โดย พระพยอม กัลยาโณ
ภายหลังการปรับคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่ทุกครั้งจะได้ยินเสียงการทำใจของรัฐมนตรีที่ต้องหล่นเก้าอี้ และเสียงการยินดีปรีดาของรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งครั้งนี้ก็คงได้ยินเสียงที่ว่า
เมื่อเก้ารัฐมนตรีมีสถานะไม่ต่างจากเก้าอี้ดนตรี คนที่เข้ามานั่งก็ต้องทำใจ เดี๋ยวได้นั่งเดี๋ยวคนอื่นมาแย่งนั่ง เพราะเก้าอี้มีไม่พอกับคนที่อยากนั่ง แต่เมื่อใครได้ลองนั่งแล้วย่อมไม่อยากลุก อยากหยั่งรากให้ลึกจะได้ยึดเก้าอี้ไว้นานๆ ถึงแม้รู้อยู่ว่าควรเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามานั่งบ้าง แต่ก็อย่างที่กล่าวนั่งแล้วก็ไม่อยากลุก
ในขณะที่บางคนก่อนหน้านั้นมีลุ้นว่าน่าจะได้นั่ง มีชื่อติดโผมาตลอด แต่สุดท้ายกลับไม่มีรายชื่อ แน่นอนความผิดหวังก็ต้องเกิด โดยเฉพาะคุณจตุพร พรหมพันธุ์ แต่เมื่อพอรู้ว่าไม่มีรายชื่อเป็นรัฐมนตรีใหม่ ทีแรกดูเหมือนว่าจะทำใจได้ แต่พอเห็นหางเครื่องเห็นกองเชียร์ที่เป็นพวกพ้องออกมาไถ่ถามถึงความเสียสละในการต่อสู้จนต้องติดคุกติดตะรางแต่กลับไม่ได้อะไร ก็อาจมีฉุนตามกองเชียร์บ้าง
การปรับ ครม. ครั้งนี้จะไม่ให้เกิดคลื่นหรือแรงกระเพื่อมในพรรคเพื่อไทยเลยก็คงไม่ใช่ เพราะโลกใบนี้ตราบใดที่คนเรายังมีอารมณ์อยากจะมี อยากจะเป็น ย่อมมีความรู้สึกสมหวังและผิดหวัง
ฉะนั้นอารมณ์เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับคนที่ได้รับตำแหน่งและไม่ได้รับตำแหน่งก็มี หรือชอบก็เชียร์ไม่ชอบก็ค้าน หรือไม่ก็ด่า หรืออีกพวกเฉยๆ ใครจะนั่งตรงไหนก็เฉยๆ เพราะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรด้วย
อยากให้สิ่งเหล่านี้เตือนสติทุกคนไว้ว่า โลกใบนี้เป็นอนิจจัง ซึ่งในอนิจจังก็ยังมีแยกอีกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่น่ารัก กับน่าเกลียด อนิจจังที่น่าเกลียดก็คือ พออะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตนเองไม่ชอบ แน่นอนย่อมจะต้องโกรธเคืองฉุนเฉียว
สิ่งที่อยากฝากไว้เป็นข้อคิดคือ เราอย่ายึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยคิดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมาจะเห็นว่าการชุมนุมของคนเสื้อเหลืองมีความเหนียวแน่น มีความเป็นเอกภาพสูงมาก แต่สุดท้ายก็ต้องแตก ในขณะที่เสื้อแดงตอนนี้มีโอกาสมีรอยร้าวได้เช่นกัน และอาจปริแตกได้โดยมีเรื่องของเก้าอี้เป็นเหตุ
เจริญพร
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น