
นายฐานุทัศน์ไม่ใช่คนเสื้อแดง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม แต่โดนยิงเข้าเต็มๆขณะยืนรอรถอยู่แถวบ่อนไก่เพื่อออกไปทำกิจธุระประจำวัน
นอนทรมานรักษาตัวอยู่นานกว่า 2 ปี ก็ต้องจบชีวิตลง
สะท้อนภาพการปฏิบัติการกระชับพื้นที่ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่า “ยิงไม่เลือก”
แม้วันนี้จะมีคนเสียชีวิตถึง 99 คนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆออกมาจากผู้เกี่ยวข้อง ไม่มีแม้คำขอโทษต่อเหยื่อความรุนแรงทั้งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต
ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังมีความพยายามปั้นวาทกรรม “ชายชุดดำ” ขึ้นมาเป็นแพะ เพื่อให้รับผิดชอบต่อความรุนแรงทั้งหมดที่เกิดขึ้น
เมื่อฝ่ายหนึ่งยืนยันว่ามีชายชุดดำออกมาสร้างความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่และประชาชนมือเปล่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงตั้งค่าหัวนำจับรายละ 1 ล้านบาท แม้จะเลี่ยงว่าไม่ใช่รางวัลนำจับชายชุดดำ แต่เป็นรางวัลนำจับคนร้ายที่เกี่ยวข้องกับการสังหาร 7 คดี รวม 12 ศพ ที่ยังหาคนลงมือทำไม่ได้
แต่ในความเข้าใจของสังคมจากคำอธิบายของผู้มีอำนาจในขณะนั้น คนที่ก่อเหตุสังหาร 12 ศพ ก็เป็นชายชุดดำที่พยายามผูกโยงให้เกี่ยวพันถึงแกนนำเสื้อแดงนั่นเอง
เพื่อไขปริศนาเรื่องชายชุดดำให้มีความชัดเจน นายสมหวัง อัสราษี รองประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน จึงประกาศเบิ้ลรางวัลนำจับชายชุดดำให้อีก 1 ล้านบาท
เพิ่มอัดฉีดคนที่ชี้เบาะแสจนสามารถจับชายชุดดำที่สังหาร 12 ศพ เป็นรายละ 2 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวมาว่า จะมีแกนนำเสื้อแดง คนเสื้อแดง สมทบทุนเพิ่มรางวัลนำจับให้มากขึ้นอีกทั้งในรูปของเงินและที่ดิน
เบิ้ลกลับพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังโหมกระแสเรื่องชายชุดดำ นับเป็นครั้งแรกของดีเอสไอที่มีบุคคลภายนอกมาร่วมสมทบทุนจ่ายรางวัลนำจับ
และที่คืบหน้าได้ลุ้นเสียวคือ คดีการเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอก็ขยับเข้าใกล้คนที่สั่งสลายการชุมนุมเข้าไปทุกที
ล่าสุดนายจตุพร พรหมพันธุ์ เปลี่ยนสถานะจากจำเลยที่เคยถูกไล่ต้อนในคดีก่อการร้าย เข้าให้ปากคำกับดีเอสไอในฐานะพยาน
น่าสนใจตรงที่นายจตุพรเสนอให้ดีเอสไอขอภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพรถที่เข้า-ออกกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มาดู
เพื่อหาว่ามีชายชุดดำนั่งรถออกมาจากราบ 11 หรือไม่ เพราะมีคนเคยบอกว่ามีรถตู้ขนชายแต่งชุดดำออกมา แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ออกไปไหน ไปทำอะไร
นอกจากนี้ยังขอให้เชิญทหาร 2 นายมาให้ปากคำ ประกอบด้วยทหารคนที่เขียนแผนประทุษกรรม แผนผังล้มเจ้า และทหารที่ทำหน้าที่รวบรวมคำสั่งของ ศอฉ. ทุกฉบับ
ทหาร 2 คนนี้เป็นกุญแจดอกสำคัญของคดีที่จะมาช่วยไขปริศนาต่างๆให้กระจ่างขึ้นได้
ยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจของนายจตุพรที่ว่า เรื่องชายชุดดำอาจเป็นเพียงการสร้างสถานการณ์ หรือจัดฉากเพื่อเอื้อประโยชน์ในการปฏิบัติการ
เพราะผิดสังเกตตรงที่มีการเผยแพร่ภาพชายชุดดำหลังจากวันที่เกิดเหตุรุนแรงแล้ว 3 วัน ซึ่งเป็นเรื่องผิดปรกติในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนที่หากพบเห็นข้อมูลก็ต้องนำเสนอต่อสาธารณะทันที
คดีความเริ่มกระชับพื้นที่ กระชับวงล้อมเข้าหาคนสั่งการเข้าไปทุกที
ประเด็นเรื่องชายชุดดำ การเสียชีวิต บาดเจ็บของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม เป็นเงื่อนปมหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะอึมครึม ไม่ปลอดโปร่ง
หากคดีนี้ถูกส่งขึ้นศาลได้เร็วเหมือนคดีก่อการร้ายน่าจะช่วยทำให้บรรยากาศอึมครึมคลี่คลายลงไปได้บ้าง
ถึงตอนนั้นใครมีพยานหลักฐานอะไรก็เอาไปสู้กันในชั้นศาล ไม่ต้องออกมาปราศรัย ออกมาตั้งเวทีให้ประชาชนสับสนในข้อมูล
แต่เตือนไว้อย่าง “ความเชื่อ” ไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้
ถึงตอนนั้นคงได้รู้กันว่าเรื่องชายชุดดำเป็นเพียง “ความเชื่อ” ที่เล่าต่อๆกันมา หรือว่ามีที่มาที่ไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการหรือไม่ อย่างไร
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น