--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

แค่ตลกบนหลังคารถ!

บรรยากาศที่ชายขอบ กลับเข้าสู่อาการงงๆ อันมีผลพวงจากการแก้ปัญหาด้วยการไม่แก้ปัญหา หรือบริหารโดยไม่บริหารตามสไตล์เซียนเขี้ยวการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์

แต่สำหรับบรรยากาศการเมืองภาย ในประเทศ ดูเหมือนจะเกิดอาการฝุ่นตลบอยู่พอสมควร ยิ่งสะท้อนภาพผ่านการถกเครียดกว่า 4 ชั่วโมง ในการล็อกตัวเลขจำนวน ส.ส.ที่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้มี ส.ส.แบบเขต จำนวน 375 คน และ ส.ส.แบบสัดส่วน จำนวน 125

ตรงกันข้าม ในซีกพรรคร่วม รัฐบาลอันมี “บรรหาร ศิลปอาชา”เป็นแกนนำ ดูจะพึงพอใจกับจำนวน ส.ส.แบบเขต 400 คน และ ส.ส.แบบสัดส่วน 100 คน กระนั้น ในการถกเครียดในชั้นกรรมาธิการ ตัวเลขในใจพรรค ประชาธิปัตย์ ก็กลายเป็นตัวเลขที่ถูกเคาะออกมา แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือการลงมติจาก 35 ส.ส.ในคณะกรรมาธิการ มี 17 ชีวิตที่เลือกสูตรของประชาธิปัตย์ และมีอีก 17 ชีวิตเลือกสูตรของซีกพรรคร่วม

สุดท้ายต้องให้ประธานกรรมาธิการเป็นผู้ตัดสิน ก่อนหวยจะมาออกที่อัตราส่วน 375 ต่อ 125แค่เริ่มก็เสียขบวน วาระแก้รัฐธรรมนูญ รอบนี้ มีให้ลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงายได้ตลอดเส้นทาง เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญรอบนี้สักเท่าไหร่ แต่ที่ยอมถอยให้ก็เพราะจำใจ เพื่อประคับประคอง “รัฐนาวาเทพ ประทาน” ไม่ให้ล่มคาปากอ่าวการเมืองไทย

และในเมื่อประชาธิปัตย์สมยอมด้วยการถอยหนึ่งก้าว แต่พรรคร่วมรัฐบาลกลับ รุกคืบเข้ามาอีก 1 ก้าว มันก็เป็นธรรมดาที่ เซียนเขี้ยวอย่างประชาธิปัตย์ จะใช้เป็นเหตุผลให้หน้าตาของรัฐธรรมนูญจะสามารถ ออกมาได้ทุกหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่ง กรณีการกลับไปใช้แบบเดิมตามรัฐธรรมนูญ ปี 50

แม้ “บรรหาร ศิลปอาชา” และ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์”จะแสดง ความไม่พอใจ พร้อมทั้งประกาศดังๆ ว่า ในชั้นรัฐสภาสัดส่วนจำนวน ส.ส.จะต้องถูกจูนกลับมาอยู่ที่ 400 ต่อ 100 ว่ากันตามจำนวนมือในชั้นกรรมาธิการ สิ่งที่ 2ผู้เฒ่ามั่นใจนักมั่นใจหนา ก็มีแนวโน้มเป็นไปได้ แต่หากว่ากันตามความเขี้ยวทางการเมืองที่พรรคประชาธิปัตย์เหยียบบ่าตีกินเพื่อนมาโดยตลอด ตัวเลข 375 ต่อ 125 ก็ยังคงเป็นตัวเลขที่มีทางเป็นไปได้มากที่สุดหรือไม่นั้น ก็กลับไปใช้ของเดิมทั้งกระบิ นั่นก็ยิ่งแย่ไปใหญ่และเข้าทางประชาธิปัตย์แบบเต็มๆ นี่ก็คือการบ้านข้อใหญ่ที่พรรคเล็กต้องไปบริหารจำนวนผู้แทน 25 คนที่หายไปเพื่อไม่ให้ไหลไปเข้าทางพรรคใหญ่ อย่างประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย

จะแก้เกมด้วยวิธีการใดไม่มีใครทราบ แต่เสียงที่ดังมาก่อนหน้านั้นว่า อาจจะเล่นกัน แรงถึงขั้นยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แม้อาจจะเป็นไปได้แต่หากวัดกันจากฐานคะแนนนิยมของ รัฐบาล บนความโลภของนักการเมืองในเค้ก งบประมาณ 55และอาการคึกคักเป็นพิเศษ ของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”

มันช่างเป็นเรื่องที่น่าครุ่นคิดอย่างยิ่งว่านักเลือกตั้งที่กำลังเสวยสุขอยู่ในซีกรัฐบาล จะพึงพอใจกับการลงสนามกลับไปเลือกตั้งใหม่ในสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงที่จะ ตกสวรรค์ได้ทุกเมื่อ สิ่งสำคัญต้องไม่ลืมว่า ตลอดห้วงเวลาที่พรรคร่วมกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันใน “รัฐบาลเทพประทาน”ตามรายทางที่ดำเนินมาล้วนเต็มไปด้วยอาการทะเลาะเบาะแว้ง แต่นี่มัน ก็ปาเข้าไป 2 ปีแล้ว ประชาธิปัตย์กับพรรค ร่วมก็ยังอยู่ร่วมรัฐบาลกันได้เหมือนไม่มีอะไร เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น การวิวาทะกันรอบนี้ ที่ดูเหมือนจะรุนแรงลุกลามบานปลาย ในท้าย ที่สุด ก็คงเป็นแค่ตลกบนหลังคารถ แค่โชว์บทบาทในทางการเมืองไปวันๆ ก่อนจะหันมาจูบปากกันอีกครั้งบนกองผลประโยชน์ประเทศไทย..แต่ในส่วนที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์”บอกว่ากลางปีนี้จะมีเลือกตั้ง ก็ควรกลับเข้าสู่กระบวนการทบทวนใหม่หมด เพราะที่สุดแล้วคนที่มีอำนาจยุบสภาไม่ได้ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ขอรับครับ..ป๋า!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
**********************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น