อนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงเหตุสลายการชุมนุมของ คอป. แฉหมดเปลือกพนักงานสอบสวนบางรายที่ทำคดีคนเสื้อแดงยอมรับมุ่งสนองคำสั่งผู้ใหญ่มากกว่ายึดความยุติธรรม แถมผู้ต้องหาบางรายที่ไม่มีทนายถูกหลอกให้รับสารภาพ อ้างโทษเบาเหมือนเล่นไพ่แต่พอขึ้นศาลกลับถูกสั่งจำคุกเป็นปี เผยได้ข้อมูลบางเรื่องที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อนจากสื่อทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ ศอฉ. ไม่ยอมให้ข้อมูลใดๆ ยันวันที่ 24 ม.ค. มีรายงานฉบับแรกออกสู่สาธารณชนแน่ ศาลนัดสืบพยานคดีก่อการร้ายนัดแรกวันที่ 28 ก.พ. ห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้าฟัง กำชับ “จตุพร-วีระ-การุณ” ที่ได้รับประกันตัวให้เข้าฟังสืบพยานด้วย นักวิชาการจวกรัฐบาลเวลาผ่านมาเกือบ 1 ปีชี้แจงไม่ได้ความรุนแรงเกิดจากอะไร ใครต้องเป็นคนรับผิดชอบ
ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 908 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันที่ 17 ม.ค. 2554 ศาลนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช., นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย กับพวกรวม 19 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายและก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก และฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
เริ่มสืบพยานคดีก่อการร้าย 28 ก.พ.
ศาลอธิบายคำฟ้องให้นายจตุพรและนายการุณฟังจนเป็นที่เข้าใจแล้วสอบคำให้การ จำเลยให้การปฏิเสธ ประกอบกับทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยยื่นคำร้องเข้ามาหลายกรณี จึงนัดสืบพยานครั้งแรกวันที่ 28 ก.พ. โดยกำชับให้นายจตุพร นายการุณ และนายวีระ ที่ได้รับการประกันตัวให้มาฟังการสืบพยาน และสั่งห้ามไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมฟังการพิจารณา
นายคารม พลทะกลาง ทนายความ นปช. เปิดเผยว่า เตรียมยื่นคำร้องขอเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาต่อนายบูรณ์ ฐาปนดุลย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เนื่องจากเห็นว่าไม่เปิดโอกาสให้จำเลยได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ไม่พิจารณาคดีอย่างเปิดเผย
จวกรัฐบาลคิดปิดกั้นการชุมนุม
นายประแสง มงคลศิริ รักษาการเลขาธิการ นปช. กล่าวว่า รัฐบาลกำลังพยายามปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชนชนด้วยการเร่งผลักดันออกกฎหมายควบคุมการชุมนุมในที่สาธารณะ
“การชุมนุมของประชาชนทุกกลุ่มที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากจำเป็นต้องใช้พื้นที่สาธารณะ แต่วันนี้เราไม่มีพื้นที่ใช้ชุมนุม สนามหลวงก็ถูกปิดกั้น เมื่อไม่มีสถานที่ที่จะชุมนุมได้ก็ต้องชุมนุมในพื้นที่ที่กระทบต่อประชาชน” นายประแสงกล่าวพร้อมยืนยันว่า การชุมนุมใหญ่ที่ราชประสงค์ในวันที่ 23 ม.ค. นี้จะมีตามกำหนดเดิม โดยจะมีการเคลื่อนการชุมนุมไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่อ้างว่าได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมนั้น อยากขอร้องว่าอย่าร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อทำลายความชอบธรรมของผู้ชุมนุม ผู้ประกอบการควรตั้งหลักใหม่ เพราะทุกคนรู้ดีว่าคราวที่แล้วใครเป็นคนเผา
ญี่ปุ่นเกาะติดความคืบหน้าคดีช่างภาพ
ที่พรรคเพื่อไทย นายโนบุอากิ อิโตะ อัครราชทูตญี่ปุ่นฝ่ายการเมืองประจำประเทศไทย เข้าพบ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย โดยใช้เวลาพูดคุยกันนานกว่า 1 ชั่วโมง จึงเดินทางกลับโดยไม่มีใครเปิดเผยรายละเอียดของการหารือครั้งนี้ แต่คาดการณ์ว่าน่าจะมาติดตามเรื่องช่างภาพญี่ปุ่นเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากคดีไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งว่า จะมีการสรุปผลสอบสวนการเสียชีวิตของประชาชนจากเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง 89 ศพภายในสัปดาห์นี้ และจะแถลงให้ประชาชนได้รับทราบ แต่ส่วนใหญจะไม่ระบุว่าใครเป็นคนทำให้เสียชีวิต
อนุ คอป. แจงคืบหน้าสอบข้อเท็จจริง
ด้านการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา ที่มีนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ เป็นประธาน ได้เชิญนายสมชาย หอมลออ ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุวุ่นวายทางการเมืองช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มาชี้แจงความคืบหน้าการทำงาน
นายสมชายชี้แจงกับที่ประชุมว่า คอป. ทำงานภายใต้กรอบ 3 ข้อคือ ค้นหาความจริงของเหตุการณ์ หามาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย และหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง
ยันวันที่ 24 ก.พ. สรุปรายงานรอบแรก
“คอป. ต้องรายงานความคืบหน้าการทำงานต่อรัฐบาลทุก 6 เดือน ซึ่งวันที่ 24 ม.ค. นี้จะสรุปรายงานความคืบหน้าครั้งที่ 1 นอกจากเสนอต่อนายกรัฐมนตรีแล้วยังจะเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วย ซึ่งในรายงานจะไม่มีการสรุปว่าฝ่ายใดผิด ฝ่ายใดถูก แต่จะเป็นการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้เกิดความปรองดองมากกว่า”
นายสมชายระบุว่า การทำงานของคณะอนุกรรมการมีข้อจำกัดตรงที่ไม่มีอำนาจบังคับผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือให้ข้อมูลได้ ได้แต่ขอความร่วมมือ แต่ก็พยายามทำความเข้าใจกับทุกฝ่าย ซึ่งได้รับความร่วมมือด้วยดีทั้งผู้ชุมนุม ญาติผู้ชุมนุม แกนนำ และเจ้าหน้าที่รัฐ
ได้ข้อมูลที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
“ข้อมูลที่ได้จากผู้สื่อข่าวทั้งในและต่างประเทศมีประโยชน์มาก เพราะว่ามีพยานหลักฐานที่เชื่อถือได้ทั้งที่เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว การทำงานของคณะอนุกรรมการได้ข้อมูลบางอย่างที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนมาก่อน อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการยังไม่ได้ข้อมูลในส่วนของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ทั้งที่ขอความร่วมมือไป 2 ครั้งแล้ว หากยังไม่ได้คงต้องรายงานต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อให้สั่งการ”
นายสมชายกล่าวอีกว่า การทำงานของ คอป. หากเห็นว่ามีเรื่องจำเป็นสามารถเสนอต่อรัฐบาลได้ตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาอย่างเรื่องข้อเสนอให้ประกันผู้ชุมนุมที่อยู่ในเรือนจำทั้งผู้ชุมนุมทั่วไปและแกนนำ โดย คอป. เห็นว่าหากปราศจากเหตุผลอันควรในการควบคุมตัวจะทำให้มีปัญหาจนเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความสมานฉันท์ปรองดองได้
แฉเสื้อแดงโดนหลอกให้รับสารภาพ
“รัฐบาลก็ตอบสนองข้อเสนอดี แต่ติดที่บางคนถูกตั้งข้อหาแรงไป เช่น ก่อการร้าย แม้การให้หรือไม่ให้ประกันจะเป็นดุลยพินิจของศาล แต่คู่ความคือพนักงานสอบสวนสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยได้ คอป. จึงแนะไปว่าหน่วยงานฝ่ายรัฐต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและหนทางไปสู่ความปรองดอง ซึ่งการทำงานที่ผ่านมาพบว่าผู้ต้องหาคดีเล็กน้อย เช่น ละเมิดเคอร์ฟิว หรือละเมิดข้อห้ามในการชุมนุม แต่ไม่มีทนายช่วยสู้คดีเพราะไม่มีเงินก็ได้รับความเสียหายเกินจำเป็น เช่น มีคนร้องเรียนว่าพนักงานสอบสวนให้คำแนะนำให้รับสารภาพเพราะโทษเบาเหมือนเล่นไพ่ ศาลก็จะรอลงอาญา แต่สุดท้ายเมื่อรับสารภาพศาลก็ลงโทษสถานหนักจำคุก 1 ปี ตรงนี้ คอป. อาจเสนอให้มีกองทุนช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นจำเลยด้านกฎหมาย เพราะถ้ามีทนายก็อาจจะสู้ในชั้นอุทธรณ์หรือขอประกันตัวออกมาก่อนได้ ไม่เช่นนั้นคนจนจะยิ่งรู้สึกกระทบจิตใจ ตอกย้ำสิ่งที่เขารู้สึกว่ามี 2 มาตรฐาน” นายสมชายกล่าวและว่า อีกประเด็นสำคัญที่ คอป. พบคือ มีพนักงานสอบสวนบางคนยอมรับว่าการทำงานคำนึงถึงการตอบสนองผู้ใหญ่บางรายที่สั่งการมามากกว่าความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน เรื่องนี้สำคัญ เพราะถือว่าไม่เป็นมืออาชีพ ไม่ยึดหลักนิติรัฐ จึงต้องเสนอให้ปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมต่อไป
ห่วงใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่สุด
นายสมชายกล่าวอีกว่า ในประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้คุมขังเท่าที่ตรวจพบไม่มีอะไรร้ายแรง อาจมีบางรายที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างการจับกุมหรือถูกขังในสถานที่ไม่สมควรระหว่างใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่สิ่งที่ คอป. ห่วงมากที่สุดคือการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินมากกว่า เพราะมีคนตั้งคำถามเข้ามามากโดยเฉพาะชาวต่างชาติว่ามากเกินไปหรือไม่ ในวงการทูตแต่ละประเทศมีความเห็นแตกต่างกัน มีทั้งที่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลและไม่เห็นด้วย
ไม่ควรปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น
ส่วนเรื่องการชุมนุมเชิงสัญลักษณ์หลังเหตุการณ์ นายสมชายกล่าวว่า สิทธิการชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย หากไม่สามารถใช้กลไกอื่นๆในการปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตนเองได้ สิ่งที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ทางการเมืองที่เคยมีไม่เพียงพอต่อการพัฒนาความ คิดทางการเมืองที่เติบโตมากขึ้นของคนกลุ่มต่างๆ แต่ฝ่ายรัฐยังไม่เข้าใจจึงไปปิดพื้นที่การแสดงความคิดเห็น ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมในการสร้างความปรองดอง โดยเฉพาะการอ้างเรื่องความั่นคงในการปิดสื่อ ซึ่ง คอป. เห็นว่าจะกระทบต่อการสร้างความปรองดอง การควบคุมสื่อควรให้องค์กรวิชาชีพทำกันเอง หลักคือควรเปิดกว้างให้มีการพูดคุยกันมากกว่าไปปิดปาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมของคณะกรรมการครั้งต่อไปในวันที่ 24 ม.ค. ได้เชิญเจ้าของเว็บไซต์ที่ได้รับผลกระทบจากการสั่งปิดของรัฐบาลมาให้ข้อมูลต่อที่ประชุม
จวก 1 ปีไม่สรุปใครต้องรับผิดชอบ
รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกูล นักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “นักโทษ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อนมนุษย์ที่ถูกลืม” ที่กลุ่มนักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ในนามชมรมกังหันความคิดเป็นผู้จัด ตอนหนึ่งว่า ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาถูกคนในสังคมลืมและละเลย ทั้งที่มีผู้เสียชีวิตและถูกจับเป็นจำนวนมาก แต่ผ่านมาเกือบ 1 ปียังคงไม่มีคำตอบจากรัฐบาลว่าอะไรเป็นสาเหตุ และผู้กระทำความผิดที่แท้จริงเป็นใคร
ที่มา:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น