--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บิ๊กจิ๋ว.เชนคัมแบ็ก เอกซเรย์ ครม.ปู3 111 คืนชีพ.ทรท.โมเดล !!?

เกมไล่เบี้ย “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” เพื่อหวังให้มีการปรับ ครม.ในหลายเก้าอี้นั้น เป็น ที่รู้กันดีว่า...มีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการยกเอาสารพัดเหตุผล และทุกช็อต ทาง การเมือง เอามาเป็นสูตรผสมในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะการขยาย “ช่องว่างแห่ง อำนาจ” ของเหล่าประชากรบ้าน 111 เสร็จนาฆ่าโคทึก..เสร็จศึกฆ่าขุนพล! ถือเป็น “วรรคทอง” อันเป็น “สูตรสำเร็จ” ในทางการเมืองทุกยุคสมัย

เมื่อ “ฟางเส้นสุดท้าย” มีอันต้องขาดผึงลงไป เพราะทนแรงเสียดทานไม่ไหวบีบให้ “ขุนพลหัวขาว” ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ต้องยอมสละทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การไขก๊อก! ทิ้งเก้าอี้ “รัฐมนตรี” และสถานะผู้ทรงเกียรติในสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนตำแหน่ง “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย”

จึงกลายเป็นภาวการณ์ที่อ่อนไหวในทางการเมือง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่ในมุ้งค่ายเพื่อไทย เพราะการที่ “ยงยุทธ” ตัดสินใจ ลาออกจากเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ ทอดยอดต่อกันไปเป็น “โดมิโน่” ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคทั้ง 18 คน...หมดสภาพไปในคราวเดียวกัน ในขณะเดียวกัน ก็ถือเป็น “โอกาส” ของเหล่านักการเมือง 111 ที่เพิ่งถูกล้างป่าช้า ได้หวนกลับมาสยายปีกประกาศความยิ่งใหญ่อีกครั้ง พลันให้เกมการเมือง ในภาคต่อนับจากนี้ไป กลายเป็น “สงคราม ขนาดย่อม” ที่ตัวนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

การไขก๊อกของ “ยงยุทธ” ได้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่ทำให้ “เกมพาวเวอร์เพลย์” ภายในพรรคเพื่อไทย มีความดุเดือดและรุนแรงมากขึ้นไปตามลำดับ โดยขึ้นอยู่กับ “ความดื้อ-สวย-ดุ” และ “ความเป็นตัวของตัวเอง” ของนายกฯ ปู ว่าจะสามารถทน “แรงเสียดทาน” ที่ถาโถม เข้ามา ทั้งจาก “พี่ชายใหญ่” และ “เหล่าบริวาร” ซึ่งกำลังหิวกระหาย...ได้ยาวนานแค่ไหน

เพราะ “นายกฯ ปู” มีความจำเป็นยิ่งยวด ในการรักษา “คนของตัวเอง” และคนที่รู้สึก “ไว้วางใจ” เก็บเอาไว้ข้างกายให้มากที่สุด ทั้งที่อยู่ใน ครม. และตีปีกราย ล้อมในตึกไทยคู่ฟ้า ด้วยเหตุที่ว่า “ผู้นำรัฐบาล” เป็นฝ่ายเผชิญหน้ากับทุกแรงเสียดทาน ทั้งปัญหาด้าน “บริหาร” รวมถึงสารพัดนโยบาย และ “การเมือง” ซึ่งแน่นอนว่าทางการเมืองนั้น “นายกฯ ปู” ย่อมไม่สันทัดกรณี และมีโอกาส “พลาดพลั้ง” ได้โดยง่าย หากเลือกใช้ “คนผิด”

ในขณะเดียวกัน คงเป็นการยากที่ “นายกฯ ปู” จะทำงานได้อย่างราบรื่นกับ “ข้าเก่าเต่าเลี้ยง” ที่ถูกส่งมาเป็น “ออเดิร์ฟจานร้อน” โดยผู้มากบารมีในรัฐบาล เพราะมีทั้งบุคคลที่ “มีตำหนิ” ทั้งก่อนและหลังเข้าเป็นเสนาบดีปูแดง ที่สำคัญคือคน เหล่านั้น แทบไม่เคย “ฟังคำสั่ง” หรือ “คำ พูด” ของผู้นำรัฐนาวาเลยแม้แต่กระผีกริ้นนั่นคือความอัดอั้นตันใจของ “นายกฯ ปู” ที่มีมาตลอดหนึ่งขวบปีหลังก้าวสู่ “เกมอำนาจทางการเมือง”

แต่ในรายของ “ยงยุทธ” กลับดูแตกต่างไป เพราะเติบโตมาจากข้าราชการประจำ ย่อมรู้ดีว่าควรเล่นบทบาทไหนที่จะไม่เป็น การ “ออฟไซด์” จนเกินพอดี เมื่อเทียบกับพวก “อะไหล่” หรือ “นอมินี” ทั้งหลาย แหล่ ทว่าเมื่อถึงที่สุดแล้ว “นายกฯ ปู” ก็ไม่อาจต้านทาน “แรงบีบ” ที่มาจากกลุ่มก้อนการเมือง และ “ประชากร 111” ได้อีกต่อไป “หมากการเมือง” อย่าง “ยงยุทธ” จึงมีอันถูก “เขี่ย” พ้นไปจากกระดาน ด้วยเหตุที่ว่า...จะพากันไปตายทั้งพรรค หากบานปลายถึงขั้นทำให้ “เพื่อไทย” ถูกสั่งยุบพรรค

ทั้งที่ในข้อเท็จจริงแล้ว การเตะตัดขา “ยงยุทธ” มีเป้าหมายเพื่อเปิดประตูไปสู่การปรับ ครม.ล็อตใหญ่ เพื่อปล่อยผี “นักการเมือง 111” ให้ออกมาสู่เวทีแห่งอำนาจ แม้ตัว “นายกฯ ปู” จะพยายามปฏิเสธ และบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด แต่อาการแข็งข้อหนนี้ ก็ไม่อาจโน้มน้าว หรือ ลดความต้องการของ “พี่ชายใหญ่” ลงไปได้

“นายกฯ ปู” จึงทำได้แค่ชิงเหลี่ยมคูเล็กๆ โดยเลือกที่จะใช้มติ ครม.ตั้งรักษาการแทนขึ้นมาทำหน้าที่ และดึงเรื่องการปรับ ครม.ออกไปอีกชั่วระยะหนึ่ง แต่ก็พอมี เหตุผลพอรับฟังได้ นั่นคือการดึงเวลาการ ปรับ ครม. เพื่อหวังจะใช้จังหวะนี้ให้ “รัฐมนตรีขาเก่า” ได้แสดงผลงาน เพื่อรับมือศึกซักฟอกรัฐบาลที่น่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้

แต่เมื่อไม่มีการปรับทัพเสนาบดี และปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไป ก็ยิ่งเป็นการ “สุ่มเสี่ยง” ที่จะเกิด “คลื่นใต้น้ำ” ขึ้นภายในมุ้งค่ายเพื่อไทย!!! เกมไล่เบี้ย “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” เพื่อหวังให้มีการปรับ ครม.ในหลายเก้าอี้นั้น เป็นที่รู้กันดีว่า...มีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการยกเอาสารพัดเหตุผล และทุกช็อต ทางการเมือง เอามาเป็นสูตรผสมในคราว เดียวกัน โดยเฉพาะการขยาย “ช่องว่างแห่งอำนาจ” ของเหล่าประชากรบ้าน 111 ที่พร้อมจะเข้ามาช่วยประคองและขับเคลื่อนนโยบายทางการเมืองให้กับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เพื่อเข้าสู่โหมดการทำงานในขวบปีที่ 2

นอกจากการวางตัว “ขุนพล” จากนักการเมืองขาใหญ่ในบ้าน 111 แล้ว...ยัง คงมีข่าวสายในจาก “วังจันทร์ส่องหล้า” ที่ระบุว่า “พี่สะใภ้นายหญิง” ได้ทำการ “ล็อกสเปก” เก้าอี้เสนาบดีไว้ให้กับ “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ด้วยความมาดหมายของ “คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร” ที่พร้อมต่างตอบ แทนให้แก่ “บิ๊กจิ๋ว” หลังเคยเรียกใช้บริการ “ขงเบ้งจิ๋ว” ช่วยเคลียร์ทางให้อดีตสามี มาแล้วหลายต่อหลายครั้งว่ากันว่า “คุณหญิงอ้อ” หวังจะให้ “บิ๊กจิ๋ว” เข้ามาดูแลงานด้านความมั่นคง แทนที่ “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ที่มีแนวโน้มสูง ว่าจะถูกปรับออก

บทบาทของ “บิ๊กจิ๋ว” นั้น ได้มีการวิเคราะห์กันไปหลายทาง ทั้งการเป็น “สายเหยี่ยว” ซึ่งปฏิบัติการลับใต้ดิน หรืออยู่ในสถานการณ์หลังฉาก กับอีกบทบาทใน “สายพิราบ” ด้วยคัมภีร์แห่งการนิรโทษกรรม ตามแบบฉบับของคำสั่งสำนักนายก รัฐมนตรีที่ 66/23 นำมาซึ่งการวางอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย

ประจวบเหมาะกับที่ “รัฐบาล” กำลัง เผชิญกับปัญหารุมเร้ามากมาย โดยเฉพาะ ความล้มเหลวต่อการแก้ไขปัญหาไฟใต้ ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่อ่อนไหว และ “เปราะบาง” เป็นอย่างยิ่ง โดยตลอดระยะเวลา 8-9 ปีมานี้ ปัญหาดังกล่าวในแดนมิคสัญญี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูจะรุนแรงขึ้นทุกขณะ แม้จะมีสัญญาณการเจรจากับ ผู้ก่อความไม่สงบไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจ ลดความรุนแรงลงไปได้ พลันให้ “ผู้มากบารมีในรัฐบาล” หวังที่จะนำ “คัมภีร์จิ๋ว” มาใช้เป็น “โมเดล... ดับไฟใต้”!!! ซึ่งนอกจากการวางตัว “บิ๊กจิ๋ว” แล้ว...ยังได้มีการเสนอชื่อ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ผู้อำนวยการพรรคเพื่อ ไทย เข้ามาเป็นคู่แคนดิเดต ถึงแม้จะถูกมองว่าเป็น “มวยคนละรุ่น” ทว่า “เจ้าแม่ วังบัวบาน” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ก็พร้อมเทหน้าตัก มุ่งผลักดัน “เสี่ยอ้วน” ขึ้นชั้นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงด้วยเช่นกัน

แต่หาก “เอกซเรย์” ให้ถึงเนื้อในแล้ว...“บิ๊กจิ๋ว” ย่อมตรงสเปกที่สุด เพราะเคยเป็นทั้งอดีตผู้บัญชาหารทหารบก และ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งยังมีกระแสข่าวยืนยันอีกว่า ในการไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ได้มีการพบปะพูดคุยเพื่อโน้มน้าว “ขงเบ้งจิ๋ว” ให้ยอมเชนคัมแบ็ก! เพราะด้วยบารมี และสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับ “กลุ่มอำนาจ” รวมถึงการ เป็น “มือประสานสิบทิศ” ที่สามารถเข้าได้กับทุกฝ่าย โดยเฉพาะกับ “ป๋า” พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและ รัฐบุรุษ นั่นย่อมเป็นผลดีมากกว่าสำหรับรัฐบาลชุดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ความสำคัญของเก้าอี้ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ยังถือได้ว่าเป็น “ห้องเครื่องใหญ่” ที่คุมความมั่นคงทาง การเมืองของ “รัฐบาลปู” อีกทั้งยังเป็นเกราะกำบังกายให้ “รัฐบาล” สามารถยืนหยัดได้ท่ามกลางมรสุมรุมเร้า! ซึ่งผู้ที่มาดูแลคงต้องเข้าใจ “ขุนทหาร” ทุกฝ่ายเป็นอย่างดี ถ้า “รองนายกฯ ความมั่นคง” ถือธงที่สามารถเชื่อมโยงกับ “กองทัพ” ได้แล้ว แน่นอนว่า “รัฐบาล” ย่อมหายใจได้คล่องปอดขึ้น เพราะไม่ต้องหวาดกลัวกับกระแส “ปฏิวัติ” ที่ตามมาหลอกหลอน..!!! ล้อไปกับกระแสข่าวการปรับทัพ ครม. ที่ดูแล้วน่าจะปรับกันมากถึง 10-11 ตำแหน่ง เพื่อที่จะ “เขย่า” การบริหารงานให้มีความข้นคลั่ก! และเตรียม พร้อมสำหรับการออกตัวเพื่อ “บริหารอำนาจรัฐ” ในช่วงขวบปีที่ 2

ดังนั้น การพิจารณาตัวบุคคล จึงต้องมากด้วยความรอบคอบ เพราะหากสังคมขานรับ การปรับ ครม.จะทำให้รัฐบาล บริหารงานได้อย่างราบรื่นมากขึ้นและนั่นถือเป็นหนึ่งใน “ยุทธศาสตร์” ทางการเมือง ตามที่ “ยิ่งลักษณ์” วางเอาไว้ แม้จะไม่เป็นตาม “จังหวะเวลา” ที่พี่ชายคาดหวังไว้ก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่า พอมีกระแสข่าวเขย่า เก้าอี้ “ครม.ปู 3” โหมกระพือ! การวิ่งเต้นขอตำแหน่งกับ “นายใหญ่” ย่อมเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ทำให้ “ยิ่งลักษณ์” ต้องงัดแผนสยบความเคลื่อนไหวของมุ้งการเมืองภายใน “พรรคเพื่อไทย” เพื่อมิให้เกิดการต่อรองเก้าอี้เสนาบดีกับ “พี่ชาย” ในต่างแดนแรงกระเพื่อม เรื่องตัวบุคคลที่จะมา ดำรงตำแหน่ง จึงเกิดขึ้นอย่างที่เห็น ทำให้ ยิ่งลักษณ์ ต้องรีบออกมาเบรกแรงๆ ว่า... ยังไม่ปรับ ครม.ในขณะนี้ เพื่อที่จะดึง “เกม” ให้กลับมาอยู่ในมือตามเดิม เนื่องจากการปรับทีมเสนาบดี นอกจากจะเป็นการ “เขย่าการทำงาน” ภายในแล้ว ยังเป็นเครื่องมือทางการเมือง ที่จะใช้รับมือกับพรรคฝ่ายค้านด้วย

ทำให้ “ยิ่งลักษณ์” และบริวารใกล้ชิดในตึกไทยคู่ฟ้า ต้องมาขบคิดกันต่อว่า จะใช้เกมการปรับ ครม.มาเป็นประโยชน์ต่อการลดแรงเสียดทานจากศึกซักฟอกได้อย่างไร...ซึ่งก็เกิดขึ้นได้ทั้ง 2 ทาง คือปรับใหญ่ก่อนศึกซักฟอก เพื่อจะเปลี่ยนเป้า การโจมตี หรือปรับใหญ่หลังศึกซักฟอกเพื่อ ลดผลกระทบจากศึกดังกล่าว

การเลือกทางใดทางหนึ่ง อย่างถูกจังหวะ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เกิด ความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองอย่างชัดเจน ทั้งหมดทั้งปวง จะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และได้ผลดีทางการเมือง ต่อรัฐบาล ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานอันสำคัญ นั่นก็คือ “ยิ่งลักษณ์” จะต้องอยู่ในบทบาท “ผู้เลือก” มากกว่า “ถูกเลือก” !!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น