--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

เขมรสวนกลับ ต้อง'ฮุนเซ็น'สั่ง!



“มาร์ค”สั่งรื้อป้ายไม่สำเร็จ!!
ช้าเกินไปหรือเปล่ากับการออกมาบอกว่า 7 คนไทยไม่ได้ล้ำแดนกัมพูชา
เพราะยังเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันชัดเจน

ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นหน่วยงานรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ เหมือนกับยอมรับไปก่อนแล้ว ว่าเป็นการรุกล้ำพื้นที่ เพียงแต่ว่าไม่เจตนาที่จะบุกรุกเข้าไป
แถมในกลุ่มผู้ถูกจับกุมทั้ง 7 คนนั้น หลายคนก็ได้สารภาพไปแล้ว ซึ่งรวมทั้งนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ด้วย

ดังนั้นการที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพิ่งออกมาชี้แจงกรณีคนไทย 7 คน ถูกจับกุมในกัมพูชา ว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ คนไทย 7 คนถูกจับกุมบริเวณชายแดน ไทยกัมพูชา เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากมีความวิตก ห่วงใย และจะกระทบกับเขตแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่
แต่ที่ต้องรอโอกาสชี้แจงกับประชาชน เพราะระมัดระวังความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ และ 7 คนไทยก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลกัมพูชา จึงต้องระมัดระวังการบอกกล่าว หรือพูดจาอะไร เพราะจะมีผลกระทบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาไปแล้วสำหรับ 5 คนไทย เป็นจังหวะที่รอต่อไปอีกไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องมาชี้แจงเพื่อให้เกิดความชัดเจน

โดยนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า การลงพื้นที่ ของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ เป็นการมาอาสากับนายอภิสิทธิ์ ว่าจะไปรับฟังว่า กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับชายแดนไทยกัมพูชาเขามีประเด็นอะไร โดยเฉพาะเรื่องที่มีประชาชนเดือดร้อน เพราะที่ทำกินของตัวเอง แต่ไม่สามารถเข้าไปทำกินได้ เพราะเข้าไปแล้วจะมีปัญหา
ซึ่ง 1 วันก่อนการเดินทางไป นายพนิชก็มาถามว่า จะไปลงพื้นที่ชายแดน จ.ปราจีนบุรีกับทางกลุ่มที่จะไปดูข้อมูล ได้หรือไม่ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็บอกไปว่าสามารถที่จะไปลงพื้นที่บริเวณชายแดนได้

เช้าวันที่ 29 นายพนิช ก็ได้โทรมาหาแล้วบอกว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้อาจมีความจำเป็นที่ต้องประสานงานกับทางตชด. นายอภิสิทธิ์ จึงบอกว่าเมื่อเข้าไปถึงพื้นที่ แล้วพบกับตชด.แล้ว ก็ให้ประสานงานเข้ามา จะได้ดำเนินการให้

แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น คือนายอภิสิทธิ์ทราบข่าวครั้งแรกจากนายพนิชติดต่อมาจากการลงพื้นที่เมื่อถูกจับกุมแล้ว

“นี่คือที่มา ที่ผมจะยืนยันกับประชาชนว่า คนไทย 7 คนนี้ไม่ได้มีเจตนาอะไรเลยครับ นอกเหนือจากการที่จะเข้าไปดูปัญหาในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน”นายอภิสิทธิ์กล่าว

และได้มีการกางแผนที่โชว์ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้มีการพูดกันมาก 1.บุคคลเหล่านี้ถูกจับกุมในบริเวณทุ่งนา ซึ่งไม่ใช่ เพราะบริเวณทุ่งนาเขาเดินผ่านมาเรียบร้อยแล้ว 2.มีการพูดกันว่าเขาถูกจับบนที่ดินมีเอกสารสิทธิ์นส.3ของนายเบ ปรากฎว่านส.3ดังกล่าวจะอยู่ที่หลักเขตที่ 46 ดังนั้นเมื่อเขาเดินมาตรงนี้แล้วเลี้ยวไป จะเห็นว่าเขาไม่ได้ถูกจับในทุ่งนาและนส.3 ถ้าดูแบบนี้เหมือนเขากำลังเดินลึกเข้ามาในเขตของไทย
ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำคือพยายามเจรจากับกัมพูชาว่าเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างเขตแดนที่ยังไม่เป็นที่ยุติ เป็นไปได้ไหมที่จะมีการส่งคืนตัวบุคคล อย่าไปขึ้นศาลอะไรทั้งสิ้น แต่ทั้ง 7 คนก็ถูกนำตัวไป โดยกัมพูชาบอกว่า ทั้ง 7 ล้ำเข้าไปในเขตแดนกัมพูชา พร้อมกับให้วีดีโอ ที่ถ่ายโดยทั้ง 7 คนไทย
นายอภิสิทธิ์อ้างว่าแม้พยายามเร่งรัดให้ 7 คนไทยสามารถกลับเมืองไทย แต่เนื่องจากที่เหลืออีก 2 คนต้องการจะต่อสู้อีกแนวทางหนึ่ง ศาลจึงพิพากษาเฉพาะแค่ 5 คน

“การที่ศาลกัมพูชาตัดสินเช่นนี้ เป็นการยอมรับหรือไม่ว่าบุคคลที่ถูกจับและเดินเข้าไปนั้นอยู่ในเขตแดน กัมพูชา ผมก็จะบอกว่าตามหลักแล้วการตัดสินของศาลภายในประเทศใดประเทศหนึ่ง ย่อมไม่มีผลชี้เรื่องของเขตแดนได้ ความผูกพันธุก็จะมีเฉพาะกับคู่ความ แต่จะมาบอกว่าคำพิพากษาของกัมพูชา ถือว่าอยู่ในเขตกัมพูชาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกัมพูชาลงนามในMOU 2543ไว้แล้ว ว่าบริเวณทั้งหมดเขตแดนยังไม่เป็นที่ยุติ และจะยุติได้ตามกระบวนการที่กำหนดไว้ใน MOU เท่านั้น เบื้องต้นผมขอยืนยันว่า ไม่มีตรงไหนที่รัฐบาลจะไปยอมรับเนื้อหาสาระของศาลที่ตัดสินคดีนี้ในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับเขตแดน ตรงนี้จะเป็นคำตอบว่าเราไม่ได้สูญเสียดินแดนหรืออธิไตยแต่อย่างใด”นายอภิสิทธิ์ยืนยัน

เมื่อมีคำพิพากษาออกมา ศาลต้องแปลคำพิพากษาส่งมายังฝ่ายไทย เพื่อทำหนังสือโต้แย้ง และบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าคำพิพากษาของศาลนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการชี้ เขตแดนใดๆทั้งสิ้น จากนี้ไป รัฐบาลจะมีหน้าที่ช่วยคนไทยทั้ง 2 ต่อสู้คดีต่อไป และเราต้องเคารพการตัดสินใจและทางเลือกของคนไทยอีก 2 คน แต่จะทำให้ดีที่สุดในการสนับสนุนเพื่อให้ 2 คนที่เหลือกลับมาประเทศไทยเร็วที่สุด โดยจะปรึกษาหารือกับเจ้าตัวและทนายความ

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ได้มีการยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่านายอภิสิทธิ์และรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์ และไม่มีเหตุผล จะยกดินแดนให้กัมพูชา ถ้ามีเจ้าหน้าที่ส่วนไหนเข้าไปเกี่ยวข้องจะสะสางจัดระเบียบในส่วนนี้ เพื่อไม่ให้คลางแคลงใจ

ปัญหาก็คือแนวทางของรัฐบาลในกรณีนี้ กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ ที่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าไทยค่อนข้างจะเสียเปรียบ โดยนายกรัฐมนตรีของไทยมักจะเดินช้ากว่านายกรัฐมนตรีของกัมพูชาอยู่แต้มหนึ่งเสมอนั้น

คงต้องดูว่าผลสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างที่นายอภิสิทธิ์ พยายามชี้แจงหรือไม่
เพราะล่าสุดทางทหารกัมพูชามีการทำป้ายกล่าวหาไทยรุกราน บนวัดแก้วสิขาคีรีสวารา ให้เป็นที่รับรู้กันไปทั่วโลกออกมาแล้ว

ซึ่งนายอภิสิทธิ์ บอกว่าได้สั่งการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้ประสานไปทางทหารกัมพูชา ให้รื้อถอนป้ายดังกล่าวออกไปแล้ว และคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

โดยป้ายที่ทหารกัมพูชาทำขึ้นมานั้น เป็นป้ายหินขนาดใหญ่ขัดเลียบ เทปูนซีเมนต์ทำเป็นกรอบเขียนตัวหนังสือคำว่า ผู้รุกรานดินแดนเขมร คือคนไทย เป็นภาษาเขมรฉาบด้วยสีทองตั้งไว้ด้านหลัง โบสถ์ของวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาระ

ทั้งนี้มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 53 ทหารไทยและทหารกัมพูชาได้มีการทำข้อตกลงกันว่า ให้ทหารทั้งสองฝ่าย ถอนกำลังออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาระ โดยจะให้ทหารไทย ที่ไม่ติดอาวุธ สามารถขึ้นไปบนวัด ได้วันละ 5 นาย

ในขณะที่ที่ฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมีทั้งทหารและพลเรือนซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นทหารหรือเปล่า กลับอยู่กันจนวัดเต็มไปหมด ซึ่งทางฝ่ายทหารไทย ได้ทำหนังสือประท้วงไปหลายครั้งแล้ว ว่าเป็นการละเมิดข้อตกลง แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

รวมทั้งแม้ว่านายกรัฐมนตรีของไทยได้ มีคำสั่งให้ทหารทำการรื้อถอนป้าย ตั้งแต่เช้าวันที่ 23 ม.ค. 54 แต่จนถึงเวลาเที่ยงของวันเดียวกันทางฝ่ายทหารกัมพูชา ก็ยังไม่การรื้อถอนหรือดำเนินการใดๆ
และมีรายงานข่าวว่า พล.ท.ซะรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการกองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชาที่ดูแลพื้นที่เขาพระวิหาร ยอมรับว่า ลำบากใจกรณีดังกล่าวเป็นอย่างมาก และมีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเบื้องบน

ดังนั้นการทำลายป้ายดังกล่าวต้องได้รับคำสั่งจากสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเท่านั้นจึงจะทำได้!!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น