ใต้ภาวการณ์ที่แผ่ซ่านไปด้วยความอึมครึมทางการเมือง
ที่แม้ด้วย “เงื่อนไขเวลา” จะทำให้ เกมพาวเวอร์เพลย์ในกระดาน ถูก “เว้นวรรค”
เป็นการชั่วคราว ทว่ายังคงมี “หนังตัวอย่าง” อันเป็น
ฉากรุกไล่กันอย่างเข้มข้นระหว่าง 2 ขั้วการเมือง ที่ต่างฝ่ายได้ยกเอา “วิวาทะ”
มาบดขยี้กันผ่านเวที “นอกสภา” เพื่อเรียกน้ำย่อยก่อน
ศึกซักฟอกรัฐบาลจะรูดม่านขึ้นในอีกไม่ช้านาน เอาแค่เฉพาะ “โครงการจำนำข้าวเปลือก” ที่ทัพฝ่ายค้านออกมาปูด! ก็ได้สร้างความหวั่นไหวให้แก่รัฐบาลอย่างรุนแรง ผสานเข้าจังหวะไปกับ “แรงกดดัน” จากแนวร่วม “ชนชั้นกลาง” ที่ออกมาร่วม กันถล่มรัฐบาลแบบรายวัน ภายใต้ “รหัสการเมือง” ที่คลุกเคล้าไปด้วยเงื่อนปมทุจริต ต่อเนื่องมาจากนโยบายประชานิยม ยั่งยืน เหล่านี้เป็นผลให้รัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก้าวขาไปสู่ “คิลลิ่งโซน” และมี แนวโน้มสูงยิ่งว่า “สงครามการเมืองรอบ ใหม่” จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ?! แน่นอนว่า “ฝ่ายรัฐบาล” ทั้งที่มี “ความได้เปรียบ” เหนือล้ำกว่า “ฝ่ายตรง ข้าม” อยู่หลายกระบวนท่า ไม่ว่าจะ “เสียงข้างมากในสภา” หรือ “อำนาจรัฐ” ที่เกาะกุมไว้ในมือ แต่กลับมิอาจขยับ... เข้าใกล้ “เป้าหมาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปมแก้รัฐธรรมนูญปี 50 “ฉบับหน้าแหลมฟันดำ” ที่ลากยาวออกไปแบบไร้กำหนด หรือกระทั่งแผน “อุ้ม..” ทักษิณกลับบ้าน!! ผ่านโมเดลปรองดองแห่งชาติ ก็ยังดูเป็นเรื่องที่ห่างไกล ขณะเดียวกัน ยังคงมี “ภารกิจเร่งด่วน” สำหรับการขับเคลื่อน “นโยบายรัฐ” ที่นายกฯ ปู และทีมเสนาบดี ต้องแหวกฝ่า แนวต้านนี้ไปให้ได้ ท่ามกลางการติดตามและตรวจสอบอย่างถึงลูกถึงคน โดยเฉพาะ ขั้ว “ฝ่ายค้าน” ตลอดจน “กลไกสภาสูง” ที่กำลังโฟกัส ขยายปมทุจริตและความล้มเหลวจากนโยบายรัฐบาลเป็นสำคัญ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง บางเงื่อนประเด็นยังถูกร้องไปยังองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เพื่อตรวจสอบและเช็กบิล! ในการกระทำของ “ฝ่ายอำนาจรัฐ” ว่าขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่... เหล่านี้ย่อมส่งผลให้หลายนโยบายมีอันต้อง หยุดชะงัก เพี่อรอความชัดเจนว่า “รัฐบาล” จะไม่พลาดพลั้งต่อ “กลไกองค์กรอิสระ” แบบซ้ำซาก เช่นเดียวกับการปรับโฉม “ผู้นำ” และทีมบริหารพรรคเพื่อไทย ที่มีกรอบในระยะเวลา 30 วัน ซึ่งดูเหมือนว่าเวลาที่เหลืออยู่นี้ ได้ล้อไปกับ “จังหวะ” ของการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นใน “ครม.ยิ่งลักษณ์ 3” หลังจากที่ “นายกฯ หญิง” ไม่อาจ “ยื้อ” ได้อีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ล้วนสื่อเป็น “นัยยะทางการเมือง” ที่นับจากนี้ไปทั้ง “นายใหญ่” และ “นายหญิง” จะต้อง “เลือก” ใช้กลยุทธ์ “ประคองรัฐบาล” ให้อยู่ครบเทอม หรือไม่ก็ถึงเวลาเปิดฉากรุกไล่ฝ่ายตรงข้าม ด้วยการส่งสัญญาณเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ หากพิจารณาเงื่อนเวลาแห่งการปรับ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 3” แล้ว จังหวะที่เหมาะสมที่สุดน่าจะอยู่ในช่วงหลังเสร็จศึก “ซักฟอกรัฐบาล” เพราะหาก “ยิ่งลักษณ์” เร่งรีบปรับ ครม.ก่อนเดือนพฤศจิกายน ก็จะ “เปิดแผล” ให้ถูกรุมถล่มว่าเป็นการปรับ ครม.เพื่อหลีกหนีญัตติซักฟอกของฝ่ายค้านได้ กระนั้นแล้ว “เวทีซักฟอก” ยังถือเป็นโอกาสเหมาะสมที่ “ยิ่งลักษณ์” จะประเมินการทำงานของ “รัฐมนตรี” ที่อยู่ในข่ายถูกปรับออก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการขยับปรับแผง “ครม.ชุด 3” เปิดทางให้ “ขาใหญ่แห่งบ้าน 111” ก้าวเข้ามาเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ช่วยประคอง รัฐบาลในขวบปีที่ 2 นับจากนี้ ...!!! หากว่ากันถึงความล่าช้าในการรื้อโผ ครม. ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นสมัยรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” หากมีขึ้นตั้งแต่รัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” เป็นต้นมา ทั้งนี้เพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงด้วยปัจจัยหลายด้าน นั่นคือตัว “ผู้นำตัวจริง” ไม่ได้เข้ามากุมอำนาจรัฐด้วยตนเอง ต้องอาศัยบุคคลอื่นเข้ามาเป็น “นอมินี” จึงจำเป็นต้องเปลี่ยน “เงื่อนไข” บางประการ เพราะการจัดวาง ตำแหน่งทางการเมืองด้วยการใช้บัญชี 3 ชุดของ “ทักษิณ” เป็นอันนำมาใช้ไม่ได้... เนื่องจากต้องให้สิทธิ “นายกรัฐมนตรี” ทำบัญชีของตนเองอีก 1 ชุด ทั้งนี้ บัญชี 3 ชุดของ “ทักษิณ” ย่อมแก้ปัญหาการ “ชิงตำแหน่งการเมือง” ได้ดีพอสมควร โดยใช้เป็นสัญญาณสับหลีกมุ้งค่ายการเมืองหลากหลายในพรรคเพื่อไทยอย่างได้ผล แต่ถึงกระนั้นบัญชีทั้ง 3 ชุดนี้ ก็สร้างความชำรุดสึกหรอ...แก่นักการเมืองรวดเร็วเกินไปมีบทเรียนมาแล้ว ในยุคที่ “ทักษิณ” ยังเรืองอำนาจ หรือในยุคต่อๆ มา ที่มี “ตัวตายตัวแทน” เข้ามาเป็น “ผู้นำประเทศ” ระหว่างนั้นได้มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีเกิด ขึ้นทุก 3-6 เดือน สลับตำแหน่งกันจนเป็น กิจวัตร ซึ่ง “ข้อเสีย” ในการจัดทำ “โผ ครม.” มากถึง 3 บัญชีนี้ ได้ทำให้เหล่านักการเมืองที่ก้าวขึ้นไปถึงระดับ “รัฐมนตรี” แล้วถูกปรับออกอย่างรวดเร็ว ได้ทำตัวเป็น “คลื่นใต้น้ำ” ก่อตัวขึ้นภายใน “พรรค” แค่นั้นไม่พอ ยังไปดึงเอา “ดีเพรสชั่นลูกใหญ่” จากการก่อตัวขึ้นภายนอก มาพัดถล่ม “นาย ใหญ่” ในที่สุด ต่อจากยุค “สมัคร” ตำแหน่งนายกฯ ก็ไปออกที่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ผู้เป็นน้องเขยทักษิณ ซึ่งคราวนี้ “นายกฯ สมชาย” ใช้บัญชีเดียวและเป็น ครม.ชุดเดียวที่ไม่เคยเข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาล ดังนั้น “รัฐบาลสมชาย” จึงอายุสั้นเกินกว่าจะปรับ ครม.ได้หลายบัญชี เนื่องจากถูก “คณะตุลาการภิวัฒน์” ปิดบัญชีไป อย่างรวดเร็ว จนล่วงมาถึง “รัฐบาลปูแดง” ที่ยังใช้วิธีการเดียวกับ “โมเดลทักษิณ” แต่เนื่องจากจำนวนนักการเมือง มีตัวเลือกที่เหมาะสมที่จะก้าวเป็น “รัฐมนตรี” ได้มีอยู่น้อย รวมกันแล้วได้ไม่ถึง 1 บัญชีด้วยซ้ำไป ฉะนั้นการจัดตั้งรัฐบาลและปรับ ครม. เท่าที่ผ่านมา จึงสะดวกสบายมากที่สุด พวกไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ไม่เสียใจมากนัก เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็น ส.ส.สมัยแรกแทบทั้งนั้น แต่เมื่อรัฐบาลก้าวผ่านหนึ่งขวบปีแรก สอดรับกับปรากฏการณ์ “พฤษภาป่าช้าแตก” ซึ่งมีประชากรบ้าน 111 พากันหลุดออกมาจาก “คุกการเมือง” ก็เป็น สาเหตุสำคัญของความล่าช้าในการปรับแผง ครม.ชุดใหม่ เพราะมี “เงื่อนไข” และ “ตัวเลือก” ที่มากขึ้น ทำให้ตัดสินใจได้ยากยิ่ง หากตัดสินใจผิดพลาดก็คงเกิดแรง กระเพื่อมอย่างรุนแรงขึ้นภายในพรรคเพื่อไทย เปิดโฉนดโผ ครม. “บัญชีแรก” ซึ่งถือเป็นบัญชีของ “พี่ชายใหญ่” และในโคว ตาของ “พี่สาว” และเครือญาติ ที่กำชับ ฝากฝัง ส.ส.ในสังกัด ให้เข้าไปเป็นรัฐมนตรี โดยวางเงื่อนไขเจาะจงเป็นรายกระทรวงเลยทีเดียว นอกจากนั้น ยังกำหนดจำนวน รัฐมนตรีไว้ด้วย ซึ่งนับว่า “บัญชีลำดับที่ 1” ได้สร้างปัญหาและความลำบากใจให้กับ “ยิ่งลักษณ์” เป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่าบัญชีนี้ได้ลัดคิวจนบัญชีอื่นหลุดโผมาแล้วถึง 2 ครั้ง ส่วน “บัญชีที่ 2” คือบัญชีของ “ยิ่งลักษณ์” ที่จะเลือกคนที่ตัวเอง “ไว้วางใจ” ให้เข้ามาอยู่ข้างกาย ซึ่งบัญชีนี้ นับวันจะเพิ่มจำนวนรัฐมนตรีมากยิ่งขึ้น แม้แต่รัฐมนตรี เก่าก็พยายามเบียดตัวเข้าบัญชีนี้ให้ได้ เพื่อหา “หลักประกัน” จากการถูกปรับออกไว้ ก่อน ส่วนคนที่ไม่เป็น “เป้า” ถูกปลดออก ก็อาจขยับไปกินตำแหน่งในกระทรวงที่เกรด สูงกว่า ฉะนั้นการเข้าสังกัด “บัญชีปูแดง” จึงมีแต่ได้...ไม่มีเสีย ต่อมาเป็น “บัญชีเสื้อแดง” ซึ่งเป็น การปูนบำเหน็จให้แก่เหล่าแกนนำ นปช. ซึ่งถือเป็น “บัญชีที่ 3” ส่วนเรื่องจำนวนรัฐมนตรีในบัญชีนี้ คงไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ว่าจะปลดออกและแต่งตั้งเข้า ก็ไม่ควรน้อย กว่า 2 ตำแหน่ง โดยไม่เกี่ยงกระทรวงขอเพียงให้ “พรรคเพื่อไทย” ไม่บิดพลิ้ว และปฏิบัติตามสัญญาก็ถือว่าเพียงพอแล้ว!! ลำดับสุดท้าย คือ “บัญชีบ้านเลขที่ 111” โดยนักการเมืองตามบัญชีนี้ ถือว่าแต่งตั้งยากที่สุด เพราะหาตำแหน่งเหมาะสมกับความสามารถและประสบการณ์ ที่ต่างหมายมั่นจะนั่งในกระทรวงใหญ่เท่านั้น แถมยังถูกต่อต้านอย่างหนักจากนักการเมืองใน 3 บัญชีก่อนนี้ เพราะหากปล่อยให้ “คนบ้าน 111” เข้ามาร่วม ครม. นอกจากจะได้นั่งกระทรวงใหญ่แล้ว ยังเป็นตัวเปรียบ เทียบกับรัฐมนตรีมือใหม่หัดขับอย่างเห็นชัดเหนืออื่นใดเหล่านักการเมืองบ้าน 111 ล้วนเป็นกลุ่มการเมืองที่มีกำลังภายในมากพอสมควร จึงสร้างความเกรงใจให้กับ “ผู้มาก บารมี” และขาใหญ่ในพรรคได้อยู่มิใช่น้อย จากบัญชีทั้ง 4 นี้...คาดเดาได้ว่า “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 3” น่าจะประกอบด้วย รัฐมนตรีจากทั้ง 4 บัญชี สัดส่วนแต่ละบัญชีจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องตามดูต่อไป ยาวๆ ซึ่งคุณภาพของ “ครม.ชุดใหม่” ก็ดู ได้จากสัดส่วนรัฐมนตรีนั่นเอง หากมีโควตา เด็กฝาก-เด็กวิ่งที่ครบเกณฑ์ มากกว่านักการเมืองที่มีฝีมือแล้ว คงไม่แตกต่างไปจาก รัฐบาลชุด 1 และชุด 2 หากเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่า “รัฐบาล” มีความประมาทต่อสถานการณ์ในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มที่มีความแหลมคม และซับซ้อนมากขึ้นอีกหลายเท่าทวี ในขณะที่รัฐบาลด้อยคุณภาพลง การต่อสู้ด้วย “ผลงานรัฐบาล” ซึ่งเป็นรูปธรรมในสงคราม การเมืองในสภา ที่ว่ากันด้วย “วิวาทะ” ในการอภิปรายตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งหากผลงานไม่ดี ถึงจะมี “ไม้กันสุนัข” ขั้นเทพ อย่าง “เจ้าของบ้านริมคลอง” ก็คงจะรับ มือฝ่ายค้านได้ยากเต็มกลืน ทั้งหมดทั้งปวง ล้วนเป็นสิ่งที่ “ผู้กำรีโมตตัวจริง” ต้องรีบเปลี่ยนท่าที แล้วหันมาคิดคำนวณใหม่ให้รอบด้าน ก่อนตัดสินใจ “ส่งสัญญาณ” ใดๆ ออกไป เพราะ สถานการณ์ในห้วงเวลานี้ “ฝ่ายกุมอำนาจรัฐ” คงรอเวลาที่สุกงอม เพื่อช่วงชิงจังหวะรุก-ไล่ทั้งในและนอกสภา เพื่อเอาตัวรอดไปให้ได้ ก่อนคิดจะทิ้งหมากตัวเดียว... กินรวบทั้งกระดาน ซึ่ง “นายใหญ่-นายหญิง” หวังให้เป็นช็อกการเมืองในภาคต่อ “ข้อความ” จาก “คนแดนไกล” ซึ่งแว่วมาว่า...เวลานี้พรรคเพื่อไทยยัง “เปราะบาง” และไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่มาก และไม่อาจวางใจได้ จึงต้องมี “ผู้เสียสละ” และ “ผู้ปลดชนวน” กันอีกหลายครั้ง!! ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนแต่เป็น “คีย์เวิร์ด” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงทางการเมือง และสิ่งที่รัฐบาลเคยเผชิญหน้า เหนืออื่นใดคงต้องดิ้นให้หลุดจาก “กับดักทาง การเมือง” ที่ถูกวางล่อเอาไว้ ตลอดจนปมปัญหาที่เกิดขึ้นจาก “นโยบายประชานิยมแห่งรัฐ” มีตัวอย่างให้เห็นกันไปแล้ว กรณีการไขก๊อก! ของ “ขุนพลหัวขาว” ยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตผู้นำพรรคเพื่อไทย ที่ถูกตัดตอนจากทุกตำแหน่งทางการเมือง เพื่อมิให้เกิดความสุ่มเสี่ยงขึ้นในมุ้งค่ายเพื่อไทย ที่อาจบานปลายเป็น “ภาวะแทรกซ้อน” จนลามไปถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่น่าแปลกใจที่จะพบว่า แม้การเปลี่ยน แปลงทางการเมืองจะเกิดขึ้นหลากหลายเหตุการณ์ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็ยังไร้ซึ่งท่าทีหรือแนวโน้ม ที่บ่งชี้ได้ว่า “ผู้มากบารมีในรัฐบาล” จะกล้าตัดสินใจ “เล่น เกมแรง” ในเร็ววันนี้...หรือไม่?!! ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ |
วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ฝ่าวิกฤติ:หลังพิงฝา ยกเครื่องทีมเสนาบดี เขย่าบัญชี ครม.ปู - 3 !!?
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น