--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ธาริต.จัดแบบไม่มีกั๊ก’ มาร์ค-เทือก กระอักเลือด 98 ศพ !!?

รายงานตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน กำลังได้รับการตรวจสอบซ้ำจากกลุ่มพลังอีกหลายกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ย่อมวิพากษ์อย่าง มีอารมณ์ไม่พอใจกับความเห็นเชิงความจริงของ คอป. ที่มีสีสันแบบให้ร้าย พร้อมๆ กับมีความเห็นออกไปแนวให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์ นักวิชาการ และภาคประชาชนอีกหลายกลุ่ม ล้วนตรวจสอบและพุ่งเป้าแบบ ประชดประชันและใช้วาทะแรงๆ ว่า รายงาน คอป.เป็นใบอนุญาตให้ฆ่าคน

นั่นเป็น “ดับเบิลตรวจสอบ” เพื่อให้ได้ความจริงที่กระจ่าง และอย่างเที่ยงตรง ชัดเจนมากที่สุด ถึงที่สุดแล้วการตรวจสอบพร้อมกับวิพากษ์กลับมีเป้าหมาย ลึกๆ อยู่ที่ต้องการ “ปัด” ความเห็นในเชิงประเด็นทางการเมืองออกไปให้มากเพราะความจริงเชิง “ปัญหาทาง การเมือง” ของรายงาน คอป.มีข้อสรุปความรุนแรงวางน้ำหนักไว้ที่ต้นเหตุปัญหา เกิดจาก “ชายชุดดำ” ที่ปะปนอยู่กับผู้ชุมนุม ทางการเมืองเป็น “กลุ่มกระทำการ” ให้เกิดความตาย 98 ศพ และบาดเจ็บอีกมากกว่า 2,000 คน

- ความเห็นที่ถูกปั่นให้เป็น “ความจริง”

ข้อสรุปของ คอป.สอดคล้องกันชนิดบรรทัดต่อบรรทัดกับชุดข้อมูลบ่งชี้ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้อย่างมากที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับ “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)” ที่ออกคำสั่งให้สลายการชุมนุมของ นปช. หนำซ้ำยังเป็นข้อสรุปที่ตรงกับคำให้การในชั้นศาลของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด (ไก่อู) โฆษกกองทัพบก ที่ยืนยันว่า ชายชุดดำเป็นผู้ก่อความรุนแรงขึ้น

บัดนี้ “ชายชุดดำ” และ “ความตาย 98 ศพ” กลับฟื้นขึ้นมามีชีวิตตามจินตนาการของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ศอฉ. ซึ่งจัดตั้ง ขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 ตามอำนาจ ใน พ.ร.ก.การบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินปี 2548 เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการชุมนุมของ นปช. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เป็นกรรมการรวมอยู่ใน ศอฉ.ด้วย และตามกติกามารยาทต้องรับผิดชอบทุกการกระทำอันเป็นผลงานของ ศอฉ. ด้วยทุกกรณี

ผลงานที่โดดเด่นของ ศอฉ. คือ ออก คำสั่งให้กองกำลังทหารเข้า “กระชับพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” เพื่อกดดันให้ นปช. สลายการชุมนุมเมื่อเมษายนและพฤษภาคม 2553 แต่ด้วยภาษาอันไพเราะนั้น กลับเต็ม ไปด้วยใจเหี้ยมโหด ชอบความรุนแรง จึงใช้อาวุธสงครามมาจัดการผู้ชุมนุมทาง การเมือง และมีความตาย “98 ศพ” บาดเจ็บมากกว่า 2,000 คน ตามมา

หากทหารแบกปืน ไม่ยิงปืนแล้วความตาย 98 ศพ เกิดจากอะไรกัน ในส่วน นี้ คอป. ศอฉ.และนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ ตอกย้ำชุดความเห็นที่ค่อนไปทางความเชื่อว่า เป็นการกระทำของชายชุดดำ กระทั่ง “ความเห็น” ในปฏิบัติการของชายชุดดำ ได้ถูกแปรรูปให้เป็น “ความจริง” ที่บรรจุในรายงาน คอป.

- ดีเอสไอ เชื่อศาล-เจ้าหน้าที่ฆ่า

ดีเอสไอ หน่วยงานที่ “ธาริต” บังคับบัญชาอยู่รับผิดชอบคดีคนตาย 98 ศพ เขา พิจารณาบาดแผลที่เกิดจากวิถีความรุนแรง ของอาวุธสงคราม ทำให้เขาเชื่อว่า เป็นความตายที่มาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐความเชื่อของ “ธาริต” แตกต่างจากข้อสรุปของ คอป. ไม่ตรงกับข้อมูลของ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ พ.อ.สรรเสริญ และ พวก ศอฉ.

ดังนั้น ความเชื่อของ “ธาริต” จึงเป็นชุดข้อมูลการตรวจสอบแบบดับเบิลตรวจสอบ ที่น่ารับฟังอย่างใส่ใจสิ่งสำคัญคือ ธาริตมีความเชื่อบนฐานข้อมูลที่ตรงกันกับคำวินิจฉัยของศาลอาญาที่ไต่สวนการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง ชาวจ.ยโสธร อาชีพขับรถแท็กซี่ ผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช. ว่า ตายจากการกระทำ ของเจ้าหน้าที่รัฐ

สาเหตุการตายของนายพัน เป็นข้อยุติในกระบวนการยุติธรรม แต่ความตาย 98 ศพของ คอป.ยังพร่ามัวผสมส่วน กับจินตนาการบรรจงสร้างขึ้น ไม่เป็นข้อยุติ นายพัน เป็นศพหนึ่งในจำนวน 98 ศพ ที่มาร่วมชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้อง ให้นายอภิสิทธิ์ใชอำนาจนายกรัฐมนตรียุบสภาเพื่อยุติความขัดแย้งในสังคมการเรียกร้องตามครรลองประชาธิปไตย กลับได้รับความตายที่ศาลอาญาวินิจฉัยว่า มาจากเจ้าหน้าที่กระทำ นั่นเท่ากับโยงไปถึงเจ้าหน้าที่ผู้ถืออาวุธสงครามออกมาปฏิบัติงานตามคำสั่งของ ศอฉ. และเป็น ศอฉ.ที่มีนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเด่นชัด ด้วยเหตุนี้ ความตายของนายพันจึง เท่ากับทำให้นายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพต้อง มีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย

นายธาริตกล่าวว่า ความตายเพียงหนึ่งศพของนายพัน ย่อมเพียงพอกับการตั้งข้อหาดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์กับ นายสุเทพเพื่อให้ศาลวินิจฉัยเป็นข้อยุติ นั่นเท่ากับเป็นปฐมบทของเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภา อำมหิต” ที่กำลังจะเริ่มต้นกลายเป็นคดีอาญา “ฆาตกรรม” กับผู้ต้องหาที่ชื่อ ศอฉ. แล้วการตอบโต้ชนิดกล่าวหา “ธาริต” ให้เสียผู้เสียคน และเลยเถิดไปสู่ “คนเปลี่ยน สี” ทำงานตามใบสั่งทางการเมืองจึงเกิดขึ้น

แน่ละ การเมืองเพื่อความได้เปรียบ และต้องการเป็นผู้ชนะมากกว่าแพ้ ย่อมทำ ได้ทุกอย่าง แม้แต่กล่าวหาและทำให้คนเปลี่ยนสี เลือกข้างก็ยังได้

- “ธาริต” จัดให้ไม่มีกั๊ก

ธาริต เคยให้สัมภาษณ์ “สยามธุรกิจ” ชนิดที่ไม่เคยพูดที่ไหนว่า เขาไม่เคยเปลี่ยน สี เพราะสีของเขาคือ สีข้าราชการ แน่ละ “ข้าราชการ” ย่อมมีสีมีศักดิ์ มีหน้าที่ มีผู้บังคับบัญชา มีชุดอุดมการณ์ในการปฏิบัติงานเฉพาะ ยากที่คนทั่วไปจะ เข้าใจ “นิสัยเถรตรง” ของนายธาริตในคราบของสีข้าราชการที่ไม่เคยเปลี่ยนได้ถึงแก่นนัก

สีข้าราชการของ “ธาริต” อยู่ในตัว เขามาตลอดในยามทำหน้าที่ให้ “ความเป็นธรรม” กับประชาชน แม้การเมืองเปลี่ยนสี พลัดกลุ่มอำนาจ เลือกข้างแบ่งฝ่ายเข้ามาเป็นรัฐบาล ธาริตก็ยังเป็นข้าราชการทำหน้าที่ตามสีเดิม คือ ยังคุม หน่วยงาน ดีเอสไอ

อันที่จริงแล้ว ทั้งพรรคเพื่อไทย (ยุค พรรคไทยรักไทย) และพรรคประชาธิปัตย์ ล้วนมีส่วนทำให้หน้าที่การงานของธาริตเติบใหญ่ในดีเอสไอทั้งสิ้น ธาริต มีชื่อเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทย รักไทยในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมีบทบาทให้ช่วยราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี ทำงานกับน.พ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองนายกรัฐมนตรี และเคยเป็น คณะที่ปรึกษาของนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อีกด้วย ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เขาถูกโอนมาเป็นรองอธิบดี ดีเอสไอ และได้เป็น “อธิบดี” ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์แต่งตั้ง

แต่เมื่อธาริตทำหน้าที่ในสีของข้าราชการแล้ว ทั้งนักการเมืองในซีกประชาธิปัตย์และฝ่ายเพื่อไทยล้วนถูกเขาเล่นงาน แบบไม่เลือกที่รักมักที่ชังทั้งสิ้น ในยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ธาริต ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายกับแกนนำ นปช. ต้องติดคุกนานหลายเดือน และข้อหา ก็ยังอยู่ระหว่างการไต่สวนในปัจจุบัน ในยุคพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ธาริตยังอยู่ดีเอสไอแบบมีความสุข รับคดี 98 ศพ มาสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำการอันเหี้ยมในชั้นศาล เขาเรียก นายอภิสิทธิ์, นายสุเทพ, พ.อ.สรรเสริญ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับ ศอฉ. มาสอบสวนอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาไม่ต่ำกว่าคนละ 10 ชั่วโมงทุกอย่างที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ธาริต ดำเนินการมาเป็นขั้นตอนหมด แล้ว เมื่อศาลอาญาวินิจฉัยความตายของ นายพัน จึงเท่ากับเริ่มตั้งธงให้เขาเดินหน้า ตั้งข้อหาดำเนินคดีกับ ศอฉ. และผู้เกี่ยวข้องนั่นคือ คิวบังคับไปถึงนายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพในฐานะ “ผู้ต้องหา” ที่ธาริต กำลังเดินหน้านำตัวไปขึ้นศาลไต่สวน ลงโทษสังเวยความตาย 98 ศพ
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น