--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

เปิดแผนยุทธการ'ปิเหล็ง2' ไส้ศึกชี้เป้าถล่มฐาน-ปล้นปืน!

การโจมตีปล้นปืนค่ายกองพันพัฒนาที่4 หรือ"ค่ายปิเหล็ง" ลักษณะคล้ายกันหวนกลับมาอีกในรอบ 7ปีไฟใต้ ซึ่งนักการทหาร การข่าวเชื่อมี "ไส้ศึก"

เหตุการณ์คนร้ายหลายสิบคนเปิดปฏิบัติการอุกอาจโจมตีฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 15121 (ร้อย ร.15121) หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 ตั้งอยู่ริมถนนสายมะรือโบตก-รือเสาะ ท้องที่บ้านมะรือโบตก หมู่ 1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อค่ำวันพุธที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง และอาวุธปืนจากคลังแสงในฐานสูญหายไปอีกหลายสิบกระบอกนั้น

ทีมเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปตรวจจุดเกิดเหตุพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุการณ์นี้เหมือนเป็น "ปิเหล็ง 2"

ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน วันที่ 4 ม.ค.2547 เกิดเหตุคนร้ายหลายสิบคน (ข่าวบางกระแสเชื่อว่าน่าจะมีเป็นร้อยคน) บุกโจมตีกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่บ้านปิเหล็งใต้ ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส สังหารทหารที่เข้าเวรไป 4-5 นาย และปล้นอาวุธปืนไปทั้งหมด 413 กระบอก

ค่ายกองพันพัฒนาที่ 4 คนในพื้นที่เรียกกันติดปากว่า "ค่ายปิเหล็ง" และเหตุการณ์ในครั้งนั้นถือเป็นปฐมบทความรุนแรงรอบใหม่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่นำมาสู่การก่อเหตุร้ายรายวัน ทั้งลอบยิง วางเพลิง วางระเบิด จนมีผู้สังเวยชีวิตไปแล้วถึง 4,370 ราย

7 ปีเศษต่อมา เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2554 เกิดเหตุคนร้ายบุกโจมตีฐานทหารและปล้นปืนล็อตใหญ่ซ้ำอีก แม้ขนาดและความสำคัญของทหารกับจำนวนอาวุธปืนจะไม่สาหัสเท่าเมื่อครั้ง "ปิเหล็ง 1" แต่เมื่อพิจารณาจากแผนยุทธการของคนร้าย ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือปฏิบัติการ "ปิเหล็ง 2"โดยเฉพาะข้อสันนิษฐานที่ว่ามี "ไส้ศึก" หรือ "หนอนบ่อนไส้" คอยชี้เป้าให้โจรบุกปล้นค่าย!

ทหารสังกัด ร้อย ร.15121 ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ถูกบุกโจมตี เล่าให้ฟังว่า คนร้ายแต่งกายด้วยชุดลายพราง มีผ้าพันคอและโพกศีรษะด้วยผ้าสีแดง ปฏิบัติการครั้งนี้คนร้ายรู้ตำแหน่งของเป้าหมายเป็นอย่างดี รู้รูปแบบการวางกำลงรวมทั้งจุดสำคัญๆ ภายในที่ตั้ง แม้กระทั่งตำแหน่งที่ ผบ.ร้อย (ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ ผู้บังคับกองร้อยทหารราบ 15121 ซึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ) ทำงานอยู่ คนร้ายก็ยังสามารถโจมตีได้อย่างตรงจุดพอดี

"เชื่อว่าการโจมตีครั้งนี้มีคนข้างในรู้เห็นเป็นใจ" ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ ฟันธง

สำหรับแผนประทุษกรรม ฝ่ายคนร้ายได้แบ่งกำลังออกเป็น 3 ชุด กำลังชุดแรกประมาณ 10 คน ฉวยจังหวะหลังกำลังพลเพิ่งรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ใช้อาวุธปืนยิงก่อกวนบริเวณหน้าฐานใกล้กับถนนสายระแงะ-มะรือโบตก ทำให้กำลังทหารภายในฐานทั้งหมดระดมกันมาช่วยยิงตอบโต้ด้านหน้า จากนั้นคนร้ายชุดที่ 2 และ 3 อีกประมาณ 20 คน ได้บุกทะลวงเข้าด้านหลังฐาน ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงเปิดทาง และวิ่งผ่านรั้วสนามโดยใช้ไม้กระดานวางพาดเป็นสะพาน

เมื่อบุกเข้าไปในฐานได้แล้ว คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนกราดยิงทหาร วางเพลิงเผาโรงเรือนแบบน็อคดาวน์ 4 หลัง รถจักรยานยนต์ 1 คัน และงัดโรงเรือนที่ดัดแปลงเป็นคลังอาวุธประจำฐาน ชิงอาวุธปืนไปประมาณ 50 กระบอก ทั้งเอ็ม 16 ปืนพกขนาด 11 ม.ม. เครื่องกระสุนหลายพันนัด และข่าวบางกระแสระบุว่าคนร้ายได้ปืนกลเบา เอ็ม 60 ไปด้วย

ฐานปฏิบัติการแห่งนี้ หากใช้เส้นทางจากตัวอำเภอระแงะ เข้าถนนด้านข้าง สภ.ระแงะ ประมาณ 7-8 กิโลเมตร จะเจอสามแยกปาฮงดารอ จากจุดนี้เลี้ยวซ้ายสามารถทะลุสายเอเซีย (ถนนสายใหญ่ระหว่างจังหวัด) ได้ จากสามแยกดังกล่าวตรงไปอีกประมาณ 50 เมตรก็จะถึงฐานปฏิบัติการ ร้อย ร.15121 จากหน้าฐานตรงไปอีกจะเข้า อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส สภาพโดยรอบฐานเป็นป่า จากด้านหน้าเดินเท้าประมาณ 10 กิโลเมตรจะเป็นภูเขากูจิงลือปะ ส่วนด้านหลังเป็นเทือกเขาบูโด

อาวุธที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการ จากการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุพบว่ามีเครื่องยิงลูกระเบิดแบบ เอ็ม 79 รวมอยู่ด้วย!

พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษภาคใต้ ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) กล่าวว่า คนร้ายปฏิบัติการได้ขนาดนี้ แสดงว่าต้องมี "ไส้ศึก" อย่างแน่นอน ประกอบกับรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาละเลยโครงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่มีศูนย์สั่งการอยู่ที่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นโครงการที่เสนอมานานแล้ว แต่กลับมีการทุจริตและถูกคัดค้านจากบางหน่วยจนโครงการต้องล้มไป

"ถ้ามีระบบกล้องวงจรปิดที่ดีและกระจายทั่วพื้นที่ คนร้ายจะไม่สามารถรวมคนมาก่อเหตุได้มากขนาดนี้ สงครามในภาคใต้ไม่ใช่สงครามตามแบบ แต่เป็นสงครามนอกแบบ แม้กองทัพจะพยายามปรับยุทธวิธีโดยใช้สงครามกองโจรเข้าสู่ แต่เราก็ทำสงครามกองโจรแบบตั้งรับ ทั้งยังไปตั้งรับในพื้นที่อิทธิพลของศัตรู จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและสูญเสียตลอดมา" พล.ท.นันทเดช ระบุ

ขณะที่ "วอร์รูม" กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) วิเคราะห์เป้าหมายของปฏิบัติการครั้งเอาไว้ 3 ประการ คือ 1.ต้องการตอบโต้การทำงานของฝ่ายความมั่นคงที่รุกคืบงานมวลชนได้อย่างมาก โดยเฉพาะการประสานความร่วมมือกับกลุ่มผู้นำศาสนาและผู้นำทางจิตวิญญาณในพื้นที่ตามนโยบายของ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่

2.ท้าทายและลดความเชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลที่ทยอยยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของนโยบายการเมืองนำการทหาร และสถานการณ์โดยรวมในพื้นที่ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

3.ยั่วยุให้ฝ่ายความมั่นคงใช้ความรุนแรงตอบโต้ เพื่อให้งานมวลชนสะดุด และหวังผลให้แนวทางการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินชะงักงัน

เหตุการณ์ "ปิเหล็ง 1" เมื่อ 7 ปีก่อนได้นำพาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าสู่ภาวะสงครามก่อความไม่สงบที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 4 พันคน หลังจากนี้ต้องจับตาว่าเหตุการณ์ "ปิเหล็ง 2" จะเป็นจุดเริ่มต้นของสถานการณ์ที่เลวร้ายลงไปอีกหรือไม่!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น