--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

ถนน (ราชประสงค์) ข้าใครอย่าแตะ !!!



ภายหลังจากสี่แยกราชประสงค์กลายเป็นสถานที่นัดหมายชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์กระชับพื้นที่  จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก    ในช่วงพฤษภาคมปีที่แล้ว ที่ผู้ชุมนุมมาปักหลักชุมนุมที่ถนนราชดำริ ซึ่งเป็นศูนย์การกลางค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองหลวง เหตุการณ์ได้บานปลายจนนำไปสู่ความรุนแรง มีการเผาห้างสรรพสินค้าในย่านนั้นวอดวายไปหลายแห่ง  ทุกคน ทุกฝ่ายล้วนได้รับการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน


 ต่างฝ่ายต่างสูญเสีย ต่างฝ่ายต่างมีบทเรียนที่เลวร้าย  วันนี้ ! ต่างฝ่ายต่างต้องการใช้พื้นที่ราชประสงค์ ในเป้าประสงค์ที่แตกต่างกัน

ผ่านไปกว่า 8 เดือนแล้วหลังจากการกระชับพื้นที่ของเจ้าหน้าที่บรรลุผลสำเร็จขับไล่ผู้ชุมนุมกลับบ้านหัวซุกหัวซุน ในการชุมนุมครั้งล่าสุดก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคำเตือนจากชาวบ้านที่บอกว่า "ฉันจะกลับมา" และกลับมาแบบทวีคูณ(x)ไม่ใช่แค่บวก(+) ดังนั้นการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งส่งผลให้กลุ่มผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของร้านค้าที่ถูกทุบทำลายถูกเผาวายวอดแทบสิ้นเนื้อประดาตัว และไม่อยากให้วันวานย้อนกลับมาอีกครั้ง จึงได้แต่ขออ้อนวอนให้ผู้ชุมนุมและรัฐบาลเจรจาตกลงกันเพื่อหาทางออกให้เร็วที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้อีก

การประท้วงของกลุ่มผู้ประกอบการในชุดสีขาวออกมาชุมนุมต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ซ้อนทับกันลงบนพื้นที่เดียวกันในฐานะเจ้าถิ่นไล่แขกผู้มาเยือนให้ย้ายที่ชุมนุมไปที่อื่น แม้จะใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงในการปิดถนนทุกวันอาทิตย์สัปดาห์เว้นสัปดาห์

 แต่ผู้ประกอบการร้านค้าต้องสูญเสียรายได้วันละหลายร้อยล้าน ซึ่งผู้ชุมนุมเสื้อแดงคงไม่มีทางชดใช้ต่อการสูญเสียนี้ได้นอกจากย้ายที่ชุมนุมไปที่อื่น ซึ่งเป็นไปได้ยากที่เสื้อแดงจะละทิ้งราชประสงค์ที่ผูกพันกันมาในสถานที่ ต่อสู้ กิน นอน และตาย

สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของธุรกิจย่านนั้นย่อมไม่มีใครพอใจกับการมาก่อม็อบใจกลางเมืองแน่นอน เพราะนั่นหมายถึงรายได้ในแต่ละวันขาดหายไปประกอบกับค่าเช่าที่ซึ่งต้องจ่ายทุกวัน โดยเฉพาะร้านค้าที่ขายสินค้าหลักล้านถึงหลายล้านต่อชิ้นจะต้องปิดร้านทุกครั้งที่ม็อบมา ผู้ประกอบการรายหนึ่งเล่าถึงความอึดอัด ว่า เดือดร้อนมากในแง่ที่ต้องทำธุรกิจเดี๋ยวปิดเดี๋ยวเปิดธุรกิจก็ไม่เดิน สร้างความเดือดร้อนให้คนระแวกนี้มาก เขามาวันอาทิตย์เป็นวันที่มีลูกค้ามากที่สุด ผลกระทบก็เยอะ ถ้าเสื้อแดงมาเราก็หยุด เพราะเราโดนทุบกระจกโดนขโมยของก็ต้องระวังเพราะเราไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาก

"เห็นใจชาวบ้านไหมชาวบ้านต้องเห็นใจเรามากกว่า คุณเรียกร้องไปเรียกร้องที่ไหนก็ได้ที่ไม่กระทบคนอื่น มีที่เยอะแยะ ไม่ใช่ตรงไหนก็ได้ที่มีผลกระทบเยอะ เราว่ามันมีที่ที่ไม่กระทบกับคนหมู่มาก คือ ราชประสงค์ไม่ใช่ที่มาใช้สิทธิในรูปแบบประชาธิปไตยได้เหมือนที่อื่น ถ้าไปชุมนุมหน้าบ้านคนอื่นแล้วเขาออกบ้านไม่ได้จะทำอย่างไร สิทธิไม่ใช่แบบนี้สิทธิไม่ใช่ว่าเรียกร้องอะไรก็ได้ ถ้าวันหนึ่งผมไปเรียกร้องหน้าบ้านใครสักคนแล้วปิดถนน ตำรวจก็จับผม ไม่ใช่ระดมคนหมู่มากแล้วผิดกฎหมายอย่างไรก็ได้ "

ทางด้านผู้ประกอบกิจการอีกรายกล่าวว่า ถ้ามาเราก็กลัวเราไม่ได้จะบอกว่าไม่ชอบสีแดง แต่การแสดงออกทางการเมืองก็ต้องไปใช้สถานที่การเมือง เช่น สนามหลวงเราก็ยินดีที่จะแสดงออกทางการเมือง การเมืองไม่เกี่ยวก้บธุรกิจ ถ้าใครดีผู้ประกอบการก็สนับสนุนอยู่แล้ว  ถ้าไปรวมตัวที่สนามหลวงหรือสวนลุมพินีเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเสื้อแดงทำให้การเมืองดีขึ้นมันก็ดีแต่การมาครั้งนี้มันไม่ใช่จุดที่ผู้ชุมนุมจะมา เพราะทำให้ผู้ประกอบการทำงานลำบาก พอลูกค้ารู้ว่าผู้ชุมนุมจะมามาดูได้เลยว่าในห้างนี้ไม่มีใครกล้ามาเดินเด็ดขาด ลุกค้ากลัว จริงๆภาพไม่ได้น่ากลัวแต่สิ่งที่เคยเกิดทำให้เขารู้ว่ามันจะน่ากลัว เขาเลยไม่กล้ามากัน อยากให้ผู้ชุมนุมเห็นใจผู้ประกอบการบ้างว่าเขาก็มีการลงทุนมีค่าใช้จ่าย อยากขอร้องว่าถ้าจะมีการชุมนุมก็อย่าให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน ผู้คนจะได้ดูแล้วไม่น่ากลัวขึ้นจึงอยากขอร้องแค่นี้

ขณะที่เจ้าหน้าที่ขายของในห้างย่านราชประสงค์ นายพงษ์พรณ์ เดชชัยภูมิ อายุ 32 ปี พนักงานขายประจำบูทผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย  กล่าวว่า  ยอดขายไม่เหมือนแต่ก่อน ลดลงไปเยอะมาก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติจะขายได้กับกรุ๊ปทัวร์ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีกรุ๊ปทัวร์มาลง จะไปที่พารากอนเพราะไม่มั่นใจว่าที่นี่เปิด 100 เปอร์เซ็นต์ ขนาดเริ่มต้นใหม่ยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ วันที่เสื้อแดงมาชุมนุมแทบไม่ได้ขายเ พราะว่าถ้าเขาชุมนุมด้านหน้าข้างในก็แทบจะไม่มีคนเดิน ลูกค้านึกถึงความปลอดภัย การมาชุมนุมเดือนละสองครั้งไม่เห็นด้วย เพราะถ้าจะมาเรียกความเชื่อมั่นกลับมาก็ไม่น่าจะมาชุมนุมตรงนี้ซึ่งเป็นศูนย์รวมของนักช็อปปิ้ง  แม้เห็นใจผู้ชุมนุมที่มาเรียกร้องอะไรสักอย่างที่ต้องการแต่น่าจะมีขอบเขตและนึกถึงส่วนรวมบ้าง ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็มาเดือนละครั้งก็พอแล้ว มาแบบนี้ถึงจะบอกว่าไม่ทำให้กระทบก็กระทบอยู่ดี
ส่วนพนักงานขายสินค้าในห้างเกสร พลาซ่า ขายเสื้อผ้าแบรนด์ดังราคาอยู่ที่ชุดละห้าหมื่นบาทขึ้นไป ให้ความเห็นต่อการมาชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ทางห้างยังเปิดขายตามปกติ ยอดจำหน่ายยังดีเหมือนเดิม ถึงผู้ชุมนุมจะมาก็คงอยู่คนละส่วน แต่บางทีลูกค้าทราบว่าจะมีม็อบก็จะน้อยลงกว่าปกติ แต่ส่วนใหญ่ห้างนี้จะเป็นลูกค้าประจำมาซื้อแล้วกลับไม่ได้มาเดินนาน แบรนด์เราอาจจะไม่ได้เดือดร้อนเท่าไร พวกสินค้าเล็กๆน้อยๆอาจจะกระทบบ้างแต่ของเราจะเป็นลูกค้าประจำเพราะสินค้าไม่ซ้ำกันลูกค้ามาซื้อแล้วก็กลับไป ไม่ค่อยมีขาจร ถือว่าเรายังขายได้เหมือนเดิมดูจากยอดการขายและอยู่กับเจ้าของห้างสรรพสินค้าจะเปิดปิดอย่างไร ถ้าเปิดก็ยังขายได้เหมือนเดิม ถ้าปิดทุกร้านก็ต้องปิดหมด

มาฟังกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนกันบ้างว่าได้รับผลกระทบจากการมาชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่ นายบอล อายุ 25 ปี นั่งขายรูปภาพข้างถนนบอกว่า กลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมก็เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในแบบของเขาซึ่งก็เสียเวลาเหมือนกัน แต่เราก็ต้องฟังเหตุผลทั้งสองฝ่ายว่าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเราก็เดือดร้อนรัฐบาลบอกจะช่วยเยียวยาก็ไม่ช่วยอะไรเลย พ่อค้าแม่ค้าย่านนี้ได้รับเงินเยียวยาไม่ถึงครึ่งเลย ส่วนมากที่ได้เห็นๆคือคนที่ทำงานข้าราชการ

"เห็นใจผู้มาชุมนุมเพราะผมก็เจอกับตัวเพื่อนที่มาชุมนุมก็เสียชีวิตที่ดินแดง มาถูกยิงก็เดือดร้อนกันยันวันนี้ เงียบมากของขายไม่ได้เลยอย่างวันนี้มาก็ขายไม่ได้สักบาท ก็ต้องกลับไปไหนจะค่ารถ ค่ากิน แต่ขายไม่ได้ คือ จบ เสื้อแดงมาแม่ค้าบางคนก็ขายได้อย่างอาหารตามสั่งข้าวแกงจะขายดีมาก อย่าไปมองว่าเขามาแล้วจะไม่มีคนซื้อของ บางร้านก็ขายดีเหมือนกัน ส่วนห้างใหญ่ๆก็ต้องยอมรับว่าเดือดร้อนเพราะว่าคนต้องไปขอเข้าห้องน้ำ แต่ตอนที่เสื้อแดงมาช่วงแรกๆห้างบิ๊กซีจะขายดีมากคนเยอะ เขาก็กลัวเกิดการจลาจลเลยต้องปิดห้างและก็เกิดขึ้นจริงๆ"

แม่ค้าขายรองเท้า นางอุษณีย์ มงคลวิจิตรกุล อายุ 54 ปี  กล่าวว่า ขาดรายได้เดือนหนึ่งมาหลายครั้งก็แย่เพราะว่าเทศกิจสั่งให้หยุดทั้งแถบ เพราะเขาคงกลัวมีเรื่อง ทำไมต้องมาเรื่อยๆคนจะขายของก็ขาดรายได้ เขาก็สั่งให้หยุดทุกที วันหนึ่งก็หายไปกว่าพันบาท ถ้ามีชุมนุมบ่อยๆก็แย่เหมือนกัน

อีกหนึ่งผู้ประกอบการที่เปิดร้านในห้างบิ๊กซีราชดำริ ออกมาเดินบนถนนรอห้างเปิดกิจการอีกครั้ง นางสมถวิล กล่าวว่า เดือดร้อนเพราะเขามาเผาบ้านเผาเมืองทางร้านก็ได้รับการชดใช้จากร้ฐบาลที่เขาประกาศชดใช้ แต่ก็ไม่คุ้มแถมยังต้องมาก่อตั้งขึ้นใหม่ในอาคารใหม่ ค่าใช้จ่ายก็ต้องมากขึ้น แล้วการที่ผู้ชุมนุมจะมาเดือนละสองครั้งก็ทำให้ลูกค้าไม่กล้ามาซื้อของแถวนี้ จะเป็นผลเสียเพราะแหล่งนี้ไม่ใช่แหล่งชุมนุม คนต่างชาติไม่มายิ่งแย่ใหญ่เลย 

"ส่วนเรื่องที่เสื้อแดงบอกว่าสูญเสียเราก็ไม่เห็นสภาพนั้น เพราะว่าช่วงขณะที่เขาเผาบ้านเผาเมือง ช่วงเดือนเมษายนวันที่ 4 เมษายน พวกเราก็ปิดร้านกันหมดแล้ว เพราะเขามาชุมนุมกันมากไม่รู้ใครเป็นใคร ไม่อยากให้มาชุมนุมแถบนี้ พอมาแถวนี้แล้วทำให้เสื้อแดงรู้สึกมีคุณค่ามีพลัง แต่ถ้าไปจุดอื่นจะไปเมื่อไรก็ไป แต่ตรงนี้ไม่ใช่พื้นที่มาชุมนุมตรงถนน"

นางสมถวิล กล่าวว่า น่าจะคุยกับรัฐบาลจะได้จบ ว่า ผู้ชุมนุมเรียกร้องอะไรรัฐบาลทำได้ไหมอย่างพวกเราถ้าเปิดร้านมาก็ต้องเสียค่าเช่าแล้วไหนจะค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก จะมีลูกค้าซื้ออีกหรือเปล่าไม่รู้ ไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าอยากค้าขายก็ต้องช่วยตัวเราเอง รัฐบาลก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้แต่ก็ไม่ได้มากมาย ความสูญเสียการเผาบ้านไม่เหลืออะไรเลย ทุกอย่างในร้านใช้ไม่ได้เลย เห็นใจผู้ชุมนุมในส่วนที่เขามีปัญหาของเขาซึ่งเราก็ไม่รู้ แต่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอแบบนี้ใครอยากทำอะไรทำเอาก็ไม่ได้หรอกนะ

ปิดท้ายด้วยแม่ค้าขายของใจกลางแยกราชประสงค์ที่หน้าศาลท่านท้าวมหาพรหมณ์ นางกัลยา สวัสดิบัว บอกว่า ไม่กล้าออกความคิดเห็นและบอกว่าคนที่ได้รับผลกระทบจากการมาชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง คือ ผู้ประกอบการตามห้างสรรพสินค้าที่เขามาชุมนุมประท้วง สำหรับแม่ค้าริมถนนไม่ได้รู้สึกว่าเสื้อแดงเป็นปัญหา ซึ่งรัฐบาลก็ประกาศออกมาแล้วว่า ให้คุยกันเองรัฐบาลช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ยังไงก็ตามน้ำเสื้อแดงมาแล้วก็ไป แค่ชั่วโมงสองชั่วโมง
ในฐานะประชาชนคนธรรมดาไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน สุดท้ายทุกคนก็ต้องช่วยตัวเอง เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้คนไทยเห็นแล้วว่า ไม่มีใครช่วยคุณได้ถ้าคุณไม่ช่วยเหลือตัวเอง

ที่มา.มติชนออนไลน์
---------------------------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น