--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

ดร.เกษียร เตชะพีระ วิพากษ์รัฐบาล-วิจารณ์กองทัพ-กระชับพื้นที่มวลชน 2554 จับตาจัดแถววางโครงสร้างอำนาจใหม่

สัมภาษณ์


2553 เป็นปีแห่งความขัดแย้งอย่างถึงราก

นักวิชาการ ทหาร ตำรวจ ตุลาการ นักกฎหมายต้องนอนก่ายหน้าผาก-พลิกตำราเก่าแก่รับมือ

ดร.เกษียร เตชะพีระ ในฐานะคอลัมนิสต์-นักรัฐศาสตร์ ฟันธงว่า ปี 2554 จะเป็นปีแห่งการจัดโครงสร้างอำนาจของสถาบันหลักของชาติใหม่

พร้อม ๆ กับการกระชับพื้นที่ให้มวลชนสีแดง-สีเหลืองค้นหาเหตุผลมาต่อสู้กัน แทนการใช้กำลัง ความรุนแรง

หากสีใดยังใช้มวลชนเป็น "เบี้ย" ถือว่าเป็นการกระทำที่ "ทุเรศ" และต้องส่งเสริมให้เกิดการ "ทะเลาะกันโดยสันติ"

บรรทัดจากนี้ไป เป็นคำทำนายข้อวิเคราะห์ บทวิพากษ์ และวิจารณ์ทุกโครงสร้างอำนาจ

สิ่งที่น่าจับตาที่สุดของการเมือง ปี 2554 มีอะไรบ้าง

มันทับซ้อนกัน 2 เรื่อง อันแรก เป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่ช่วงรัฐประหาร 2549 ก็คือจะจัดระเบียบการเมืองยังไงให้ลงตัว เพราะว่ามันมีกลุ่มอำนาจ ซึ่งเขาดำรงอยู่จริงในทางสังคม ในทางเศรษฐกิจ ซึ่งก่อนหน้านี้ มีกระบวนการที่กลั่นกรองทางการเมือง แต่กระบวนการที่กลั่นกรองนั้น ใน 3-4 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่า มันก่อปัญหามากกว่าด้วยซ้ำ แปลว่าคุณจะจัดระเบียบการเมืองยังไง ที่จะดึงเอากลุ่มพลังที่ถูกกันออกไป ให้เข้ามามีที่ทางในระเบียบการเมือง และสู้กันในวงการเกมกฎกติกาทางการเมืองได้

ในแง่กลับกัน ในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา สถาบันสำคัญของประเทศ มีการแสดงบทบาทวางตำแหน่งฐานะที่ลักลั่นเปลี่ยนไปจากเดิม พูดตรง ๆ เช่น สถาบันองคมนตรี สถาบันตุลาการ สถาบันทหารได้ถูกดึงเข้ามา จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่เข้ามาพัวพันกับการเมืองมากขึ้น มันก่อให้เกิดปัญหามากขึ้น

ผมคิดว่า ย้อนไป 4 ปีที่ผ่านมา เห็นชัดว่าสถาบันเหล่านี้มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมอย่างไม่เคยเกิดขึ้นทั้งสิ้น ลองนึกไปก่อนปี 2549 สถาบันตุลาการมีภาพลักษณ์ที่ดี สถาบันทหารมีภาพลักษณ์ที่ดี สถาบันองคมนตรีไม่มีใครตั้งคำถาม แต่ปัจจุบันเข้าไปพัวพันการเมืองมากขึ้น

ฉะนั้น จะจัดวางบทบาทตำแหน่งแห่งที่บทบาทฐานะของกลุ่มพลังทางการเมืองที่ถูกกันออกไปจากการเมืองนั้นอย่างไร คือการจัดระเบียบการเมืองใหม่ ที่ให้กลุ่มพลังทางการเมืองและสถาบันที่สำคัญของสังคมทั้งหลายมีบทบาทฐานะที่อยู่ในกรอบของระเบียบการเมือง อยู่ในกฎกติกาของระเบียบการเมือง และเล่นบทที่เหมาะสมของตัว

ที่อาจารย์บอกว่า กลุ่มพลังอำนาจที่ถูกกันออกจากการเมืองนั้น ความจริงเขาอยากกันตัวเองออกจากการเมือง หรือ คนอื่นกันเขาออกไป

(หัวเราะ) ตอนต้น เขาก็คงอยากออก มีคนเชิญเขาออกไปหลายรอบใช่ไหม...คือพอพูดแล้ว เขาก็มีเหตุผลบางอย่าง ที่เขาอยากอยู่ หรือเพราะห่วงผลประโยชน์เขา ก็เป็นเรื่องของมนุษย์ธรรมดา แต่พอเราผลักกัน...ในที่สุด ก็ไม่ใช่เรื่องของเขาคนเดียว เพราะในที่สุด คุณไม่ได้ดีลกับตัว คุณทักษิณคนเดียว แต่คุณกำลังดีลกับเครือข่ายอำนาจของคุณทักษิณ จะจัดการกับเครือข่ายอำนาจของคุณทักษิณ ในที่สุด ก็กันออกไปไม่หมด เช่น กลุ่มนักการเมือง กลุ่มมวลชน

ผมคิดว่า วิธีการจัดการที่ผ่านมา มันไม่ได้เรื่อง มันไม่นำไปสู่ความสงบเรียบร้อย ทำให้ทุกคนยอมรับอย่างที่คุณตั้งใจ อันนี้คือปัญหาคาราคาซัง

ทีนี้ ปัญหาเฉพาะหน้าที่ซับซ้อนเข้ามา และทำให้ปัญหาคาราคาซังเรื้อรัง ยิ่งแก้ยากเข้าไปอีก คือการฆ่าคน ตอนเหตุการณ์เมษา-พฤษภาที่ผ่านมา คือปัญหาเดิม ก็แก้ยากอยู่แล้ว แต่เพิ่มเรื่องนี้เข้ามา ก็เหมือนไปเพิ่มล็อกอีกตัวหนึ่ง แล้วทำให้การแก้ปัญหาพื้นฐานแก้ยาก

ทำให้มีแนวโน้มเกิดความรุนแรงปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมือง กระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ ยิ่งหนักหนาเข้าไปอีก คือเรื่องทั้งหมด ก็ไม่ใช่เรื่องฝ่ายความมั่นคงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของฝ่ายผู้ชุมนุมด้วย เรื่องแบบนี้ ก็เห็นมาตั้งแต่การล้มรัฐบาลสมัคร (สุนทรเวช) การล้มรัฐบาลสมชาย (วงศ์สวัสดิ์)

ต้องทำอย่างไร

ผมคิดว่า เรื่องด่วนที่สุด คือเรื่องเฉพาะหน้า ปัญหาความยุติธรรม ปัญหาความรุนแรง ที่คาราคาซังมาจากเดือนเมษา-พฤษภา ถ้าไม่มีความยุติธรรม ไม่มีกระบวนการที่โปร่งใส เป็นที่ยอมรับในการหาความจริง โอกาสที่จะเกิดความวุ่นวายและรุนแรงก็จะเกิด เหมือนกับเป็นแผล บ่มหนองไปเรื่อย ๆ

ประสบการณ์ของไทยที่ผ่านมาในอดีต ก็มีตัวอย่างเหมือน 14 ตุลา 16 พฤษภา 35 ขบวนการอย่างนี้ ต้องเปลี่ยนการนำทางการเมือง เปลี่ยนรัฐบาล พอเปลี่ยนการนำทางการเมืองแล้ว คือเปลี่ยนหัวก่อน พูดง่าย ๆ สมัยนั้น ถนอม ประพาส ณรงค์ออกไป สมัยพฤษภา 35 สุจินดาออกไป

อันที่ 2 คือเปลี่ยนการนำของสถาบันหลักในทางความมั่นคงที่เข้าไปเกี่ยวพันกับความรุนแรง ก็คือตัว ผบ.ทบ. หรือใครก็แล้วแต่ที่เข้าไปใช้กำลังตอนนั้น และเปลี่ยนแกนนำหน่วยงานราชการที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการปราบปราม

การเปลี่ยนรัฐบาลและการนำหน่วยงานราชการ เพื่อว่าคนที่มีส่วนเกี่ยวพันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะบล็อกการไต่สวนของกระบวนการยุติธรรมได้ ไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะล็อกการค้นหาความจริงได้ นำไปสู่ข้อยุติในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับแล้วหลังจากนั้นค่อยจัดสรรผลประโยชน์อำนาจกันใหม่

แต่ละตำแหน่งมีที่มาตามระบบราชการ หรือมาจากการเลือกตั้ง

มันไม่ง่ายหรอก...คือผมคิดว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ก็น่าจะเป็นโอกาสหนึ่งที่จะเปลี่ยนการนำทางการเมือง...จะเกิดขึ้นหรือเปล่า ผมไม่รู้นะ ก็อยู่ที่ผลการเลือกตั้ง แต่ถ้าไม่ทำสิ่งเหล่านี้ เรื่องไม่จบ

เป็นการเปลี่ยนตัวบุคคลที่เป็นผู้นำหรือเปล่า

ผมใช้คำว่า เปลี่ยนการนำดีกว่า คือพูดด้วยความจริงใจ ในฐานะนักรัฐศาสตร์ จากประสบการณ์การเมืองไทย ถ้าอยากแก้ปัญหาเรื่องนี้ คนที่นั่งอยู่ในอำนาจรัฐบาลตอนเกิดเหตุ ไม่ควรจะนั่งอยู่ในตำแหน่งรัฐบาลอีก อันที่ 2 ก็คือต้องเปลี่ยนการนำของสถาบันหน่วยราชการฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายตุลาการ และองคมนตรี เพื่อให้กระบวนการคลี่คลาย ไม่งั้นมันจะโดนล็อก และกระบวนการไม่คลี่คลาย

คือผมไม่อยากพูดเรื่องตัวบุคคล แต่เป็น การเปลี่ยนการนำ เพราะสถาบันเหล่านี้เข้า ไปพัวพันทางการเมือง โดยเฉพาะเมษา-พฤษภาที่ผ่านมา ทำให้ความชอบธรรมเสื่อมถอยลงทั้ง 3 สถาบัน ไม่เคยมียุคไหน ที่สถาบันตุลาการ สถาบันกองทัพ สถาบันองคมนตรีมีภาพลักษณ์ขนาดนี้มาก่อน

ถ้าแก้ไม่ได้ อย่างเลวร้ายที่สุด ปี 2554 จะเกิดอะไรขึ้น

อย่างเบาที่สุดก็คือ un-governability ก็คือปกครองไม่ได้ ปกครองอย่างอำนวยให้เศรษฐกิจ สังคมดำเนินไปอย่างปกติสุข เป็นไปไม่ได้ ใครก็ตามที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็จะมีแนวโน้มใช้อำนาจอย่างฉุกเฉิน ใช้กฎหมายความมั่นคง อำนาจนิยม ส่วนฝ่ายมวลชน ก็จะมีแนวโน้มต่อต้านการปกครองอำนาจใหม่ที่ขึ้นมา และมีแนวโน้มอนาธิปไตย

ก็คือข้างบนอำนาจนิยม ข้างล่างอนาธิปไตย แล้วก็จะเรื้อรังกันไปแบบนี้ เรื้อรังกันไปเรื่อย ๆ แบบนี้ เพราะเป็นมาตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 23 ธันวา 2550 แล้ว

สาเหตุที่เสื้อแดงควบคุมยาก เพราะ แกนนำยังไม่ได้ประกันตัว เรื่องนี้เป็นปัญหาที่แท้จริงหรือไม่

ผมคิดว่า ปัญหาทับซ้อน 2 ส่วน คือในส่วนแกนนำ ก็มีปัญหาการต่อสู้ทางแนวทางของแกนนำที่อยู่ข้างใน จากการเปิดเผยของคุณวีระ มุสิกพงศ์และพี่วิสา คัญทัพ แกนนำ นปช.ในระยะเวลาที่ผ่านมา แล้วในที่สุด ดูเหมือนว่าแนวทางต่อสู้ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบขาด ฉับพลัน เอาชนะอย่างรวดเร็ว ฉับพลัน เป็นฝ่ายที่แพ้

ผมคิดว่า อันนี้เป็นบทเรียนที่ต้องสรุป คือหลีกเลี่ยงความรุนแรง แล้วมองการต่อสู้อย่างที่เป็นจริง ไม่ใช่อย่างที่ใจตัวเองต้องการ ไม่ว่าใจนั้นจะเป็นใจในประเทศ หรือใจนอกประเทศก็ตาม ต้องเริ่มจากความเป็นจริง

เขากำลังพยายามเปลี่ยนวิธีคิดของคนไทยทั้งประเทศ เกี่ยวกับการเมือง ปัญหาความเสมอภาคในสังคม อันนั้นเป็นเรื่อง ยืดเยื้อยาวนาน คงจะเร่งรัดให้เสร็จภายในระยะเวลาอันสั้น เผด็จศึก...ไม่ได้

ในส่วนของมวลชน ผมยินดีที่สุดเลย ที่คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด เขาทำการเคลื่อนไหว แต่คุณูปการที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของการต่อสู้แบบ บก.ลายจุด คือการต่อสู้แบบสันติ

อาจารย์ไม่อยากให้ปฏิเสธกันที่สีเสื้อ แต่อยากให้ปฏิเสธวิธีการรุนแรง

ผมอยากให้เปิดยุคใหม่ของการต่อสู้ในความขัดแย้งทางการเมือง จาก 3-4 ปีที่ผ่านมา ด้วยความเชื่อทางการเมืองอย่างจริงใจจริงจังของคนเสื้อเหลืองแลคนเสื้อแดงได้ทำการต่อสู้อย่างเข้มข้น ในที่สุด ก็ทำให้การต่อสู้ส่งผลไปถึงความรุนแรงทั้ง 2 ฝ่าย

ดูแนวโน้มต่อไปข้างหน้า วันที่เราเจอ จุดความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างแนวคิดที่ต่างกันในเรื่องนี้ ระหว่างเสื้อสี ที่ต่างกันในเรื่องนี้ มันคงไม่เกิดเร็ว เมื่อไม่เกิดเร็ว ก็ต้องสร้างวิธีการต่อสู้ ที่สู้กันได้ โดยไม่ต้องฆ่ากัน มันจะเป็นประโยชน์ต่อคนเสื้อเหลืองเอง และจะเป็นประโยชน์ต่อคนเสื้อแดงเอง

แน่นอน ทางรัฐก็ต้องเข้าใจด้วยว่า คุณพลาดทางยุทธศาสตร์นะ ที่คุณไปปราบ ฆ่าเขารุนแรงขนาดนั้น

ทั้งฝ่ายผู้ฆ่าและฝ่ายผู้ถูกฆ่าก็มีเหตุผลรองรับการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐ หรือฝ่ายชุมนุม

ผมคิดว่า ทุกฝ่ายลองหายใจลึก ๆ แล้วถามตัวเองว่า คุณมีคำอธิบายเสมอ ว่าคุณจะต้องทำแบบนี้ ต้องปราบ ต้องใช้ความรุนแรง เพราะ...แล้วอธิบายไป แล้วผลที่ได้มาเนี่ย มันแก้ปัญหาไหม หรือมันเพิ่มปัญหา

ถ้าประเมินแล้ว คิดว่าเพิ่มปัญหาให้ หนักหน่วงยิ่งขึ้น แตกลายปัญหาออกไป อีกกว้างไกลยิ่งขึ้น งั้นก็อย่าทำอีก มันไม่คุ้ม...อะไรจะดีกว่ากัน ระหว่างฆ่าคนที่เห็นต่างจากคุณ หรือชนะใจเขา แล้วเปลี่ยนแปลงความคิดเขาได้

ผู้ชุมนุมถูกปลุกระดมให้เกลียดฝ่ายรัฐ ส่วนฝ่ายรัฐปฏิบัติราวกับผู้ชุมนุมเป็นศัตรู ถือเป็นข้ออ่อนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือเปล่า

ข้ออ่อนนี้ เป็นกันทุกฝ่ายนะครับ เสื้อเหลืองก็เป็น เสื้อแดงก็เป็น ฝ่ายรัฐก็เป็น ประเทศไทยสัก 100 ปีข้างหน้า เราก็ยังต้องมีกองทัพไทย เราก็ยังมีคนที่เชื่อใน อุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบเสื้อแดง เราก็ยังมีคนที่เชื่อในอุดมการณ์เรื่องสถาบันพระ มหากษัตริย์ เรื่องการรักชาติแบบเสื้อเหลือง มันไม่มีอะไรที่จะหายไปหรอก คุณตั้งใจที่จะทำให้เสื้อแดงหายไปหมดเหรอ ? คุณตั้งใจที่จะทำให้เสื้อเหลืองหายไปหมดเหรอ ? คุณตั้งใจที่จะทำให้กองทัพไทยหายไปจากประเทศไทยเหรอ ? ไม่มี...วันนั้นจะไม่มี

มวลชนทุกสีเสื้อคงทะเลาะกันที่ความคิดเลือกข้าง แต่ระดับนำของทั้ง 2 ฝ่ายมี ผลประโยชน์มหาศาลเป็นเดิมพัน และใช้ชีวิตมวลชนมาต่อรอง

ผมว่า ที่ผ่านมามีการเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ภายในองค์กรไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตยเท่าไหร่ มีลักษณะนำเดี่ยว หรือนำไปตามใจ หรือพร้อมที่จะเอามวลชนเป็นเบี้ย เพื่อแลกกับชัยชนะ อันนี้พูดด้วยความเคารพ ว่าทุเรศที่สุด ผมนึกคำที่แรงกว่านี้ไม่ได้ มันทุเรศ...อย่าทำแบบนั้น...คือต้องคิดใหม่ในหมู่แกนนำ เรื่องการเอาชีวิตคนเป็นเบี้ย เป็นเครื่องมือ

ในแง่กลับกัน ผมคิดว่า มวลชนก็อย่าได้ปล่อยให้ตัวเองเป็นเครื่องมือของแกนนำ การเข้าไปร่วมเนี่ย คุณก็มีอุดมการณ์ร่วม คุณมีแนวคิดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีร่วมกับเขา ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณคิดว่ามันชอบกล ไม่เข้าท่า มวลชนก็อย่าไปยอม

ทุกครั้งที่มีการชุมนุมของทุกสี ก็ต้องปลุกอารมณ์

ถ้าใช้อารมณ์ คุณก็ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่อยากจะใช้คุณเป็นเครื่องมือ คือเราคงไม่สามารถหลีกพ้นสภาวะอันนี้ ในโลกของเราต่อไปข้างหน้า ก็ยังมีคนที่ใช้อารมณ์มวลชนเป็นเครื่องมือ

มวลชนอาจจะบอกว่าเต็มใจ ตายก็ยอม ขณะที่คนได้ประโยชน์คือแกนระดับนำระดับบน

อืม...ม ผมเห็นด้วยนะ คือคนที่เขามีความเชื่อ พร้อมจะเอาชีวิตเข้าแลกและยอมตายเพราะความเชื่อ ผมเคารพนะ แต่ที่ผมกลัว คือพลิกนิดเดียว ไปเป็นเขายอมฆ่าเพราะความเชื่อ สิ่งนี้ผมอยากจะให้คิดซะใหม่ คุณยอมตายเพราะความเชื่อเพื่ออุดมการณ์คุณ ผมนับถือ แต่อย่ายอมฆ่าเพราะความเชื่อ มันต่างกันนิดเดียวจริง ๆ ต้องระวัง

คุณทักษิณเป็นตัวแปรสำคัญของการเมืองไทย เขาควรมีท่าทีอย่างไรต่อมวลชนและฝ่ายตรงข้ามภายในประเทศ

คุณทักษิณในฐานะสิ่งมีชีวิตทางการเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่แน่นอนของตัว จะไม่ให้เขาต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเขา ก็คงไม่ได้ ในความคิดความเข้าใจของเขา ก็คงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งก็มีสิทธิที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมนั้น

หน้าที่ของพวกเรา ก็คือจะออกแบบระเบียบการเมือง ระเบียบการปกครองอย่างไร ที่จะมีที่ให้คุณทักษิณ รวมทั้งกลุ่มอื่นอยู่ตรงข้าม ต่อสู้แสวงหาความเป็นธรรม โดยไม่ทำให้บ้านเมืองทั้งหมดพังด้วย เพราะมีคนจำนวนหนึ่งรู้สึกว่าถูกคุณทักษิณรังแกเอาเปรียบ เขาคงรู้สึกเหมือนกันว่าในยุคคุณทักษิณ เขาก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าไหร่ เราจะออกแบบอย่างไร เพื่อให้คนเหล่านี้เล่นได้ โดยไม่ทำให้ทั้งหมดฉิบหายไปด้วย อันนี้สำคัญกว่า

ผมคิดว่า ถ้าจะไม่ให้คุณทักษิณมีบทบาททางการเมืองเลย หรือจะไม่ให้คนที่รู้สึกว่าถูกคุณทักษิณรังแกมีบทบาททางการเมืองเลย มันผิดวิสัยมนุษย์ มนุษย์มันก็เป็นสัตว์การเมือง มันก็เคลื่อนไหวแบบนี้แหละ

แต่ว่า เรากำลังปล่อยให้ความขัดแย้งของกลุ่มคนเหล่านี้ทำลายระเบียบการเมืองของเรา ของลูกหลานเรา จนกระทั่งการเมืองแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องยิงกัน ต้องมาฆ่ากัน

เราต้องหาวิธีที่ต่อให้คุณทักษิณ หรือฝ่ายตรงข้ามคุณทักษิณ นึกอยากจะใช้วิธีที่เลวร้าย ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ คือระเบียบการเมืองมีความแข็งแรงพอที่จะทำให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาในทางผลประโยชน์ของกลุ่มคนเหล่านี้เดินไปตามวิถีของมัน

วิธีคิดที่ว่าทำใจ ทีใครทีมัน จะทำให้บ้านเมืองสงบได้ไหม

เราต้องสร้างระเบียบการเมือง ที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนได้ที ก็ต้องไม่ทำร้ายส่วนรวม

ขั้นต่ำ คือมีกติกาแน่นอน ยอมรับว่า ใครชนะแล้ว เล่นเกมใหม่ ไม่ใช่พอฝ่ายตรงข้ามชนะแล้ว บอกว่า กูจะไม่ยอมให้มึงปกครอง แล้วทำทุกวิถีทาง เอามึงลงให้ได้ ซึ่งผมรู้สึกว่า อันนี้มันเล่นกันซะจนบ้านเมืองฉิบบหายหมด แบบนี้ตายทั้ง 2 ฝ่าย กลับไปสู่วงจรอุบาทว์เก่า อำนาจนิยมโดยรัฐบาล อนาธิปไตยโดยมวลชน

การชุมนุมแบบเดิม มักวัดกันที่จำนวนมวลชน เปลี่ยนไปเป็นวัดกันที่ประเด็นความต้องการ

ก็เป็นความก้าวหน้าขึ้น ผมคิดว่า กว่าจะมาถึงปัจจุบัน เริ่มชัดเจนแล้วว่า ความขัดแย้งมันเป็นเรื่องอะไรบ้าง ถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่า การเมืองไทย ไม่มีใครคิดล้มเจ้าเพื่อเป็นสาธารณรัฐ แม้แต่อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แกก็ไม่ได้บอกว่าจะล้มเจ้า

ฉะนั้น ประเด็นสำคัญ ไม่ใช่เรื่องจะ ล้มเจ้า หรือไม่ล้มเจ้า แต่เป็นประเด็นว่า คุณจะสร้างระเบียบการเมืองอย่างไร ที่จะมีที่ทางให้พลังการเมืองฝ่ายต่าง ๆ และสถาบันหลักต่าง ๆ ของสังคมได้วางฐานะตัวเองได้เหมาะสม นี่คือโจทย์ระยะยาว

มีกระแสมวลชนบางกลุ่มคิดว่าต้อง ล้มเจ้าเพื่อแก้ปัญหา

คงมีคนที่คิดแบบนั้นอยู่บ้าง แต่ในแง่กลับกัน ในเมืองไทย มีคนรักสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุผลที่ดีที่สุด... เราอยู่ในประเทศที่มีคนทั้ง 2 แบบ เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน มีช่องทางใดไหมที่จะมา นั่งถกเถียง ด้วยเหตุผล ว่าอะไรคือปัญหาที่ติดขัดข้องใจ อะไรคือฐานะบทบาทตำแหน่งของสถาบันสำคัญของประเทศที่ควร

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-----------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น