ถ้าจะให้ผมดีเบต ผมว่าผมรอคุณทักษิณกลับมาแล้วก็มาสู้กันในกระบวนการยุติธรรม
แล้วก็ดีเบตดีกว่า...”
ปฏิเสธคำท้านิ่มๆ ปนจิกกัดนิดๆตามสไตล์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ขอจับคู่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขึ้นเวทีดีเบตเรื่องชายชุดดำกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ 2 แกนนำคนเสื้อแดง ออกทีวี.ให้ประชาชนตัดสิน
นอกจากไม่รับคำท้าดีเบตออกทีวี. ยังกวักมือเหยงๆเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้กลับมาแจ้งความดำเนินคดีด้วยตัวเอง หากว่าการปราศรัยเรื่องชายชุดดำเข้าข่ายหมิ่นประมาท
“...ก็กลับมาแจ้งความด้วยตัวเองสิครับ แน่จริงกลับมาสิครับ เอาอย่างนั้นดีกว่า…”
ท้าทายกันอยู่ในที
และไม่วายที่จะยกหมายจับอดีตนายกฯมาดิสเครดิตกลับ
ผมว่าอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเกิดมีการมอบอำนาจมาก็ขอให้บอกหลักแหล่งของคนที่จะแจ้งความด้วย แล้วคราวนี้ผมจะให้ตำรวจไปสอบคุณทักษิณถึงที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน พร้อมกับหมายจับ ผมว่าถ้าแจ้งปั๊บผมจะถามตำรวจว่า เอาล่ะ คราวนี้คุณรู้หลักแหล่งของคนที่หนีคดีศาลอยู่ ผมว่าตำรวจก็โอเค อยากจะมาแจ้งความก็ไปตามตัวจับกลับมาเลย แล้วคุณก็จะมาร้องทุกข์กล่าวโทษอะไรใครก็เชิญ…”
เกทับเต็มที่เพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่กลับ หรือหากกลับก็เข้าเงื่อนไขใหม่ที่อาจทำให้อะไรๆผลิกผันไปจากที่เป็นอยู่ได้
ไม่ต่างจากนายสุเทพที่ไม่สนใจขึ้นเวทีดีเบต แต่ขอเดินสายตั้งเวทีปราศรัยไปทั่วประเทศแทน
“…นปช. พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงจนทำให้ประชานเข้าใจผิด เช่น พยายามจะบอกว่าไม่มีกองกำลังผู้ก่อการร้ายชุดดำมาฆ่าเจ้าหน้าที่และประชาชน อย่างนี้เป็นการโกหกที่รับไม่ได้ เพราะคนเห็นกันทั้งประเทศ เลยต้องถือเป็นหน้าที่นำความจริงเหล่านี้ไปบอกให้ประชาชนรู้...”
พวกผมมีเวทีที่จะพูดจาอธิบายข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ จะได้ทำให้ประชาชนที่เคยรับข้อมูลจากรัฐบาลฝ่ายเดียวได้ข้อมูลจากฝ่ายผมบ้าง ประชาชนที่ติดตามข่าวจะได้ชั่งใจได้ ไม่ต้องมานั่งประชันโต้วาทีให้น่ารำคาญเปล่าๆ...”
พูดราวกับว่าที่ผ่านมาไม่ได้บอกอะไรกับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีอำนาจ มีสื่อของรัฐอยู่ในมือ
การไปเปิดเวทีเพื่อเอาความจริงไปบอกประชาชนว่าเกิดอะไรกับบ้านเมือง เพราะไม่ต้องการให้คนชั่วร้ายบิดเบือนข้อเท็จจริงจนคนสับสนเท่านั้น ไม่ได้คิดโค่นล้มรัฐบาล พูดบนเวทีทุกครั้งไม่มีการโจมตีรัฐบาล
ส่วนจะกลายเป็นความขัดแย้งในอนาคตได้หรือไม่นั้น ก็อยากจะบอกว่าอย่าไปกลัว อย่ากลัวว่าถ้าฝ่ายผมพูดความจริงจะเกิดบรรยากาศความขัดแย้ง...”
กลับตาลปัตรพลิกผันจากเมื่อครั้งเป็นรัฐบาลที่มักเรียกร้องให้คนเสื้อแดงเลิกเคลื่อนไหว เพราะเกรงว่าจะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้งขึ้นมาอีก
ความจริงเรื่องคนชุดดำ การสลายการชุมนุม การเสียชีวิต 98 ศพ และบาดเจ็บกว่า 2,000 คน
ช่วงเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมาประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารมากพอที่จะคิดและตัดสินใจได้แล้วว่าควร “เชื่อใคร”
การเดินสายปราศรัยหากจะยอมรับความเป็นจริง ไม่ว่าฝ่ายใดตั้งเวที ก็จะมีแต่เฉพาะคนที่สนับสนุนฝ่ายนั้นไปนั่งฟัง ไปร่วมกิจกรรม
ไม่มีคนอีกฝั่งไปนั่งฟังการปราศรัยของคนอีกฝ่าย
พูดให้ตายข้อมูลก็วนเวียนอยู่ที่เดิม สัญญาณของข้อมูลก็ส่งไปไกลได้เท่าเดิม ไม่อาจตีกินข้ามไปอีกฟากฝั่งได้
การโหมเคลื่อนไหวเรื่องชายชุดดำในช่วงที่ใกล้จะมีการตั้งข้อกล่าวหากับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ จะมีนัยทางการเมืองอะไรหรือไม่
หวังผลที่แท้จริงเป็นประการใด มีแต่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเท่านั้นที่รู้
เวลากว่า 2 ปีที่พูดเรื่องชายชุดดำยังไม่อาจหาข้อสรุปได้ และไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วบทสรุปเรื่องชายชุดดำจะลงเอยแบบใด
แต่บทสรุปในใจของคนทั่วไปที่ไม่ต้องเสียเวลาตามหา เพราะวันนี้ทุกคนรู้แล้วว่าใครคือ “ชายใจดำ”
แม้แต่คำขอโทษเพียงแผ่วเบาสักคำก็ยังไม่เคยได้ยิน
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ปฏิเสธคำท้านิ่มๆ ปนจิกกัดนิดๆตามสไตล์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ขอจับคู่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขึ้นเวทีดีเบตเรื่องชายชุดดำกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ 2 แกนนำคนเสื้อแดง ออกทีวี.ให้ประชาชนตัดสิน
นอกจากไม่รับคำท้าดีเบตออกทีวี. ยังกวักมือเหยงๆเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้กลับมาแจ้งความดำเนินคดีด้วยตัวเอง หากว่าการปราศรัยเรื่องชายชุดดำเข้าข่ายหมิ่นประมาท
“...ก็กลับมาแจ้งความด้วยตัวเองสิครับ แน่จริงกลับมาสิครับ เอาอย่างนั้นดีกว่า…”
ท้าทายกันอยู่ในที
และไม่วายที่จะยกหมายจับอดีตนายกฯมาดิสเครดิตกลับ
ผมว่าอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเกิดมีการมอบอำนาจมาก็ขอให้บอกหลักแหล่งของคนที่จะแจ้งความด้วย แล้วคราวนี้ผมจะให้ตำรวจไปสอบคุณทักษิณถึงที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน พร้อมกับหมายจับ ผมว่าถ้าแจ้งปั๊บผมจะถามตำรวจว่า เอาล่ะ คราวนี้คุณรู้หลักแหล่งของคนที่หนีคดีศาลอยู่ ผมว่าตำรวจก็โอเค อยากจะมาแจ้งความก็ไปตามตัวจับกลับมาเลย แล้วคุณก็จะมาร้องทุกข์กล่าวโทษอะไรใครก็เชิญ…”
เกทับเต็มที่เพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่กลับ หรือหากกลับก็เข้าเงื่อนไขใหม่ที่อาจทำให้อะไรๆผลิกผันไปจากที่เป็นอยู่ได้
ไม่ต่างจากนายสุเทพที่ไม่สนใจขึ้นเวทีดีเบต แต่ขอเดินสายตั้งเวทีปราศรัยไปทั่วประเทศแทน
“…นปช. พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงจนทำให้ประชานเข้าใจผิด เช่น พยายามจะบอกว่าไม่มีกองกำลังผู้ก่อการร้ายชุดดำมาฆ่าเจ้าหน้าที่และประชาชน อย่างนี้เป็นการโกหกที่รับไม่ได้ เพราะคนเห็นกันทั้งประเทศ เลยต้องถือเป็นหน้าที่นำความจริงเหล่านี้ไปบอกให้ประชาชนรู้...”
พวกผมมีเวทีที่จะพูดจาอธิบายข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ จะได้ทำให้ประชาชนที่เคยรับข้อมูลจากรัฐบาลฝ่ายเดียวได้ข้อมูลจากฝ่ายผมบ้าง ประชาชนที่ติดตามข่าวจะได้ชั่งใจได้ ไม่ต้องมานั่งประชันโต้วาทีให้น่ารำคาญเปล่าๆ...”
พูดราวกับว่าที่ผ่านมาไม่ได้บอกอะไรกับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีอำนาจ มีสื่อของรัฐอยู่ในมือ
การไปเปิดเวทีเพื่อเอาความจริงไปบอกประชาชนว่าเกิดอะไรกับบ้านเมือง เพราะไม่ต้องการให้คนชั่วร้ายบิดเบือนข้อเท็จจริงจนคนสับสนเท่านั้น ไม่ได้คิดโค่นล้มรัฐบาล พูดบนเวทีทุกครั้งไม่มีการโจมตีรัฐบาล
ส่วนจะกลายเป็นความขัดแย้งในอนาคตได้หรือไม่นั้น ก็อยากจะบอกว่าอย่าไปกลัว อย่ากลัวว่าถ้าฝ่ายผมพูดความจริงจะเกิดบรรยากาศความขัดแย้ง...”
กลับตาลปัตรพลิกผันจากเมื่อครั้งเป็นรัฐบาลที่มักเรียกร้องให้คนเสื้อแดงเลิกเคลื่อนไหว เพราะเกรงว่าจะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้งขึ้นมาอีก
ความจริงเรื่องคนชุดดำ การสลายการชุมนุม การเสียชีวิต 98 ศพ และบาดเจ็บกว่า 2,000 คน
ช่วงเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมาประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารมากพอที่จะคิดและตัดสินใจได้แล้วว่าควร “เชื่อใคร”
การเดินสายปราศรัยหากจะยอมรับความเป็นจริง ไม่ว่าฝ่ายใดตั้งเวที ก็จะมีแต่เฉพาะคนที่สนับสนุนฝ่ายนั้นไปนั่งฟัง ไปร่วมกิจกรรม
ไม่มีคนอีกฝั่งไปนั่งฟังการปราศรัยของคนอีกฝ่าย
พูดให้ตายข้อมูลก็วนเวียนอยู่ที่เดิม สัญญาณของข้อมูลก็ส่งไปไกลได้เท่าเดิม ไม่อาจตีกินข้ามไปอีกฟากฝั่งได้
การโหมเคลื่อนไหวเรื่องชายชุดดำในช่วงที่ใกล้จะมีการตั้งข้อกล่าวหากับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ จะมีนัยทางการเมืองอะไรหรือไม่
หวังผลที่แท้จริงเป็นประการใด มีแต่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเท่านั้นที่รู้
เวลากว่า 2 ปีที่พูดเรื่องชายชุดดำยังไม่อาจหาข้อสรุปได้ และไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วบทสรุปเรื่องชายชุดดำจะลงเอยแบบใด
แต่บทสรุปในใจของคนทั่วไปที่ไม่ต้องเสียเวลาตามหา เพราะวันนี้ทุกคนรู้แล้วว่าใครคือ “ชายใจดำ”
แม้แต่คำขอโทษเพียงแผ่วเบาสักคำก็ยังไม่เคยได้ยิน
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น