--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

คำพูดย่อมเป็นนายตัวเอง..และกรรมเวรประเทศชาติ

บังเกิดข้อพิพาทไปต่างๆ นานา หลังจาก คนไทยทั้ง 7 ถูกทหารกัมพูชาจับกุมที่ชายขอบ ด้วยข้อหาอะไรก็แล้วแต่???

มันไม่ผิดที่ทัพพันธมิตรฯ โดยแก่นภายใต้การนำ ของชนชั้นกลาง จะตีธงเดินนำเรียกร้องอธิปไตยในพื้นที่ ทับซ้อนที่ครั้งหนึ่งในทางพฤตินัยมันคือหลักเขตประเทศไทย

มันไม่ผิดที่ชาวบ้านชั้นรากหญ้าบนชายขอบที่ดำรงตนอยู่บนโลกอันโหดร้ายทั้งชีวิตด้วยการทำมาค้าขายเลี้ยงชีพโดยการไปมาหาสู่ข้ามแนวตะเข็บชายแดน จะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านการกระทำของทัพเหลือง ที่ กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตดั้งเดิมไปชั่วกาลนานหาก เส้นบางๆ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต้องขาดผึงลง

> รั้วผุพังของชาติ

มันไม่ผิดที่ขุนทหาร โดยเฉพาะแม่ทัพใหญ่ภาคไหนคงไม่ต้องบอก แต่ที่แน่ๆ คือภาคอวตารที่ได้เปลี่ยน หน้าแปรพักตร์แปรมาเป็นพ่อค้าวาณิชทำมาหารับประทานบนสัมปทานเมืองเขมร..จะแสร้งทำเป็นไม่หือไม่อือ กับคำสัตย์ปฏิญาณที่ให้ไว้ต่อหน้าพระพักตร์ว่าจะปกปักษ์รักษาอาณาเขตประเทศเอาไว้จนกว่าชีวิตจะหาไม่!!!

มันไม่ผิดที่เขมรจะอาศัยความขัดแย้งภายในประเทศไทย วางหลุมพรางในการจับคนไทย เพื่อสมอ้างต่อ นานาอารยประเทศในการเปลี่ยนแผนที่ประเทศใหม่และรุกคืบอาณาเขตเข้ามาบนพื้นที่ทับซ้อน 15 ล้านไร่ หรืออีกนัยเพื่ออำพรางกรรมเก่า ที่ครั้งหนึ่งอีกฟากของ เขมรโดนประเทศเพื่อนบ้านที่เปรียบเสมือน “พ่อ” เวน คืนที่ดินไปอย่างหน้าตาเฉยถึง 11 จังหวัด

มันไม่ผิดอีกเช่นกัน ที่ใครๆ จะเข้าใจว่า กลเกมระหว่างประเทศจะมีการยึดโยงชื่อของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานอำนาจเก่าแห่งสยามประเทศ เข้าไปเกี่ยวพันในเรื่องยุทธศาสตร์อันมีผลไปถึงการประชุมชี้ชะตากรณีเขาพระวิหารและพัฒนาการในอนาคต ของคณะกรรมการมรดกโลกในช่วงกลางปีที่จะถึงนี้ด้วย

> นักการเมืองปากมันพูดไม่รับผิดชอบ

แต่มันผิดและผิดอย่างเต็มประตู ในทุกคำพูดที่ไม่รับผิดชอบต่ออธิปไตยของฝ่ายบริหารประเทศ

“7 คนไทยโดนจับในแผ่นดินเขมร” นี่คือท่วงทำนองแห่งคำพูดในเบื้องแรกของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ” รวมไปถึง “รัฐมนตรีกษิต ภิรมย์” หรือแม้กระทั่งแกนนำระดับโทรโข่งของพรรคประชาธิปัตย์

มิหนำซ้ำ เมื่องัวเงียตื่นหลังจากเผลอพูดด้วยอาการ “มันปาก” และ “ปากมัน” ท่านทั้งหลายก็จัดการ กลับหลังหัน 360 องศา โดยไม่พูดเรื่องเหยียบแผ่นดิน ของใคร หักมุกเปลี่ยนวลีมาพูดแค่ว่าเราจะหาวิธีช่วย 7 คนไทยในรูปแบบใดบ้าง แต่ตามประสาขยันแต่ “โง่” หรือ “จงใจโง่” ก็ตาม

มันจึงรวมศูนย์มาสู่การประกันตัวคนไทยในชั้นศาล เขมร..จะช่วยได้หรือไม่ได้ไม่รู้ แต่การยื่นประกันครั้งนี้จะ เป็นหลักฐานชั้นดีในการปักปันหลักเขตใหม่ภายใต้กรอบ “MOU 43” (รายละเอียดอยู่ในคอลัมน์ชานชาลาการเมือง)

> ร้อยเล่ห์ชั้นเชิงการทูตมนต์แขมร์

ถึงบรรทัดนี้ ข้อถอดความเฉพาะบางตอนในบท ความเก่าของ “ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล” เรื่อง “เขาทำอะไรที่เขาพระวิหาร” ซึ่งแสดงให้เห็นชั้นเชิงทางการ ทูตของฝ่ายเขมรไว้ได้น่าสนใจอย่างยิ่งยวด

“ข้อเท็จจริงที่ว่าการอนุมัติให้ปราสาทพระวิหาร และพื้นที่รอบปราสาท เป็นมรดกโลก มิได้หมายความว่า พื้นที่ดังกล่าวตกเป็นของกัมพูชา แต่จะเป็นหลักฐานชัดเจนว่า กัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวเป็นผู้ยื่นขอขึ้นทะเบียน ปราสาทและพื้นที่รอบปราสาทต่อคณะกรรมการมรดก โลก โดยประเทศไทยไม่ได้แสดงตนในความเป็นเจ้าของ พื้นที่ทับซ้อนด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือไว้เป็นหลักฐานเลย เป็นพื้นฐานที่ดีที่กัมพูชาอาจใช้ในการเรียกร้อง สิทธิเหนือดินแดนในพื้นที่ดังกล่าวได้ในอนาคต และมีข้อ เท็จจริงเช่นกันว่า ขณะนี้ในพื้นที่ทับซ้อนบนเขาพระวิหารนั้น มีชาวเขมรไปตั้งบ้านเรือนจนเป็นชุมชนและมีร้านค้าขายของเป็นตลาดสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว โดยไม่มีคนไทยเข้าไปอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนนี้เลย”

“กัมพูชายังถือว่า เส้นประเป็นเส้นเขตแดน และถือว่าพื้นที่ทับซ้อนทั้งหมดอยู่ในเขตแดนเขา หลังจากได้ รับอนุมัติให้ปราสาทและพื้นที่โดยรอบเป็นมรดกโลกแล้ว เขาคงจะทิ้งช่วงเวลาไว้อีกระยะหนึ่ง จนถึงจุดที่อ้างได้ว่า ในทางปฏิบัติเขาได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนส่วนนี้ มานานแล้ว ทั้งในด้านครอบครองเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขมร และในด้านที่เป็นส่วนประกอบของมรดกโลก ที่เขาเป็นผู้เสนอแต่ฝ่ายเดียว เมื่อถึงเวลานั้นคนกลางที่ตัดสินอาจจะไม่สามารถปฏิเสธการเรียกร้องสิทธิดังกล่าวได้”

> ระวัง! คู่กรณีที่น่าเกรงขาม

นั่นรวมไปถึงคำทิ้งท้ายในบทความเรื่อง “บทเรียน จากกรณีขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร” ของ “หม่อมอุ๋ย” เช่นกัน ที่บ่งบอกวิชั่นทางการทูตแบบที่ประชาธิปัตย์เคย เรียกว่า “กุ๊ย” ไว้ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง

“ท่านนายกฯ (สมัคร สุนทรเวช) ครับ ผมเขียนบทความนี้ โดยไม่มีความตั้งใจที่จะสอนหนังสือสังฆราช เพียงแต่ต้องการให้ข้อมูลที่บางคนอาจจะยังมองไม่เห็น การพยายามเอาผิดกับผู้ที่ทำให้เราพลาดในเรื่องนี้ มีคน ทำกันอยู่มากแล้ว ผมกลัวว่าเราจะลืมต่อสู้คู่กรณีที่แท้จริง ซึ่งอยู่ที่ต่างประเทศ และเป็นคู่กรณีที่น่าเกรงขาม ต่อกรด้วยค่อนข้างยาก จึงได้พยายามหาวิธีรับมือกับเรื่องนี้เสนอมาให้ท่านได้พิจารณาด้วย หวังว่าท่านจะไม่มองข้าม เรื่องสำคัญของชาติเรื่องนี้”

หรือแม้กระทั่ง หากมองย้อนไปถึงเอกสารที่ทาง กัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ เพียงฝ่ายเดียวมันย่อมทราบถึงฐานแท้แห่งการทูตชั้นครู นอกตำราของเขมรเป็นอย่างดี

> ประมวลภาพคนระดับนำของไทยเสียค่าโง่

โดยในเอกสารที่เขมรยื่น ได้แนบภาพเหตุการณ์ ต่างๆ พร้อมคำบรรยายที่ชี้ให้เห็นว่า ตัวแทนผู้มีอำนาจ ของไทยได้ให้การสนับสนุนในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่เพียงฝ่ายเดียวไว้อย่างต่อเนื่องดังนี้

1.ภาพนายกฯสมัคร ไปร่วมประชุมกับนายกฯ ฮุนเซน ที่กรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 3-4 มีนาคม 2551 พร้อมคำบรรยายว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะให้ความร่วมมือกันในเรื่องต่างๆ ซึ่งเรื่องหนึ่งที่ระบุไว้ก็คือ การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

2.ภาพการประชุมระหว่างรองนายกฯสก อาน และปลัดกระทรวงต่างประเทศ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2551 พร้อมข้อความที่แถลงต่อสื่อมวลชนว่าทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะให้กัมพูชาได้ยื่นขึ้นทะเบียน Temple of Preah Vihear อย่างเป็นทางการในการประชุมครั้งที่ 32 ในเดือนกรกฎาคม 2551

3.ภาพการร่วมพิธีตัดริบบิ้นเพื่อเปิดทางหลวง หมายเลข 48 ของกัมพูชา พร้อมคำบรรยายว่ามีการพบปะกันระหว่างรัฐมนตรีนพดล และรองนายกฯ สก อาน ในระหว่างงานนี้ ซึ่งในการพบปะนั้นฝ่ายไทยได้ยืนยันที่ จะสนับสนุนการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชา

4.ภาพการประชุมในกรุงปารีสเมื่อ 22 พฤษภาคม 2551 พร้อมคำบรรยายสรุปของที่ประชุม

จากที่ลำดับความตามเอกสารและข้อเท็จจริงมา ตั้งแต่ต้น มันได้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยไม่ว่าจะเปลี่ยน มากี่ยุคกี่สมัย โดยไม่นับรวมข้อครหาเรื่องการมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่???

มันได้ปรากฏภาพการประนีประนอมเรื่องอธิปไตย ทางการทูตอย่างมีนัย ที่เผอิญทางการทูตของอีกฝ่ายกลับเทกแอ็กชั่นในเรื่องเขตแดนในทุกตารางนิ้วที่สบช่อง

> คำพูดย่อมเป็นนายตัวเอง

และเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงการอภิปราย “อดีตรัฐมนตรีนพดล ปัทมะ” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ในอดีต แล้ว มันล้วนทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และเห็นภาพ “นักการเมืองสันดานกา” ชัดและถนัดถนี่ขึ้นมาทันตา

“ทำไมต้องเป็นสปิริตของการประนีประนอม ก็ของ เรานี่ครับ แต่จำได้ใช่ไหมเวลาเขาบันทึกมาถึงเรา เขาไม่ได้แม้แต่เรียกว่าทับซ้อน เขาบอกของเขา แล้วท่านก็ไปเขียนแถลงการณ์ร่วมอย่างนี้ ฉะนั้น ไม่ใช่แค่ตัวขอบ ปราสาทแล้ว ปัญหาก็คือว่า การบริหารจัดการพื้นที่ซึ่ง ไทยถือว่าเป็นของไทยในปัจจุบันตามสันปันน้ำต่อไปนี้ เขามีสิทธิ์เข้ามาร่วมบริหารจัดการ และบริหารจัดการอย่างไร ยูเนสโกคุยกับกัมพูชาครับ ไม่ต้องคุยกับไทย”

ลีลาหน้าโพเดี้ยมในวันนั้น สะท้านคมขวานทองมาถึงทุกวันนี้ คำพูดของท่านในวันวานย่อมเป็นนายตัว เองในวันนี้ และก็จะเป็นเวรกรรมระยะยาวของประเทศ ชาติในอนาคต

แม้การสร้างภาพทางการเมืองของท่านมันจะ ยังไม่จบ แต่ขอเรียนด้วยความเคารพมันใกล้จบแล้ว ขอรับ..“ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

ที่มา.สยามธุรกิจ
-------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น