่งทำให้ราคาตกลงไปอย่างมาก"

จำนวนรถยนต์ที่เรียกได้ว่าแทบจะใหม่เอี่ยม ที่มีอยู่ล้นตลาดรถยนต์มือ 2 นั้น ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบรรดาค่ายรถยนต์ และกดดันให้บริษัทเหล่านี้ต้องหาวิธีส่งเสริมการขาย และลดราคารถยนต์ เพื่อให้รถยนต์ออกไปพ้นสต็อก

ช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.ที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่สุด ซึ่งมีโรงงาน 3 แห่งในไทย มียอดขายลดลง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ เหลือประมาณ 20,800 คัน และคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทต้องดำเนินโครงการส่งเสริมการขายทั่วประเทศ ทั้งจับรางวัล และผ่อนรถปลอดดอกเบี้ยนาน 48 เดือน

เช่นเดียวกับค่ายรถยนต์จากสหรัฐ จากเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ป ที่ระบุว่า ช่วง 3 เดือนล่าสุด สภาพตลาดไม่ค่อยดีนัก ซึ่งบริษัทต้องทำงานร่วมกับดีลเลอร์อย่างใกล้ชิด เพื่อออกรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และหาทางดึงความสนใจจากลูกค้า

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ระหว่างประเทศ องค์กรที่มีฐานการดำเนินงานอยู่ในฝรั่งเศส ระบุว่า ในปี 2555 อุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ และคิดเป็นสัดส่วน 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) มียอดการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นถึง 70% มาอยู่ที่ 2.43 ล้านคัน และคาดว่า ในปี 2556 ยอดการผลิตจะพุ่งเกิน 2.5 ล้านคัน แต่ความต้องการที่ลดลงในประเทศ ทำให้บรรดาผู้ผลิตจำเป็นต้องส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดยุโรป ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

อยู่ในความมืด !!??

คอลัมนิสต์ผู้ทรงคุณวุฒิ- พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล

ไม่ทราบว่าใครประกาศว่าประเทศไทยเป็น "ครัวของโลก"  และผู้ประกาศนั้นเชื่อในสิ่งที่ตนประกาศไปหรือเปล่า  ที่เห็นชัดเจนคือไม่เคยมีแผนดำเนินการให้เป็นไปตามนั้น นอกจากการจัดรายการส่งเสริมการขายและส่งออกซึ่งเน้นไปในเชิงการตลาดเท่านั้น คำว่า "ครัว"

มีความหมายรวมถึงการผลิตให้ได้ปริมาณที่เพียงพอและสม่ำเสมอเพื่อการบริโภคภายในประเทศและส่งออก มีความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี และสุดท้ายคือต้นทุนที่แข่งขันได้ ความล้มเหลวในโครงการนี้เป็นตัวอย่างที่บอกเราอีกครั้งว่าระบบการบริหารเศรษฐกิจยังมีปัญหา
   
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของภาคเอกชนที่จะดำเนินการด้วยตัวเอง แต่เมื่อเป้าหมายของธุรกิจคือการทำกำไร ความมั่นคงของ "ครัวของโลก" จึงสั่นคลอนไปตามสภาพของผลตอบแทน เช่น การย้ายฐานการผลิตข้ามประเทศ ความจริงแล้วการย้ายฐานการผลิตได้เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง แต่จะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตรและอาหาร ปัจจัยหลักที่เร่งให้มีการลงทุนเพิ่มในกลุ่มสินค้านี้คือ 1) จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นแต่ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ที่ดินและน้ำ ลดลง 2) การลงทุนที่ผ่านมาถูกจำกัดอยู่ภายในประเทศ 3) มีการกีดกันทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศมากโดยประเทศพัฒนาแล้ว  4) น้ำมันจากธรรมชาติยังมีมากและราคาถูก พลังงานทดแทนจึงยังไม่คุ้มต่อการลงทุน
   
ที่น่าถามคือนโยบายประเทศไทยจะเป็นอย่างไร? เช่น 1)  เราควรจะส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยไปขยายการลงทุนนอกประเทศให้มากขึ้น 2) ส่งเสริมให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น  3) ปิดประตูในประเทศแต่ส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าเราจะเลือกนโยบายใดผลกระทบจะต้องเกิดขึ้นตราบเท่าที่เราไม่ปรับมาตรการการอุดหนุนสินค้าเกษตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

ตัวอย่างของการเคลื่อนไหวของประเทศจีนและไต้หวันในเรื่องนี้เป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ประเทศจีนใช้กรอบข้อตกลง ASEAN+3 ส่วนไต้หวันใช้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APEC) แม้ว่าทั้ง 2 กรอบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันโดยตรงแต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการเพิ่มผลผลิตเพื่อแก้ปัญหาขาดอาหารเนื่องจากภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม อากาศแล้ง บทบาทของกระทรวงเกษตรฯ ไทยมีค่อนข้างสูงในกรอบทั้งสอง แต่เนื่องจากขาดนโยบายรัฐที่ชัดเจน จึงไม่สามารถบอกได้ว่าจะมียุทธศาสตร์อะไรในการ "เจรจา" ที่ค่อนข้างจะยืดเยื้อ
   
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปร่วมงานสัมมนาที่จัดโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ภายใต้หัวข้อ How  Can Myanmar Prepare For AEC? ที่มัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์ หรือพม่า โดยมีผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์เป็นส่วนหนึ่งของ ASEAN และเป็นประเทศเกิดใหม่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ดังนั้นการเรียนรู้และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องต้องเร่งดำเนินการทั้งภาครัฐและเอกชน และผมก็เชื่อว่าเขาสามารถทำได้ดีเพราะมีตัวอย่างจากหลายประเทศ เมียนมาร์จึงเป็นประเทศที่เราต้องจับตามองว่าจะเป็นคู่แข่งหรือคู่ค้าของเราในด้านเกษตรและอาหาร แต่ไม่ว่าเขาจะเลือกเป็นแบบไหนประเทศไทยก็ต้องเดินหน้าต่อไปโดยการปรับนโยบายการผลิต การค้า การลงทุน และมาตรการการอุดหนุนให้สอดคล้องกันซึ่งผมยังไม่เห็นสิ่งเหล่านี้แม้แต่เงา

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
.................................................................

จับตา ดีลลับ : สภาปฏิรูปการเมือง ฉบับ เติ้ง vs สปท. !!??



ช่วง เวลาที่อุณหภูมิทางการเมืองเข้าโหมดร้อน อันเนื่องมาจากฝ่ายบริหารโดย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มเดินหน้าขับเคลื่อนงานการเมืองเรื่องร้อนๆ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือออกกฎหมายนิรโทษกรรม

แม้ก่อน หน้านี้รัฐบาลจะทำงานตามนโยบายอย่างมีอุปสรรคบ้างราบรื่นบ้าง แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นภัยต่อเสถียรภาพความมั่นคง เพราะไม่มีเรื่องการเมืองร้อนๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ถึงกระนั้นเรื่องต่างๆ ที่ทำก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ตามแนวคิดของพรรคเพื่อไทย (พท.) และมวลชนผู้สนับสนุน

เมื่อการเมืองเข้าโหมดร้อน รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เลือกที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยใช้ช่วงเวลาที่หลายฝ่ายพูดถึงและวิพากษ์การเมืองอย่างเข้มข้น มาเป็นประตูเพื่อนำไปสู่ทางออกของปัญหาในอนาคต ด้วยการเดินหน้าแนวคิดสภาปฏิรูปประเทศ

พร้อมกับเชิญฝ่ายต่างๆ มาร่วมถกเถียง เสนอทางออกกับประเทศ

เวที ปฏิรูปอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นครั้งแรกในวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา มีบุคคลสำคัญระดับประเทศเข้าร่วมประชุมอย่างคับคั่ง จะขาดก็แต่คู่ขัดแย้งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)

แต่ปัญหาหลักของ เมืองไทย คือความขัดแย้งทางการเมืองที่มีมาก่อนรัฐประหารปี 2549 ดังนั้น "นายกฯ ปู" จึงมอบหมายให้ นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งมีความอาวุโสและบารมีทางการเมือง เดินสายทาบทามคนอื่นๆ ที่ยังไม่เข้าร่วม ให้มาอยู่ในเวทีเดียวกันให้ได้

ถาม ว่าทำไมเป็นงานที่หนักหรือไม่ งานนี้หินแค่ไหน ก็ต้องตอบได้เลยว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ ปชป. และพันธมิตรฯ ต่างมีจุดยืนที่อยู่คนละขั้วกับรัฐบาลเพื่อไทย (พท.)

ถามว่าที่ รัฐบาลเลือกใช้บริการ "บรรหาร" คำตอบคือ "เชื่อมือ" หมายถึงเชื่อว่าจากประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวงการเมืองมาเกือบทั้งชีวิตจะทำ งานนี้ได้ดีกว่าใครเพื่อน อีกทั้งจะเห็นว่า "บรรหาร" สามารถเข้าได้กับทุกฝ่าย ที่สำคัญ เขาเป็นผู้ที่มีเครือข่ายคอนเน็กชั่นอย่างดีเยี่ยม

ดังนั้น นายกฯ จึงมอบความไว้ใจให้เต็มร้อย แม้ด้วยบุคลิกจะคล้ายเป็นคนพูดไม่เก่ง ไม่เหมาะกับการตอบโต้กับ ปชป. และพันธมิตรฯ แต่ทุกคนต่างมองข้ามเรื่องนี้อย่างไม่ต้องเหลียวหลัง

อย่าง ที่รู้กันว่า "บรรหาร" ผู้มีความอาวุโสทางการเมือง สามารถเข้านอกออกในได้อย่างทั่วถึง เมื่อใดก็ตามที่ปิดห้องคุยหรือพูดคุยเป็นการส่วนตัว ดีลในครั้งนั้นแทบจะลุล่วงเหมือนโปรยกลีบกุหลาบ

ทว่า งานประสานคู่ขัดแย้งทางการเมืองให้มาร่วมลงเรือปฏิรูปการเมืองลำเดียวกัน ของ "บรรหาร" ในครั้งนี้ถือว่าไม่ง่าย เพราะก่อนหน้านี้เดินสายเข้าหา "สนธิ ลิ้มทองกุล" และ "พล.ต.จำลอง ศรีเมือง" แห่งบ้านพระอาทิตย์ ก็มีคนปล่อยข่าวพร้อมโชว์ภาพว่าเป็นกิ๊กกับดาราสาว "มะนาว" น.ส.ศรศิลป์ มณีวรรณ์ แห่งวิก 7 สี ยังดีที่ "อาบรรหาร" และ "หลานมะนาว" ออกมาแจงได้ทันถ่วงที ไม่งั้นเรื่องนี้เห็นทีจะยาว

งานนี้เห็นได้ ชัดเจนว่ามีคนต้องการทำลายความชอบธรรม หรือดิสเครดิตการเดินหน้าในฐานะผู้ประสานงานเวทีปฏิรูปของ "บรรหาร" แต่ด้วยความที่เป็นคนตรงไปตรงมา บวกกับบารมีบุญเก่าจึงรอดตัวมาได้

แม้ การเดินหน้าเข้าหา ปชป. พันธมิตรฯ รวมถึง นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่ได้รับการตอบรับ ซ้ำยังถูกสวนกลับอย่างรุนแรง แต่ก็ต้องนับถือน้ำใจของนายบรรหาร เพราะนี่เป็นงานหิน ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าผลรับจะออกมาแบบไหน แต่ก็ต้องทำด้วยความเต็มใจ

เพราะ เจ้าตัวรู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่า ปชป. และพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงย่อมไม่ตอบรับการเข้าร่วมเวทีปฏิรูปกับรัฐบาลอย่าง เป็นแน่ เนื่องจากเห็นว่าฝ่ายบริหารกำลังสร้างความขัดแย้งเสียเอง เช่น การออกกฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงแก้รัฐธรรมนูญ

ไม่ร่วมด้วยเพราะยังไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจรัฐบาล ไม่ใช่ไม่เชื่อใจนายบรรหาร

งาน นี้ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล อย่าง "ปชป." นอกจากจะไม่เข้าร่วมแล้ว ยังผุดเวทีปฏิรูปของตัวเองขึ้นมาเป็นคู่ขนานอีก เหมือนกับเวทีผ่าความจริงที่เดินสายตามเวทีของเสื้อแดงอย่างไม่ผิดเพี้ยน

รวม ทั้งเพื่อนเก่าของเหล่าพันธมิตรฯ อย่าง "สุริยะใส กตะศิลา" พร้อมมิตรสหาย ร่วมกันเปิดตัวสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย 2556 หรือ สปท. ก็ถือเป็นคู่ขนานกับเวทีปฏิรูปของ "ยิ่งลักษณ์" อีกเวทีหนึ่ง

ดู อย่างไรก็มองไม่เห็นว่าแนวทางที่นายกฯ ต้องการจะเกิดขึ้นได้ จากเดิมที่รัฐบาลต้องการเปิดพื้นที่รับฟังความเห็นแล้วนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ก็กลับกลายเป็นว่ามีเวทีคู่ขนานพูดคนละเรื่อง จึงทำให้หลายฝ่ายมองว่าเวทีปฏิรูปของรัฐบาลจะไปไม่ถึงจุดหมายในที่สุด

แต่มังกรเมืองสุพรรณ อย่าง "บรรหาร" กลับบอกว่า "อยากให้ตั้งหลายๆ สภา และหลายๆ เวที เพื่อจะได้มีความเห็นที่หลากหลาย"

เขา เห็นว่า การที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิด ขึ้นได้ในเร็ววัน จึงเป็นไปได้ที่ระหว่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในส่วนเวทีปฏิรูปของรัฐบาล ปชป. และ "สปท." จะเดินหน้าในแบบต่างคนต่างทำ ต่างดำเนินไปในรูปแบบของตัวเอง

รัฐบาลจะเฝ้าดูทั้ง 2 เวทีนี้อยู่เนืองๆ ขณะที่อีก 2 เวทีก็จะจับตาดูเวทีของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

เชื่อ ว่าวันหนึ่ง เมื่อฝ่าย "ปชป." และ "สปท." มีมติออกมาแล้วรัฐบาลคิดว่า สามารถเดินเข้าไปพูดคุยกันต่อได้ วันนั้น "บรรหาร" คนเดิม จะถือธงนำหน้าเข้าหากลุ่มเหล่านี้อีกครั้ง

ที่สำคัญเวลานี้ "บรรหาร" ยังไม่ได้ใช้ความสามารถพิเศษอย่างเต็มขั้นในการดีลแบบลับๆ เลยแม้แต่น้อย ที่เห็นอยู่เป็นเพียงฉากหน้าที่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลจัดขึ้นมาเพื่อแสดงออก ผ่านสื่อเพียงเท่านั้น

และทั้ง ปชป. และพันธมิตรฯ ที่ต่างจับจ้องมายังรัฐบาลเพื่อเช็กว่า แผนการเกี่ยวกับแนวทางปฏิรูปนั้น จะออกมาหน้าตาอย่างไร แน่นอนหากออกมาดี แล้วกลุ่มดังกล่าวไม่เข้าร่วมก็ถือว่าตกขบวน

การตั้งเวทีคู่ขนานอย่างที่เป็นอยู่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดี นั่นคือ เป็นไปได้ที่ทุกฝ่ายจะได้มาร่วมกันกำหนดแนวทางปฏิรูปประเทศในอนาคต

ส่วน ข้อเสีย ก็เป็นไปได้ที่เมื่อต่างฝ่ายต่างยืนยันในจุดยืนของตัวเอง ไม่ยอมผ่อนปรนยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่าย ย่อมเป็นการเพิ่มความขัดแย้ง และจะนำไปสู่ฉากจบของ "สภาปฏิรูปทางการเมือง" ไปในที่สุด

จากนี้ไปคง ต้องจับตาดูปฏิกิริยาของทุกฝ่าย และการเดินหน้าประสานสิบทิศในแบบฉบับจัดเต็มสไตล์ "บรรหาร" ว่าจะฝ่าด่านหินปฏิรูปการเมืองไปสู่ "ความปรองดอง" ได้จริงหรือไม่

ที่มา:มติชน
//////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

ท่าเรือไทยใน เออีซี !!??

โดย ณกฤช เศวตนันทน์

การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ของประเทศสมาชิกอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้า จะส่งผลให้มีการเปิดเสรีทางด้านการค้าการลงทุนทั้งภายในอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น ซึ่งหากเราพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้วการค้าทั่วโลกพึ่งพาการขนส่งทางทะเลเป็นหลักราว 90% ของปริมาณขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งหมด



ส่งผลให้ ท่าเรือ มีความสำคัญในฐานะ ประตู เปิดรับการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ดังนั้น ความพร้อมและศักยภาพของท่าเรือในอาเซียนจึงเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งของความสำเร็จของ AEC ในคอลัมน์นี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับแนวนโยบายการขนส่งของไทยใน AEC

สำหรับประเทศไทยนั้นปัจจุบันมีท่าเรือสินค้าถึง 147 แห่ง แต่มีท่าเรือสินค้าเพียง 10 กว่าแห่งเท่านั้นที่มีกิจกรรมการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ มีหน่วยงานที่บริหารจัดการ ได้แก่ การท่าเรือแห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และบริษัทเอกชน ทั้งนี้ แต่ละหน่วยงานมีวัตถุประสงค์ในการสร้างท่าเรือที่ต่างกันไปตามประเภทสินค้าและผู้ใช้บริการ

ในการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือนั้น นอกเหนือจากการให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งได้แก่ การให้บริการเรือและการขนส่งสินค้าโดยทั่วไปแล้ว ยังประกอบด้วยงานพิธีการศุลกากร การตรวจตรา

สินค้า กฎระเบียบและขั้นตอนการดำเนินงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในที่นี้เราจะเรียกสิ่งเหล่านี้รวมกันว่า สิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation) การปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าที่ท่าเรือ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งตัวท่าเรือเอง ระบบคมนาคมขนส่งที่เข้าสู่ท่าเรือ กฎระเบียบทางด้านศุลกากรที่เอื้ออำนวยต่อการนำเข้า/ส่งออกสินค้า การปฏิบัติงานที่โปร่งใสและสอดคล้องกับข้อตกลงของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน



ทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ช่วยลดต้นทุนทั้งด้านเวลาและค่าใช้จ่าย รวมถึงส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศของไทยสามารถดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์

ล่าสุดทางสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ให้การสนับสนุน สถาบันการขนส่งแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าที่ท่าเรือระหว่างประเทศของไทย เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งได้มีการสำรวจท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่สำคัญรวม 9 แห่ง ทั้งของการท่าเรือและของเอกชนเอง

โดยพิจารณาท่าเรือที่มีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศปริมาณสูง ได้แก่ ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือ BMTP ท่าเรือ TPT ท่าเรือ UNITHAI ท่าเรือศรีราชา ฮาร์เบอร์ ท่าเรือเคอรี่ สยามซีพอร์ต ท่าเรือมาบตาพุด และท่าเรือน้ำลึกสงขลา รวมถึงสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ

ได้แก่ ผู้บริหารท่าเรือ/ศุลกากร สายเรือ ผู้ประกอบการนำเข้าหรือส่งออก และบริษัทผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรวมกว่า 60 หน่วยงาน นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยจะเก็บข้อมูลที่ท่าเรือสิงคโปร์ ซึ่งเป็นท่าเรือต้นแบบมีปริมาณการขนส่งสินค้าสูง และมีศักยภาพในการดำเนินงานอันดับต้นในภูมิภาคอาเซียนมาเปรียบเทียบด้วย

ผลการสำรวจคณะวิจัย พบว่าท่าเรือที่อยู่ภายใต้การดูแลของการท่าเรือฯ ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากรัฐบาลในด้านงบประมาณการก่อสร้างตัวท่าเรือเอง หรือระบบสาธารณูปโภค (เช่น ถนน ทางรถไฟ ไฟฟ้าต่าง ๆ) สำหรับการใช้งานท่าเรือจะเป็นท่าเรือที่สำคัญ มีปริมาณสินค้าผ่านท่าจำนวนมาก มีการติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น เครื่อง X-ray ตู้สินค้าภายในท่าเรือ

แต่ทว่าท่าเรือของการท่าเรือฯก็ยังมีจุดอ่อนในการประสานงานร่วมกับศุลกากรที่ไม่ดีเท่ากับท่าเรือเอกชน

เนื่องจากติดปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างในระบบราชการ ทำให้การปรับปรุงสถานที่เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งนั้นใช้เวลานาน นอกจากนี้ การพัฒนาต่าง ๆ ก็ยังขึ้นกับนโยบายของภาครัฐซึ่งขาดความชัดเจน

สำหรับท่าเรือเอกชนนั้น เนื่องจากต้องลงทุนหาพื้นที่เองไม่สามารถเวนคืนที่ดินได้ จึงมีขนาดเล็กและมีปริมาณการขนส่งสินค้าที่น้อยกว่าการพัฒนาปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค (ถนนสาธารณะ ทางแยกต่าง ๆ ไฟฟ้า)

สำหรับท่าเรือเอกชนก็ต้องใช้งบฯลงทุนของบริษัทเองทั้งหมด ในด้านศุลกากรนั้นท่าเรือเอกชนยังไม่มีเครื่อง X-ray ตู้สินค้าในท่าเรือ ทำให้เสียเวลาและเพิ่มต้นทุนขนส่งหากต้องเปิดตรวจตู้สินค้า

อย่างไรก็ตาม ท่าเรือเอกชนมีความยืดหยุ่นต่อผู้ใช้บริการมากกว่า ทั้งด้านราคาและบริการที่ครบวงจร มีการประสานงานร่วมกับศุลกากรดีกว่า โดยพบว่าท่าเรือเอกชนจะดูแลเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำท่าเป็นอย่างดี และมีความรวดเร็วในการดำเนินงานตามที่ศุลกากรร้องขอเพื่อให้ไทยได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ AEC อย่างเต็มที่ ภาครัฐควรมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับท่าเรือ กระตุ้นให้ทุกฝ่ายปรับปรุงและพัฒนามาตรฐานของระบบท่าเรือให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน ทั้งของรัฐกับเอกชน นอกจากนั้น รัฐควรวางแผนให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างท่าเรือ ศุลกากรและท่าเรือของประเทศสมาชิก AEC ด้วยกัน

เพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้ขนส่งสินค้าในภูมิภาค และเพิ่มความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเมื่อ AEC เปิดแล้ว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////

1ปีรัฐบาลประชานิยม ภาระคลังกว่า 5.4 แสนล้าน !!??


ประชานิยม,1ปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์,กมธ.การเงินวุฒิสภา

กมธ.การเงินวุฒิสภา เผยรายงานสอบรัฐบาลยิ่งลักษณ์ครบ 1 ปี ทำ 10 โครงการประชานิยมสร้างภาระการคลังกว่า 5.4 แสนล้านบาท

คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ที่มีนายวิทวัส บุญญสถิ่ตย์ ส.ว.สรรหา เป็นประธานกรรมาธิการฯ ได้จัดทำรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “ความห่วงใยนโยบายประชานิยม ต่อหนี้สาธารณะสาธารณะของประเทศ" และมีการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภาเพื่อรอพิจารณา

สำหรับสาระสำคัญของรายงานดังกล่าวเป็นการศึกษาและติดตามนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่มีผลกระทบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ตามที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2554 โดยในรอบ 1 ปีแรกของการเข้ามาบริหารประเทศ สรุปได้ว่า การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตการณ์ต่างๆ อาทิ ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ออกพ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ.2555 วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมกับเงินที่ใช้ไปในโครงการประชานิยมต่างๆ ทำให้นโยบายการคลังของรัฐบาลเข้าสู่ทางตัน จึงต้องหันไปพึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุนอยู่บ่อยครั้งซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นว่านโยบายการคลังใกล้หมดประสิทธิภาพ

สำหรับโครงการประชานิยมที่มีเป้าหมายเน้นไปยังเพิ่มโอกาสให้คนจนเข้าถึงแหล่งทุนอาทิ การพักชำระหนี้และปรับลดอัตราดอกเบี้ยใหแก่เกษตรกร เป็ฯเวลา 5-10 ปี, การปรับโครงสร้างหนี้วงเงินเกิน 0.5-1 ล้านบ้าน ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 3 ต่อปี หรือออกบัตรเครดิตชาวนา ทำให้มาตรการทางการคลังมีข้อจำกัดและกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมหภาค ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้นโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุน และลดหนี้ภาคครัวเรือน ขณะที่นโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอัตราเดียวทั่วประเทศ 300 บาทต่อวัน แม้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำแต่มีผลเข้าไปแทรกแซงการประกอบธุรกิจของเอกชน ส่งผลให้มีการบิดเบือนกลไกตลาด ทำให้เกิดต้นทุนการผลิตที่สูงและกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศระยะยาว เพราะการเพิ่มค่าแรงเป็นวันละ 300 บาทท ตามผลการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า จะทำผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงานจำนวนมาก มีกำไรลดลงร้อยละ 35 ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีกว่าร้อยละ 98 ของผู้ประกบการทั้งหมดได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นการใช้นโยบายประชานิคมได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของประเทศ เพราะระบบเลือกตั้งที่คำนึงถึงเฉพาะการได้มาซึ่ง ส.ส.จำนวนมากเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ แทนการคำนึงถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่จะทำให้เกิดความไม่สมดุลของระบอบการเมืองการปกครองด้วย

ทั้งนี้กรรมาธิการฯ ได้มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลโดยมีประเด็นที่สำคัญ คือ ช่วงที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงกับวิกฤษเศรษฐกิจโลก ทำให้ไทยไม่สามารถพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศได้ ดังนั้นเมื่อรัฐบาลจะใช้นโยบายประชานิยมต้องมีการวางยุทธศาสตร์เพื่อรองรับและต้องสนับสนุนการบริหารเศรษฐกิจมหภาคด้วย คือ 1.ต้องสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนต่อเศรษฐกิจไทยและต้องกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือน ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องใช้จ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนำร่องไปก่อน เช่น การใช้จ่ายเงินเพื่อระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อสร้างอนาคตของประเทศ ทำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนจากภาครัฐกับภาคเอกชน 2.นโยบายประชานิยมต้องรักษาเสถียรภาพทางการคลังและเศรษฐกิจ เช่น การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 ในแง่ดีถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แง่ลบคือการลดความสำคัญของภาษีอากรที่เป็นเครื่องมือทางการคลังในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 3.การใช้จ่ายในโครงการประชานิยมต้องเหมาะสมกับสถานการณ์และกลุ่มเป้าหมาย 4.นโยบายประชานิยมต้องสนับสนุนการออมของประเทศ เพื่อเป็นการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ

กรรมาธิการฯ ยังได้สรุปนโยบายประชานิยมรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ กับภาระทางการคลัง ในรอบปีแรกของการบริหารราชการแผ่นดิน 1.ลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก มีผลตั้งแต่ 22 ก.ย. 54 - 31 ธ.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท , 2.คืนภาษีรถยนต์คันแรก มีผลตั้งแต่ 16 ก.ย.54 - 31 ธ.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 3 หมื่นล้านบาท , 3.ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 และเหลือร้อยละ 20 ในปี 2556 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 5.2 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณ 2555 , 4.ลดภาษีน้ำมันดีเซล มีผลตั้งแต่ 21 ส.ค.54- ก.ย.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 9,000 ล้านบาทต่อเดือน , 5.ปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างของทางราชการที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี เป็น 15,000 บาท มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1.8 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2555 และ 2.3 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2556

6.แจกแท็บเล็ตฟรี ให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีผลตั้งแต่เดือนต.ค.2555 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1,600 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2555 และจำนวน 1,200 บาทในปีงบประมาณ 2556, 7.พักชำระหนี้เกษตรกร ที่มียอดเงินกู้ค้างชำระ 5แสนบาท มีผลตั้งแต่ 1 ก.ย.55 - 31 ส.ค. 58 โดยรัฐบาลใช้งบสนับสนุนปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ทางปฏิบัติรัฐบาลและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องจะรับภาระ 50:50 แต่ในที่สุดคาดว่ารัฐบาลจะชดเชยความเสียหายให้แก่สถาบันการเงินโดยลำพัง 8.โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ช่วงทำโครงการ 7 ต.ค. 54 -15 ก.ย.55 มีประมาณการค่าใช้จ่าย 3 แสนล้านบาทหรือร้อยละ 2.6 ของจีดีพีในปี 2555 ทั้งนี้จำนวนภาระทางการคลังจะเพิ่มขึ้นตามราคาข้าวที่รัฐบาลจะขายได้

9.การปรับเพิ่มขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.55 ภาระทางการคลังภาคธุรกิจเอกชนเป็นผู้รับภาระโดยตรง และ 10.กองทุนพัฒนาสตรี เปิดรับสมัครตั้งแต่ 18 ก.ย. 55 ภาระทางการคลัง อยู่ที่จังหวัดละ 100 ล้านบาทรวมเป็นเงิน 7,700 ล้านบาท โดยรวมเป็นเงินที่ประเมินภาระทางการคลังได้ จำนวน 544,300 ล้านบาท

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงโลก ลดภาวะเศรษฐกิจอ่อนแรงจาก สเตียรอยด์อีโคโนมิก !!??



โดย.รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ออกมาระบุว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปีนี้(2556) จะลดลงเหลือ 3 % จากปีก่อนอยู่ที่ 6.8 % สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก จนหลายฝ่ายต้องออกให้ความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยยังไปได้ดีอยู่

เรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายเรื่องตัวเลข GDP ที่ต่ำลง เพราะหากไม่ทำความเข้าใจอาจกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุนได้ เพราะเพียงครึ่งปีแรกที่มีการประกาศตัวเลข GDP ออกมาว่าต่ำกว่าเป้าหมาย ตลาดก็วิตก และซวนเซ

การถดถอยของตัวเลขเศรษฐกิจในปีนี้เป็นผลจาก “การอัดฉีดนโยบายประชานิยมที่เร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือสเตียรอยด์อีโคโนมี” ไม่ว่าจะเป็นนโยบายรถคันแรก บ้านหลังแรก หรือค่าแรง 300 บาท/วัน ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในปีนี้ถูกนำไปใช้ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคที่มีสัดส่วน 55 % ของ GDP ขยายตัวได้เพียง 3% จากที่คาดว่าน่าจะขยายตัวได้ถึง 6 %

แต่สำหรับค่าแรง 300 บาท ถือเป็นสเตียรอยด์ที่ดี เพราะถ้าเราไม่มีเรื่องค่าแรง 300 บาท ปัญหาการขาดแคลนแรงงานจะรุนแรงกว่านี้มาก ภาคอุตสาหกรรมในเมืองจะดึงแรงงานไว้ไม่ได้ เพราะคนจะกลับชนบทไปทำนา เนื่องจากข้าวเกวียนละ 15,000 บาท ซึ่งในปัจจุบันนี้คนในภาคเกษตรมีประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนแรงงานทั้งหมด สร้างจีดีพีได้ไม่เกิน 10 % ฉะนั้นถ้าคนไหลเข้าไปในภาคเกษตรมากๆ ในระยะยาวจะไม่เป็นผลดีกับประเทศ

การใช้นโยบายประชานิยมของรัฐไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนนโยบายประชานิยมหลายประการที่อาจมีผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจ และหันมาพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง 3 ภาคธุรกิจหลัก คือ ภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคค้าปลีกและค้าส่ง ซึ่งไทยมีศักยภาพอยู่แล้ว

ดังนั้น สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงมากในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงอาจจะเป็นปีหน้า คือ การดูแลสภาวะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ มากกว่าการเร่งความเจริญเติบโต

เพราะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่างน้อย 1-2 ปีข้างหน้า จะเกิดสภาวะความไม่แน่นอนที่สูงมาก ทั้งระดับในและต่างประเทศ

ในต่างประเทศจะมีความไม่แน่นอนในลักษณะที่เรียกว่า Triple uncertainty คือความไม่แน่นอนแบบ 3 จังหวะ

1. Economic uncertainty เป็นผลจากการถอนตัวออกจากคิวอีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะเริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้ไปเป็นต้นไป รวมถึงปีหน้าอาจจะมีการขึ้นดอกเบี้ย ฉะนั้นเมื่อเกิดการกลับทิศของเศรษฐกิจโลก คืออเมริกาเริ่มถอนตัวออกจากคิวอี เสริมด้วยปัญหาของยุโรปที่ยังแก้ไม่ตก ยังไม่รวมเรื่องเศรษฐกิจอเมริกาและยุโรปที่ยังอยู่ในสภาวะที่ยังไม่มีพัฒนาการอย่างเห็นชัดเจนมาก ทำให้เกิดความไม่แน่นอนที่สูง เนื่องจาก GDP ของทั้ง 2 ประเทศรวมกันเท่ากับครึ่งหนึ่งของโลก

ข้อสังเกตุอีกประการหนึ่ง คือ ตอนนี้ทั่วโลกเกิดสภาวะ ที่เรียกว่า economic paradox(ความขัดแย้งของตัวแปรทางเศรษฐกิจ) เช่น ประเทศพัฒนาแล้วมีความกลัวปัญหาตรงกันข้ามกับประเทศกำลังพัฒนา ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น กลัวปัญหาเงินฝืด ญี่ปุ่นภายใต้อาเบ้โนมิกจึงต้องการเร่งให้เงินเฟ้อขึ้นมาอีก 2 % จึงอัดฉีดเงินออกมามาก ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนา ยกตัวอย่างอินเดีย อินโดนีเซียและอีกหลายๆ ประเทศ กลัวปัญหาเงินเฟ้อ

เช่นเดียวกัน ประเทศพัฒนาแล้วกลัวค่าเงินแข็ง ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนากลัวค่าเงินอ่อน สิ่งเหล่านี้นำไปสู่นโยบายที่แตกต่างกัน ทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวมยากขึ้น

2. Political uncertainty ปีหน้าในหลายประเทศจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในอินโดนีเซีย อินเดีย เยอรมันนี จึงเกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง

3.Security uncertainty เช่น ปัญหาซีเรีย จะนำไปสู่ปัญหาบานปลายสู่อิหร่านหรือไหม ถ้าไปถึงอิหร่าน น้ำมันถูกกระทบแน่นอน

จากการที่เราอยู่ Triple uncertainty รัฐบาลจะบริหารประเทศอย่างไร? องค์กรธุรกิจต้องเตรียมตัวเองอย่างไร? ประชาชนต้องเตรียมตัวอย่างไร? ตรงนี้คือ คำถามใหญ่ที่เราต้องคำนึงถึง เพราะนอกจาก Triple uncertainty ในต่างประเทศ ในประเทศไทยยังมี Double uncertainty หรือความไม่แน่นอนในหลายด้าน เช่น political uncertainty ตอนนี้มีปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญ ปัญหาเรื่องนิรโทษกรรม ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทำให้การบริหารจัดการด้านการเมืองในประเทศไทยเริ่มแกว่งตัวมากกว่าช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ economic uncertainty แกว่งตัวมากขึ้น การแก้ไขปัญหาจึงยากลำบากมากยิ่งขึ้น เพราะการแก้ไขปัญหา economic uncertainty ซึ่งเป็นผลการลดทอน จากเตียลอยด์อีโคโนมี จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยความเข้มแข็งทางการเมืองซึ่งจะนำไปสู่การบริหารจัดการด้านนโยบายที่มีความน่าเชื่อถือ

สิ่งเหล่านี้ทำให้เราต้องคำนึงถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่า การหาทางเร่งสารเนื้อแดงใหม่

แนวทางการตั้งรับจึงต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบันแล้ววางยุทธศาสตร์ชาติให้มีความยืดหยุ่นคล่องตัว มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา แล้วใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น การรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ประเทศไทยต้องวางตัวเองให้เป็นศูนย์กลาง 3 ด้าน คือ

1. ศูนย์กลางการค้าสินค้าเกษตร (Agriculture Supply Chain) วางตัวเองไม่ใช่แค่ประเทศผู้ผลิต แต่ต้องขยับไปเป็นผู้แปรรูปและส่งออกไปยังตลาดโลก เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มโดยใช้การผลิตจากประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดประโยชน์

2. ศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่อุตสาหกรรมรถยนต์ จักรยานยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไทยเหนือกว่าประเทศในอาเซียนจึงสามารถพัฒนาต่อยอดด้วยนวัตกรรมที่ส่งไปขายในอาเซียนได้ เมื่อกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนพัฒนาก็จะต้องการสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น รวมถึงด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ตั้งแต่ตู้เย็น หม้อหุงข้าว และโทรทัศน์ เมื่อเพื่อนบ้านเติบโตทางเศรษฐกิจหมายถึงความต้องการการสินค้ากลุ่มนี้ก็เพิ่มขึ้นด้วย

และ 3. ศูนย์กลางด้านการบริการตั้งแต่ท่องเที่ยว โลจิสติกส์, บริการสุขภาพ, ธุรกิจกีฬา, การศึกษา และด้านค้าปลีกค้าส่ง เนื่องจากประเทศไทยถือได้ว่ามีความโดดเด่นด้านนี้อย่างสูง

ต่อไปทิศทางเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะอิงภาคการเงินมากขึ้น เราต้องใช้ความได้เปรียบของประเทศไทยที่มีศักยภาพสูงและความพร้อมสูงกว่าหลายประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รองรับการไหลเวียนทางการเงินโลกที่เข้ามาลงทุน เพราะตรงนี้ถือเป็นจุดสำคัญที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ในอนาคตอันใกล้ เศรษฐกิจไทยก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้น

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////