--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ขรก.ท้องถินชวดปรับ 15,000 รัฐถังแตก / อบต. เทศบาล ฝุ่นตลบหางบ ฯ พัฒนาพื้นที่ !!?

ข้าราชการส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศรอรับประทานแห้วเงิน 1.5 หมื่น บาท หึ่ง!รัฐบาลไม่มีจ่าย หลังยอดสูงถึง 6,200 ล้านบาท เผยผู้บริหารท้องถิ่น วิ่งเต้นหางบฯลงพื้นที่ ถึงกับ “กลืนเลือด” ยอมจ่าย “แป๊ะเจี๊ยะ” อ้อนรัฐโอนเงินส่วนปรับเพิ่มมาให้ด่วน ขู่คุยไม่รู้เรื่องล้มกระดานทันที ด้านรองอธิบดีกรมส่งเสริมปกครองท้องถิ่นระบุ อปท.เกือบทั่วประเทศใช้จ่ายงบฯประจำเกิน 40% เผยงบปีี56 ท้องถิ่นเล่นกลซุกยอดเงินเพื่อให้ดูเพิ่มขึ้น

ขณะนี้ได้เกิดความวิตกกังวลในหมู่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นและพนักงานจ้างท้องถิ่นทั่วประเทศ กรณีรัฐบาลมีนโยบาย ปรับเพิ่มค่าตอบแทนให้กับข้าราชการ และพนักงาน จำนวน 15,000 บาทในกรณีบุคคลมีวุฒิปริญญาตรี และ 9,000 บาท กรณีวุฒิประกาศนียบัตรชั้นสูง(ปวส.)นั้น แม้ว่าคณะรัฐมนตรี(ครม.)จะมีมติเมื่อวันที่ 4 ก.ย.55 เห็นชอบในหลักการให้จ่ายเงินดังกล่าวได้ แต่ปัจจุบันข้าราชการท้องถิ่นก็ยังไม่ได้รับเงินแม้แต่แห่งเดียว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางเลื่อมใส ใจแจ้ง กรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น(ก.ถ.) กล่าวว่า ก.ถ.มีมติให้มีการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการส่วนท้องถิ่นใหม่แล้ว โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 11 ธ.ค.51 อันเป็นวันเดียวกับที่ข้าราชการพลเรือนมีการเปลี่ยนจากระบบซีไปเป็นระบบแท่งเงินเดือน แต่ก็มีกรรมการ ก.ถ.หลายคนเป็นห่วงว่าจะกระทบกับฐานะการคลังของท้องถิ่น และไม่รู้ว่ารัฐบาลจะนำเงินที่ไหนมาจ่ายชดเชยให้

นายวีรวัฒน์ ภักตรนิกร นายกเทศมนตรีเมืองยโสธร ประธานสันนิบาตเทศบาลภาคอีสาน กล่าวว่า หากรัฐบาลคุยกันไม่รู้เรื่องก็จะล้มกระดานทันที เพราะรับปากมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปัจจุบันท้องถิ่นเดือดร้อนอย่างหนัก จึงอยากให้เข้าใจท้องถิ่นด้วย

ด้านนายศักดิพงศ์ ธรรมอาชวกุล ปลัดเทศบาลตำบลบางงา อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ในฐานะประธานสมาพันธ์ปลัดเทศบาลแห่งประทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีใครได้รับเงินที่รัฐบาลรับปากว่าจะดำเนินการจ่ายให้ โดยเทศบาลตำบลบางงา ก็ทำยอดสรุปส่งไปให้ส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่เรื่องก็เงียบไป ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะหาเงินที่ไหนมาให้ เพราะยอดเงินต่าง ๆ ได้ถูกวางแผนไว้หมดแล้ว่าจะนำไปใช้จ่ายอะไร

“ปัจจุบันผู้บริหารท้องถิ่นหลายแห่งต้องวิ่งเต้นงบประมาณ และก็มีการตกลงกันว่าต้องมีเงินทอน หากรับได้ก็นำงบไปพัฒนาพื้นที่ได้ แต่หากรับไม่ได้ก็ไม่ได้เงินในโครงการดังกล่าว เพราะมีท้องถิ่นอีกหลายแห่งที่สามารถรับเงื่อนไขได้ หากผู้บริหารท้องถิ่นไม่ทำอย่างนั้นก็จะไม่มีเงินมาพัฒนาพื้นที่ ไม่มีผลงาน ชาวบ้านก็จะว่าเอาได้ ดังนั้นจึงขอร้องให้รัฐบาลโอนเงินในส่วนการปรับเพิ่มมาให้ท้องถิ่นด้วย เพราะท้องถิ่นทั่วประเทศรออยู่”นายศักดิพงศ์ กล่าว

ขณะที่นายสมศักดิ์ ปะริสุทโธ เหมทานนท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นให้ข้อมูลในการประชุม ก.ถ.เมื่อวันที่ 18 ต.ค.55 ว่า ปัจจุบันท้องถิ่นใช้จ่ายเงินในหมวดเงินเดือน และรายจ่ายประจำเกินกว่าที่ พ.ร.บ.การบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 กำหนดคือเกินกว่าร้อยละ 40 เกือบทั่วประเทศ มีเพียง 3 จังหวัดที่ไม่เกินนั่นคือ ภูเก็ต ระนอง และระยอง ทำให้กระทบกับฐานการคลังของท้องถิ่นทั่วประเทศ

ทั้งนี้ยอดเงินที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น(สถ.)สำรวจในเบื้องต้นเพื่อจ่ายเงินให้กับท้องถิ่นในกรณีดังกล่าวเป็นเงินทั้งสิ้น 6,200 ล้านบาท ถือเป็นยอดเงินที่สูงมาก ทำให้เป็นภาระแก่รัฐบาลจนเกิดวิตกกังวลว่ารัฐบาลจะนำเงินที่ไหนมาจ่ายให้ สุดท้ายคนท้องถิ่นทั้งเทศบาล และ อบต.กว่า 1 พันคนก็บุกล้อมรัฐบาลเมื่อวันที่ 4 ก.ย.55 ที่ผ่านมา เพื่อกดดันให้รับบาลเร่งจัดสรรเงินยอดดังกล่าวมาให้ท้องถิ่น

สำหรับ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 กำหนดให้รัฐบาลจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลเป็นร้อยละ 27.27 หรือจำนวน 572,670 ล้านบาท โดยเป็นรายได้ของ อปท. ทั้งที่จัดเก็บเองและรัฐบาลจัดเก็บให้และแบ่งให้ จำนวน 336,170 ล้านบาท และจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. จำนวน 236,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ที่ได้รับการจัดสรร 221,091.8 ล้านบาท เป็นจำนวน 15,408.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0

“เมื่อดูผิวเผินแล้ว งบประมาณของท้องถิ่นก็ไม่น่ามีอะไรที่ไม่เป็นธรรม เพราะมีการจัดสรรเพิ่มขึ้นให้ทุกปี เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.การกระจายอำนาจฯ แต่เมื่อพลิกเข้าไปดูรายละเอียดแล้วกลับพบว่า มีการซ่อนซุกตัวเลขไว้ ทำให้มีตัวเลขเหมือนจะมาก แต่เม็ดเงินจริง ๆ แล้วได้ไม่เท่าไหร่”

ทั้งนี้ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ อบจ. เทศบาล และ อบต. นั้น แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.เงินอุดหนุนทั่วไป และ 2. เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โดย เงินอุดหนุนทั่วไป ได้ 104,444.85 ล้านบาท เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ได้114,594.89 ล้านบาท ซึ่งเงินอุดหนุนทั่วไป ยังแบ่งเป็น เงินอุดหนุนตามหน้าที่ 61,635.16 ล้านบาท และเงินอุดหนุนตามภารกิจ 42,809.69 ล้านบาท

โดยเงินอุดหนุนทั่วไป แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 จำนวน 61,635.16 ล้านบาท จัดสรรเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของ อปท. โดยคิดจากค่าใช้จ่ายในการจัดบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของ อปท. สำหรับ ส่วนที่ 2 จำนวน 42,809.69 ล้านบาท จัดสรรเพื่อดาเนินการตามภารกิจถ่ายโอน และการส่งเสริมการจัด เช่นการศึกษา บริการสาธารณสุข อาหารเสริม (นม) อาหารกลางวัน บริหารสนามกีฬา และสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์

ขณะที่เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ จำนวน 114,594.89 ล้านบาท ใช้จ่ายในเรื่องสูบน้ำด้วยไฟฟ้าสถานีสูบน้ำถ่ายโอนบุคลากร และค่ารักษาพยาบาล ทำให้ดูเหมือนว่าท้องถิ่นมีเงินเยอะ แต่ข้อเท็จจริงต้องดำเนินการตามที่รัฐบาลกำหนดวไว้ทุกประการ

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ถอดรหัส : ครม.โฉมใหม่เปลี่ยนแกนอำนาจ บิ๊กเซอร์ไพรส์ ปู 3 !!?

ทุกช็อตความเคลื่อนไหว ในทางการเมือง ณ ห้วงเวลา นี้ ดูเหมือนจะพลุ่งพล่านขึ้นไป ทุกขณะ โดยเฉพาะการปรับคณะรัฐมนตรีชุด 3 ที่ผ่านไป หมาดๆ แม้ก่อนหน้านี้จะยื้อยุด กันอยู่พักใหญ่ ด้วยเงื่อนไข ที่ต้องรอให้ผ่านศึกอภิปราย ไม่ไว้วางใจไปก่อน แต่เอาเข้า จริง กลับมี “สัญญาณพิเศษ” ออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

ซึ่งเกมกระชับอำนาจรัฐหนนี้ มีการปรับแผงกันล็อตใหญ่ถึง 20 เก้าอี้ มีทั้งรัฐมนตรี “แถว 2-แถว 3” ที่บางส่วนถูกสลับดอกย้ายข้ามห้วยไปกระทรวงอื่น ขณะที่พวก “ส่วนเกิน” ล้วนถูก “ปรับออก” ในทันควัน จะมีก็แค่ 16 เก้าอี้เสนาบดีที่ยัง คงเหนียวแน่น

ผ่านไป 5 เดือนเศษ...หลังสิ้นพฤษภา ป่าช้าแตก! ได้มีกระแสข่าวการปรับทัพใหญ่ “ครม.” กระเพื่อมไหวมาโดยตลอด เพื่อเปิดทางให้ “ผู้เล่นตัวจริง” จากบ้าน 111 เข้ามาแทนที่ แต่กระนั้นด้วย “จังหวะ” และ “เงื่อนไขทางการเมือง” ที่ยังไม่สุกงอม ทำให้การปรับใหญ่ถูกทอดเวลาออกไป จนถึงจุดที่รัฐบาลต้องเผชิญกับมรสุมรอบด้าน ทั้งเงื่อนไขปลุกระดม “ม็อบข้างถนน” ของฝ่ายจ้องล้มอำนาจรัฐ หรือแม้ แต่ “คิวซักฟอก” ที่กำลังขยับเข้ามาใกล้

พลันให้ทุกความเคลื่อนไหวในช่วงปลายฝนต้นหนาว ดูจะยิ่งหนาวยะเยือก! ท่ามกลาง “องคาพยพ” ที่คาดหมาย ว่า “ครม.ปู 3” อย่างไรก็ต้องปรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งตัวนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานในรอบด้าน โดยเฉพาะ “คนกันเอง” ในมุ้งค่ายเพื่อไทย ที่กำลังกระชับวงล้อมเพื่อเข้า สู่ “เกมอำนาจ”

กระนั้นแม้ “ยิ่งลักษณ์” จะนำพารัฐนาวา ยังไม่ผ่านครึ่งเทอมดี แต่ก็ถือว่าเดิน มาไกลและราบรื่นเกินกว่าที่ “คอการเมือง” เคยตั้งธงวิพากษ์เอาไว้ เมื่อประจวบเหมาะ... ต่อรองเงื่อนไข อำนาจกับ “พี่ชาย” ได้อย่างลงตัว พลันให้ผู้นำหญิงตัดสินใจรื้อแผง ครม.ล็อตใหญ่ ทันที ซึ่งแผนปรับ “ครม.ปู 3” แบบสายฟ้าแลบหนนี้ ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่า...ด้านหนึ่ง สะท้อนถึง “สัญญาณบีบ” เพื่อกระชับอำนาจของตัว “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ให้มากขึ้น อีกด้านหนึ่งก็เป็นการชิงปรับเพื่อ ลดน้ำหนักความชอบธรรมในการบี้ซักฟอก ของขั้วฝ่ายค้าน

“ครม.ปู 3” จึงถือว่าเป็นวาระการ เมืองที่มาได้ถูกที่ถูกเวลาอยู่ไม่น้อย เมื่อสังเคราะห์ความเป็นไปได้จากมรสุมทางการเมืองที่เริ่มตั้งเค้า และเตรียม “โหมโรง” เข้าใส่ทำเนียบไทยคู่ฟ้าในห้วงเวลานี้ การปรับแผงเสนาบดี นอกจากเป็น การ “ขยับตัวขุนพล” เพื่อรับศึกใหญ่รอบด้านแล้ว ยังเป็นการเสริมใยเหล็กให้แก่ รัฐนาวาในขวบปีที่ 2 ทั้งการรับมือกับ “มวลชนนอกสภา” ที่ออกมาเช็กเรตติ้งรอบใหม่ ตลอดทั้งการปิดเกมการเมืองใน สภา ที่รอจังหวะ “บดขยี้” รัฐบาลอย่างหนักหน่วง

เงื่อนไขเหล่านี้ ยิ่งดูสอดคล้องกันมากขึ้น แต่หากประเมินรอบด้านแล้ว จะเห็นว่าการดึงพวก “ตัวจริง” กลับมาสู่เวทีอำนาจอีกครานั้น ย่อมเลี่ยงไม่ได้กับ “เหตุผล” ที่ว่า...เพื่อชิงความได้เปรียบทาง การเมือง!!!

ทอดจังหวะต่อเนื่องไปถึงการเลือกตัว “หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่” ซึ่งกำหนดให้มีขึ้นวันที่ 30 ตุลาคม ซึ่งล้วนแต่เป็นภาพสะท้อนที่ชวนให้ติดตาม โดยเฉพาะเมื่อมีความชัดเจนแล้วว่า “เจ้ากระทรวงคลองหลอด” และหัวหน้าพรรคคนใหม่ มีความเป็นไปได้ว่า “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” จะเข้ามาควบทั้ง 2 ตำแหน่ง เพราะหากมองในแง่ของตัวบุคคลแล้วดูจะเหมาะสมที่สุด เพราะมีความคล้ายกันระหว่าง “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” หัวหน้าคนเก่า เมื่อเทียบกับ “จารุพงศ์” จะเห็นได้ว่า ทั้งคู่ล้วนมีจุดแข็งอยู่ที่การวางตัวให้ดู “โลว์ โปรไฟล์”...ไม่โดดเด่นเกินหน้า “ผู้นำหญิง” จนกลายเป็น “เป้าล่อ” ให้ฝ่ายตรงข้ามเอามาเป็น “ชนวนถล่มรัฐบาล”

นอกจากเก้าอี้ “มท.1” และว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ ที่นายใหญ่ “จงใจ” จะทำให้ภาพของ “ปู 3” ออกมาในเฉดที่ดู “ไม่จัดจ้าน” เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ผอ.พรรคเพื่อไทย และในบทบาท “มือทำงาน” ทั้งใต้ดิน-บนดินของ “ทักษิณ” ก็คงไม่พลาดเก้าอี้ “มท.1” หรือแม้แต่หัวโขนเพื่อไทยคนใหม่ ตามที่มีแรงหนุนนำมาอย่างหนาแน่น

หากชี้ลึกลงไปในรายละเอียดแห่ง “วาระโยกย้าย” ผ่านตัวเสนาบดีใหม่ ซึ่งล้วนแต่สะท้อนให้เห็น “นัยยะสำคัญ” ที่ดูน่าสนใจยิ่ง แม้แต่กระทรวงมหาดไทยก็ยังมีเซอร์ไพรส์ให้ “จารุพงศ์” ได้ตกใจมิใช่น้อย...เพราะเมื่อฟ้าส่ง “จารุพงศ์” มาเป็นเจ้ากระทรวงมหาดไทย แล้วไยต้องส่ง “พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก” มานั่งประกบข้างในเก้าอี้ “มท.2” ด้วยเล่า...! เพราะทั้งคู่ต่างเป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” กันมาตลอด เรียกว่า...ซดเกาเหลากันอยู่ทุกครั้งที่นั่งคู่กันในกระทรวงคมนาคม

ภาพเก่าๆ ในวันวาน...คงจะตามมาหลอกหลอน “2 รัฐมนตรี” ที่กลายเป็นคู่กัดคู่เก่า...ในกระทรวงใหม่ และอีกช็อตการเมืองที่เป็นไฮไลต์ นั่นคือการที่ “เดอะตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ชื่อหลุดจากโผ “ครม.ปู 3” ไปแบบมึนๆ งงๆ... แม้ “ตู่” จะวางตัวเป็น “องครักษ์พิทักษ์นาย” มาโดยตลอด ทั้งที่ก่อนนี้ก็มีชื่อปรากฏอยู่ในทุกโผ และมีคำมั่นจาก “คนแดนไกล” ว่าเหมาะสมที่จะขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรี แต่ที่สุด “ตู่” ก็ไร้ซึ่งรางวัลปลอบใจใดๆ

ว่ากันว่า เหตุที่ “ตู่” ไม่ได้เก้าอี้ใน ครม.ชุด 3 เป็นเพราะมี “แรงเสียดทาน” จากภายนอกเข้ามาอย่างหนัก กอปรกับคนในพรรคบางส่วน ก็ไม่อยากให้ “ตู่” เข้ามาเป็น “รัฐมนตรีสายล่อฟ้า” เพราะคนข้างบนไม่ชอบ กองทัพก็ไม่ปลื้ม!!!

ทว่า “ตู่” ยังได้รับคำหวานจาก “นาย ใหญ่” ที่ยกมาปลอบประโลมว่า...วันหน้าฟ้าใหม่ “ตู่” คงได้สมหวังบนเก้าอี้รัฐมนตรีอย่างแน่นอน... แน่นอนว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “ตู่” วืดเก้าอี้รัฐมนตรี นั่นเพราะได้ถูกวางตัวให้ เป็น “ผู้นำมวลชน” ในการขับเคลื่อน “ม็อบเสื้อแดง” เพื่อเป็นผนังทองแดง-กำแพงเหล็กให้แก่รัฐบาลในยามวิกฤติ... หรือแม้แต่การวางตัว “ตู่” ให้เป็น “ไม้กันสุนัข” คอยสกัดเกมการเมืองข้างถนนของ “ฝ่ายจ้องล้มรัฐบาล”

เมื่อประเมินจากตัวบุคคลที่ติดโผ ครม.เที่ยวล่าสุด ก็ยังปรากฏชัดว่า ทั้งสาย วังบัวบานของ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ...สายบ้านจันทร์ส่องหล้าของ “นายใหญ่-พี่สะใภ้” ตลอดจนทีม “บ้าน 111” ต่างเดินพาเหรดเข้ามาแบบยกแผงหรือแม้แต่ “ทีมงานไทยคู่ฟ้า” ข้างกายนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็มีชื่ออยู่ในโผแทบ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” รมช.กระทรวงคมนาคม ที่ถูกอัพเกรด...ขึ้น ชั้น “ว่าการคมนาคม” แม้จะถูกมองว่าเป็น “รัฐมนตรีที่โลกลืม” ซึ่งแม้แต่นักข่าวในรังนกกระจอกยังแทบไม่รู้จัก แต่ก็ถือเป็น “เด็กปั้น” ของ “นายหญิง” เพราะช่วงหลังมานี้ “ชัชชาติ” ถูกวางบทบาทสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “อภิโปรเจกต์” แก้ปัญหาจราจรใน กทม. หรือแม้แต่การยกให้เป็น “คีย์แมนคนสำคัญ” ในทีมบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล หรือพวกมือใหม่ป้ายแดงอย่าง “ประดิษฐ์ สินธวณรงค์” ที่โผล่มายึดเก้าอี้ รมว.กระทรวงสาธารณสุข ก็มีคอนเน็กชั่น โยงใยกับธุรกิจอสังหาฯ ยักษ์ใหญ่อย่าง “กลุ่มแสนสิริ” ที่มีบอสใหญ่ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” และเป็นคนเดียวกับที่ปรากฏในกระแสข่าว “ว.5 โฟร์ซีซั่น”

ต่อมายังมี “ปลอดประสพ สุรัสวดี” ที่ถูกอัพเกรดจาก รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ขึ้นชั้นเป็นรองนายกฯ คุมเกมการ บริหารจัดการเมกะโปรเจกต์น้ำ ที่มีเม็ดเงิน ในมือหลายแสนล้านบาท เป็นไปตามบทบาทเด่น ที่เล่นเป็น “กันชน” กั้นแรงปะทะให้นายกฯ หญิง ตลอดขวบปีแรก

ยิ่งได้ประเมินจากโผเสนาบดีหน้าใหม่ ก็ยิ่งปรากฏชัดว่า “นารีขี่ม้าขาว” กำลังเดินเข้าไปสู่ “เกมกระชับอำนาจในมือ” ด้วยการเลือกใช้พวกที่อยู่ใต้อาณัติ และคนที่ไว้วางใจได้ เพื่อเอาไว้เป็น “ม้าใช้... ใกล้ตัว” ตามปรากฏการณ์...รื้อแผงทีมรัฐมนตรีหนนี้ ล้วนแต่เป็น “บิ๊กเซอร์ไพรส์...ปู 3” ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็คงเหมือนการเปลี่ยนแกนอำนาจใหม่ ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะสามารถแสดงให้เห็นถึง “ภาวะผู้นำ” ที่มากขึ้น และยังเป็นการสร้างน้ำหนักให้กับตัวเองในเกม “เพาเวอร์เพลย์” รอบใหม่ ที่ยังคงเล่นกันอย่างหนักในมุ้งค่ายเพื่อไทย...และมีแนว โน้มจะแรงขึ้นเรื่อยๆ

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ใครอยากนั่งต้องทำใจไม่ต่างจาก เก้าอี้ดนตรี !!?



โดย พระพยอม กัลยาโณ

ภายหลังการปรับคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่ทุกครั้งจะได้ยินเสียงการทำใจของรัฐมนตรีที่ต้องหล่นเก้าอี้ และเสียงการยินดีปรีดาของรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งครั้งนี้ก็คงได้ยินเสียงที่ว่า

เมื่อเก้ารัฐมนตรีมีสถานะไม่ต่างจากเก้าอี้ดนตรี คนที่เข้ามานั่งก็ต้องทำใจ เดี๋ยวได้นั่งเดี๋ยวคนอื่นมาแย่งนั่ง เพราะเก้าอี้มีไม่พอกับคนที่อยากนั่ง แต่เมื่อใครได้ลองนั่งแล้วย่อมไม่อยากลุก อยากหยั่งรากให้ลึกจะได้ยึดเก้าอี้ไว้นานๆ ถึงแม้รู้อยู่ว่าควรเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามานั่งบ้าง แต่ก็อย่างที่กล่าวนั่งแล้วก็ไม่อยากลุก

ในขณะที่บางคนก่อนหน้านั้นมีลุ้นว่าน่าจะได้นั่ง มีชื่อติดโผมาตลอด แต่สุดท้ายกลับไม่มีรายชื่อ แน่นอนความผิดหวังก็ต้องเกิด โดยเฉพาะคุณจตุพร พรหมพันธุ์ แต่เมื่อพอรู้ว่าไม่มีรายชื่อเป็นรัฐมนตรีใหม่ ทีแรกดูเหมือนว่าจะทำใจได้ แต่พอเห็นหางเครื่องเห็นกองเชียร์ที่เป็นพวกพ้องออกมาไถ่ถามถึงความเสียสละในการต่อสู้จนต้องติดคุกติดตะรางแต่กลับไม่ได้อะไร ก็อาจมีฉุนตามกองเชียร์บ้าง

การปรับ ครม. ครั้งนี้จะไม่ให้เกิดคลื่นหรือแรงกระเพื่อมในพรรคเพื่อไทยเลยก็คงไม่ใช่ เพราะโลกใบนี้ตราบใดที่คนเรายังมีอารมณ์อยากจะมี อยากจะเป็น ย่อมมีความรู้สึกสมหวังและผิดหวัง

ฉะนั้นอารมณ์เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับคนที่ได้รับตำแหน่งและไม่ได้รับตำแหน่งก็มี หรือชอบก็เชียร์ไม่ชอบก็ค้าน หรือไม่ก็ด่า หรืออีกพวกเฉยๆ ใครจะนั่งตรงไหนก็เฉยๆ เพราะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรด้วย

อยากให้สิ่งเหล่านี้เตือนสติทุกคนไว้ว่า โลกใบนี้เป็นอนิจจัง ซึ่งในอนิจจังก็ยังมีแยกอีกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่น่ารัก กับน่าเกลียด อนิจจังที่น่าเกลียดก็คือ พออะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตนเองไม่ชอบ แน่นอนย่อมจะต้องโกรธเคืองฉุนเฉียว

สิ่งที่อยากฝากไว้เป็นข้อคิดคือ เราอย่ายึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยคิดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมาจะเห็นว่าการชุมนุมของคนเสื้อเหลืองมีความเหนียวแน่น มีความเป็นเอกภาพสูงมาก แต่สุดท้ายก็ต้องแตก ในขณะที่เสื้อแดงตอนนี้มีโอกาสมีรอยร้าวได้เช่นกัน และอาจปริแตกได้โดยมีเรื่องของเก้าอี้เป็นเหตุ

เจริญพร
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จารุพงศ์ เต็ง หน.พรรคเพื่อไทย ภูมิธรรม คั่วเลขาฯ

 
เพื่อไทยเตรียมเลือกคณะกรรมการบริหารพรรค "จารุพงศ์"เต็งหัวหน้าพรรค ด้าน"ภูมิธรรม"คั่วเก้าอี้เลขาฯ
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย เผยว่า การประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แทนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคที่ลาออกไปนั้น ในวันที่ 30 ต.ค. โดยตำแหน่งที่สำคัญที่มีการจับตามอง เช่น ตำแหน่งหัวหน้าพรรคคาดว่าจะเป็น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รักษาการเลขาธิการพรรค ที่มีสายสัมพันธ์อันดีทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาณ ณ ป้อมเพชร ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ตำแหน่งเลขาธิการพรรรค เป็นของนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่มีสายสัมพันธ์อันดีทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ และนส.ยิ่งลักษณ์ จะเข้ามาทำหน้าที่วางโครงสร้างและจัดระเบียบพรรคใหม่
 
ทั้งด้านการขยายฐานสมาชิกพรรคและการรุกคืบช่องทางสื่อสารโดยเฉพาะทางโลกไซเบอร์ ส่วนตำแหน่งโฆษกพรรค คาดว่าจะยังเป็นของนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ เหมือนเดิม แม้ก่อนหน้าจะมีแรงกระเพื่อมจากคนในพรรคสายที่ใกล้ชิดนส.ยิ่งลักษณ์ อยากให้มีการเปลี่ยนตัว แต่ก็ได้รับการทัดทานจากแกนนำคนใกล้ชิดพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการให้ทำหน้าที่ต่อไป
รายงานข่าวเผยอีกว่า โครงสร้างพรรคใหม่ จะมีจำนวนกรรมการบริหารพรรคไม่เกิน29คน ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับพรรค และโครงสร้างนี้จะมีอัตรส่วนส.ส.น้อยมาก โดยจะไม่มีส.ส.เขต เข้าเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคเลย แต่จะมีอัตราส่วน รัฐมนตรีหรือส.ส.บัญชีรายชื่อ เข้ามาเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคบ้าง เนื่องจากมีการมองว่าหากเกิดอุบัติเหตุการเมืองต่อพรรคหรือกรรมการบริหารพรรค หากคนที่เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ มีการปรับเปลี่ยน สามารถเลื่อนบุคคลที่อยู่ลำดับถัดไปขึ้นมาเป็นแทนได้ ซึ่งจะดีกว่าให้ส.ส.เขต มาเป็นหากเกิดอุบัติเหตุ ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะทำยุ่งยากมากกว่า
 
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
************************************************************************

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เสียงจากบ้าน (ฉายแสง) เขาต้องการคนพลิ้วไหว ไม่เอาคนแข็ง !!?


สัมภาษณ์พิเศษ
ท่ามกลางกระแสปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) กว่า 22 ตำแหน่ง

ทว่าในโผสุดท้าย ยังคงไร้รายชื่อของตระกูล "ฉายแสง" ที่ร่วมยืนเคียงคู่มาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน กระทั่งพรรคเพื่อไทย

โดยเฉพาะพี่ชายคนโตอย่าง "จาตุรนต์ ฉายแสง" ที่เคยรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี, รมว.ศึกษาธิการ, รมว.ยุติธรรม 

ทั้งคนวงใน-วงนอก คอการเมืองอาจไม่มีใครเข้าใจเหตุผลได้ดีเท่า 
"ฐิติมา ฉายแสง" อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คนการเมืองในตระกูล

บรรทัดต่อจากนี้คือ คำตอบของน้องสาวแทนพี่ชาย ว่าทำไมตระกูลฉายแสงถึงตกหล่นจากบัญชีปรับใหญ่ "รัฐบาลตระกูลชินวัตร"



"ตระกูลฉายแสงไม่เคยวิ่งไปหา ผู้หลักผู้ใหญ่ คนบ้านเราเป็นอย่างนั้น ไม่เคยกระเสือกกระสนเหมือนคนอื่น"

"ฐิติมา" ยกตัวอย่างภาพอดีตสมัยใต้รั้วพรรคไทยรักไทยว่า ตระกูลฉายแสงจะรู้ว่าได้รับตำแหน่งก็ต่อเมื่อนาทีสุดท้ายทุกครั้ง

"มีครั้งหนึ่งนั่งกินกาแฟกันอยู่ที่บ้าน ขณะที่มีกระแสปรับ ครม. เคยถามพี่ว่าจะได้เป็นหรือไม่ แกก็หัวเราะแล้วบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน พอถามว่าแล้วทำไมมานั่งเฉยอยู่ตรงนี้ ไม่ไปวิ่งหาผู้ใหญ่ เขาก็บอกกับเราอย่างเรียบ ๆ ว่า ก็เราไม่ได้เป็นแบบคนอื่น"

"ครั้งนี้มีคนบอกว่าจะให้นั่งกระทรวงศึกษาธิการ แต่อะไรก็ไม่แน่นอน จนถึงนาทีสุดท้ายก็ยังไม่รู้เลยว่า พี่ชายจะได้เป็นหรือไม่ มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอด"

เธอวิเคราะห์เหตุผลคนในที่ตระกูลไม่ได้รับตำแหน่งครั้งนี้ อาจเป็นเพราะความแตกต่างในเรื่องความอยู่รอดของรัฐบาลกับหลักประชาธิปไตยของประเทศ

"พี่อ๋อยมีจุดยืนทางการเมืองสูง ท่านยึดมั่นว่าจะไม่สนใจเรื่องอะไรนอกจากแก้รัฐธรรมนูญ จะให้ไปเป็นตำแหน่งอะไรก็ขอไม่เป็นดีกว่า จะขอแสดงจุดยืนทางประชาธิปไตยอย่างนี้ เมื่อพี่อ๋อยเสนอตัวเองไปในลักษณะนั้น มันอาจจะไม่โดนใจผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน อาจรู้สึกว่าชนเหลือเกิน ขณะที่สถานการณ์ต้องใช้ความประนีประนอมอ่อนนุ่ม"

"ท่านมีหลักว่า ตราบใดที่ประชาธิปไตยยังไม่สมบูรณ์ ความยั่งยืนมันไม่เกิด เมื่อยึดตรงนั้นจึงเข้าชนอย่างแรง เช่น ให้เดินหน้าลงมติวาระ 3 ทันที ขณะที่ผู้ใหญ่บางคนปรึกษากันว่าทำแล้วอาจมีปัญหา จึงสรุปให้ประคับประคองยอมไปก่อน มันก็เลยไม่โดนใจ นับแต่นั้นก็เลยไม่มีตำแหน่งอะไร"

พรรคเพื่อไทยใช้ยุทธวิธตั้งคณะทำงาน หาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายก็ยังไร้ชื่อ "จาตุรนต์" ในชุดทำงาน 11 อรหันต์

ฐิติมาตอบสั้น ๆ ว่า "ก็คนอื่นเขาอาจจะมีท่าทางประนีประนอมมาก แต่ท่านเชื่อมั่นมากว่าเรื่องแบบนี้ประนีประนอมไม่ได้"

เธอฉายภาพจุดยืนตระกูลฉายแสงอยู่ส่วนไหนในกระดานของตระกูลชินวัตร

"จาตุรนต์" เป็นนักการเมืองที่มีจุดเด่นเหมือนนักวิชาการ ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นผู้ที่ให้ข้อคิดเห็นกับใคร ๆ ได้ดี เป็นที่ยอมรับกับสังคมและประชาชนอย่างมาก ภาพลักษณ์นี้ท่านยังคงมีอยู่ตลอด

"เวลาพรรคต้องการความเห็น ก็ยังเกรงอกเกรงใจท่าน สมัยตอนที่เป็นสมาชิก 111 ก็ยังมีคนมาขอความเห็นตลอด แต่ตอนนี้อาจจะไม่ใช่แบบนั้น

พูดตรง ๆ ว่า สถานการณ์ตอนนี้รัฐบาลต้องการเอาตัวรอด ไม่ต้องการใช้ตัวชนหรืออะไร เพราะต้องการคนที่พลิ้วไหว แต่ไม่ต้องการคนแข็ง"

ขณะที่ "ฐิติมา" ยังคงทำงานในฐานะรองเลขาธิการรองนายกรัฐมนตรี (ด้านเศรษฐกิจ) ส่วน "วุฒิพงศ์ ฉายแสง" ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำตะวันออก 9 จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (อยอ.)

"ดิฉันกับพี่โก้ (วุฒิพงศ์) พรรคก็ยังให้ความกรุณาบนพื้นฐานว่าเกรงใจพี่อ๋อย และเขาก็รู้กันว่า เรายังมีโอกาสที่จะได้กลับมาเป็น ส.ส.ให้พรรค ก็เลยให้ตำแหน่งทำงาน ให้ฝึกฝนฝีมือ เพื่อทำงานทางการเมืองต่อเนื่อง ส่วนพี่โก้ยังเป็นประธานประชุมบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก ก็อาจจะทำกันอยู่แค่นี้ก่อน"

"ฐิติมา" ขยายความ หากพี่ชายมีโอกาสได้รับตำแหน่ง พรรคต้องวิเคราะห์ว่า เก้าอี้ตัวไหนจะเหมาะสมที่สุดสำหรับเขา

"ที่มันเป็นแบบนี้ เขาคงคำนึงถึงว่าพี่อ๋อยเคยยิ่งใหญ่ การจะให้มาอยู่กระทรวงธรรมดามันอาจจะไม่เหมาะสม จะให้ไปดูกระทรวงศึกษาธิการ ดิฉันคิดว่าท่านน่าจะมีความสามารถมากกว่านั้น ดังนั้นจะให้ไปอยู่ตรงนั้นมันจะเสียของ"

"สำหรับพี่ชาย หากจะดำรงตำแหน่งต้องทำงานอะไรที่เป็นภาพใหญ่ ดูแล้วจะช่วยท่านนายกรัฐมนตรี และทำให้รัฐบาลโดดเด่น เพราะตอนนี้ภาพรัฐบาลเหมือนแค่ประคองตัวเท่านั้น ทั้งที่ยังมีโอกาสโดดเด่นอยู่ อาจเป็นเพราะขาดคนเข้ามาสร้างตรงนี้"

เธอยกตัวอย่าง "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" เป็นนักการเมืองในสายที่จะช่วยทำให้รัฐบาลโดดเด่นตามภาพที่วาดไว้

"ตอนนี้รัฐบาลมีแต่ท่านเฉลิมที่คอยพูดเรื่องการเมืองให้ แม้จะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ถ้าหากไม่มีท่านมาช่วยงานในสภามันก็ยุ่งเหมือนกัน ดังนั้นหากได้พี่ชายมาช่วย งานในสภาของรัฐบาลจะดีกว่านี้ เช่น ให้ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ท่านก็น่าจะทำงานภาคใต้ได้ดี เพราะมีคนยอมรับเยอะ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมั่นคงขึ้น"

ขณะที่ "ฐิติมา" ภายหลังทำหน้าที่โฆษกรัฐบาล สุดท้ายถูกเปลี่ยนสภาพนั่งเก้าอี้รองเลขาธิการรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ

"ตอนนี้ยังพอช่วยงานน้อง ๆ ส.ส.ในสภามีบทบาทเหมือนคุณครูให้คำแนะนำ ส.ส.หญิงในการลุกขึ้นอภิปรายในรัฐสภา ถ้าได้กลับมาเป็น ส.ส. ตระกูลฉายแสงก็ยังโดดเด่นได้"

เมื่อถามว่า ตระกูลฉายแสงมีแต้มเท่าไรในกระดานการเมืองตอนนี้ "ฐิติมา" ตอบก่อนหัวเราะตบท้ายว่า "ชั่วโมงนี้อาจไม่จำเป็นต้องมี แต่อีกเดี๋ยวก็จะมีก็ได้ ตราบใดที่พวกเรายังมีจุดยืนทางการเมืองแบบนี้"

"เรื่องแบบนี้รอได้ พวกเราอายุตอนนี้จะให้ทำงานการเมืองมากกว่านี้ก็พร้อมอยู่แล้ว แต่จังหวะของชีวิตคนมันก็ไม่ได้ลงล่องปล่องชิ้นเสมอไป หรือบางคนอาจจะคิดว่า เคยให้ไปแล้ว ไม่เห็นทำอะไรก็ได้"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ม็อบไล่รัฐบาลจุดเริ่มต้นของจุดจบ !!?



ไม่เยอะแต่ก็ประมาทไม่ได้

การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามและเครือข่าย เพื่อขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใต้สโลแกน “รวมพลคนทนไม่ไหว” แม้จะมีคนเข้าร่วมไม่มาก แต่ก็ไม่อยู่ในสถานะที่รัฐบาลจะประมาทได้
ขนาดระดับแกนนำต่อต้านเครือข่ายทักษิณ แถวสองแถวสามนัดชุมนุมยังมีคนออกมาร่วมระดับหนึ่ง
หากเป็นแกนนำต่อต้านแถวหนึ่งเป่านกหวีดชุมนุม ก็หลับตานึกภาพออกว่าจะมีคนเข้าร่วมมากกว่าหลายเท่า

แสดงให้เห็นชัดว่าเชื้อยังมี โหมเมื่อไรก็จุดติด เพียงแต่จะกล้าหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมาต่างมีคดีความติดตัวยาวเป็นหางว่าว

ที่สำคัญคดีความเดินมาถึงจุดใกล้ส่งขึ้นศาล หากเคลื่อนไหวอะไรตอนนี้ก็เสี่ยง
ทั้งเสี่ยงถูกมองว่าเคลื่อนไหวเพื่อต่อรองทางคดี เคลื่อนไหวเพื่อให้อำนาจพิเศษสั่งล้มคดี
ที่สุดเลยคือเสี่ยงถูกเอาตัวไปกักขังในเรือนจำไม่ให้ประกันตัวฐานประพฤติตนเป็นตัวป่วนสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง

แต่อะไรก็ไม่แน่นอน

หากเห็นว่าสถานการณ์สุกงอมมากพอที่จะปั่นสถานการณ์เพื่อสร้างความชอบธรรมเพื่อให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซงได้ ก็อาจเสี่ยงลุกขึ้นมาทำสงครามครั้งสุดท้ายกันอีกครั้ง

ยิ่งในสภาวะคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และนายกฯยิ่งลักษณ์มองหน้ากันไม่สนิทแนบแน่นเหมือนเคย
นักรบแถวหน้าไม่ได้เหรียญกล้าหาญ ไม่ได้รับการเชิดชูเกียรติ ไม่ได้บำเหน็จศึก เครือข่ายทักษิณจึงอยู่ในสภาวะอ่อนแอที่จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้

กางชื่อคนนำชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่เปิดหน้าเล่นตอนนี้ก็ล้วนเป็นพวกขาเก่าเจ้าประจำที่ถูกส่งออกมาชิมลางหยั่งกระแส

ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย พล.อ.จำลอง บุญกระพือ พล.อ.ณัฐชัย เพิ่มทรัพย์ นายสมพจน์ ปิยะอุย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ และ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์
ล้วนแต่แตกเหล่าแยกกอมาจากคนเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี

เสธ.อ้ายยังเป็นประธานเตรียมทหารรุ่น 1 มี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นเพื่อนร่วมรุ่น รวมถึงให้ความเคารพรัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

เมื่อลากโยงความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ทีละขั้ว ทีละกลุ่ม ก็พอต่อจิ๊กซอร์มองเห็นภาพกันได้ว่า ลิเกคณะเดิมกลับมาแสดง เพียงแต่คราวนี้เลือกส่งพระรองออกมาก่อน

เป็นคณะที่เคยขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระเด็นตกอำนาจมาแล้ว จึงถือว่าไม่ธรรมดา ประมาทไม่ได้

เสธ.อ้ายประกาศชัดว่า หลังเบิกร่องชุมนุมนัดแรกไปแล้ว ภายใน 1 เดือนจะกลับมาใหม่
ชัดเจนว่าการจัดชุมนุมครั้งแรกนี้เป็นแค่การเผาหัว เรียกความรู้สึก เรียกบรรยากาศเก่าๆของฝ่ายต้านเครือข่ายทักษิณให้ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง

อีก 1 เดือนจะกลับมาชุมนุมใหม่ หมายความว่าการชุมนุมจะเกิดขึ้นหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์

หากพรรคประชาธิปัตย์ทำงานได้ตามเป้า การชุมนุมครั้งต่อไปเกรงว่าสนามม้านางเลิ้งที่จุคนได้ 25,000 คน จะไม่เพียงพอรองรับมวลชน

ถ้าขยายการชุมนุมออกมานอกสถานที่ได้ แสดงว่ามีคนมาร่วมมากขึ้น เมื่อมีคนมาร่วมมากขึ้น พวกที่แอบลุ้น แอบเชียร์ ก็คงได้เวลาเปิดหน้าเล่น

ที่เคยแอบอยู่ตามเสา ตามมุม ก็จะโผล่หน้าออกมาเดินปะปนอยู่กับม็อบ และขึ้นเวทีเรียกแขกในที่สุด
หากม็อบจุดติด แน่นอนว่าเสียงปฏิวัติย่อมดังกระหึ่ม

อย่าหวังว่าทหารจะถือปืนออกมาปราบปรามประชาชนเหมือนรัฐบาลที่แล้ว

แต่จะเป็นการออกมาหันกระบอกปืนจี้ให้รัฐบาลลงจากอำนาจ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ร.8 กับ ปรีดี พนมยงค์ !!?


คดีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2489 ผ่านมาแล้วถึง 60 กว่าปี แต่คดีนี้ยังเป็นปริศนาที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือลดความน่าเชื่อถือของนายปรีดี พนมยงค์ แม้กระทั่งปัจจุบันนี้

ตัวอย่างชัดเจนล่าสุดคือ หนังสือ “เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ” ของ “วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย” ที่พิมพ์จำหน่ายครั้งที่ 1 เดือนสิงหาคม 2553 และนำมาตีพิมพ์เผยแพร่เป็นตอนๆในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ตั้งแต่ต้นปี 2555 โดยหนังสือเขียนพาดพิงเรื่องความขัดแย้งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลกับรัฐบาลนายปรีดีหลายเรื่อง ทั้งที่ในความจริงแล้วรัฐบาลมิได้มีข้อขัดแย้งใดๆเลย

ในบทที่ 23 หน้า 145 ของหนังสือเอกกษัตริย์ฯ กล่าวหาว่าคดีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเป็นความไม่รับผิดชอบของรัฐบาลขณะนั้น ทั้งยังมีเจตนาที่จะให้เรื่องดังกล่าวเป็นช่องว่างทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจหาความกระจ่างใดๆได้  ซึ่งไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่รัฐบาลนายปรีดีจะกระทำเช่นนั้น

รัฐบาลพยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังในอันที่จะแสดงความขาวกระจ่างในคดีนี้อย่างถึงที่สุด จึงได้ตั้งกรรมการสอบสวนการเสด็จสวรรคต ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา อธิบดีศาลอุทธรณ์ อธิบดีศาลอาญา อธิบดีกรมอัยการ ประธานพฤฒสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยให้อธิบดีกรมตำรวจนำพยานมาสอบสวนต่อหน้ากรรมการ และถ้ากรรมการประสงค์จะสอบสวนเพิ่มเติมก็ให้สอบถามได้

รายชื่อกรรมการยังมีเชื้อพระราชวงศ์ชั้นสูงร่วมอยู่ด้วยคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงศ์ บริพัฒน์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต
หลักฐานนี้แสดงให้เห็นความบริสุทธิ์ใจของนายปรีดีที่มิได้นำตนมาเกี่ยวข้องในคณะกรรมการชุดนี้เลย สิ่งที่แสดงความสัมพันธ์ที่ราบรื่นเป็นประจักษ์อีกประการคือ หลังจากการประกาศสันติภาพเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2488 นายปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้มีโทรเลขลงวันที่ 6 กันยายน 2488 กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัติพระนคร ซึ่งขณะนั้นพระองค์ประทับอยู่ที่โลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์

และพระองค์เสด็จนิวัติถึงพระนครเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2488 โดยพระราชพาหนะเครื่องบินพระที่นั่ง ยังความปลาบปลื้มปีติยินดีแก่พสกนิกรโดยถ้วนหน้า

ทันทีที่พระองค์เสด็จมาถึง นายปรีดีได้เข้าเฝ้าฯถวายคืนพระราชอำนาจทั้งหลายทั้งปวงให้พระองค์ ซึ่งได้ทรงบรรลุนิติภาวะแล้วตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2488 และภาระหน้าที่ของนายปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็สิ้นสุดลง ณ บัดนั้น

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่นายปรีดีได้ประพฤติปฏิบัติต่อเชื้อพระวงศ์มาโดยตลอด ทั้งก่อนและระหว่างสงครามนั้น ได้ปฏิบัติภารกิจหน้าที่ทั้งในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย เพื่อรักษาเอกราชของชาติและปกป้องดูแลทุกข์สุขของพระราชวงศ์อย่างเต็มกำลังความสามารถ ล้วนเป็นประจักษ์พยานว่านายปรีดีมิได้มีจิตอกุศลคิดการร้ายใดๆต่อราชบัลลังก์แม้สักนิด

ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลก็ทรงมีน้ำพระราชหฤทัยอันเปี่ยมล้นด้วยเมตตาต่อนายปรีดี ดังพระราชดำรัสที่ทรงมีต่อนายปรีดีเมื่อวันที่เสด็จนิวัติกลับเมืองไทยตอนหนึ่งว่า

ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอันมากที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจแทนข้าพเจ้าด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อข้าพเจ้า และประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้แสดงไมตรีจิตในคุณงามความดีของท่าน ที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และช่วยบำรุงรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้”

ทั้งยังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯยกย่องนายปรีดีไว้ในตำแหน่ง “รัฐบุรุษอาวุโส” หลังจากที่เสด็จนิวัติถึงพระนครเพียง 3 วัน เพื่อให้มีหน้าที่รับปรึกษากิจราชการแผ่นดินเพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป

ในหนังสือ “1 ศตวรรษ ศุภสวัสดิ์” หม่อมราชวงศ์สายสวัสดี (คุณหน่อย) ธิดาของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ ผู้เป็นพระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 เล่าว่า
“พ่อใช้เวลาเขียนหนังสือกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวถึงร้อยกว่าหน้า พยายามอธิบายคดีกล่าวหาว่ามีการลอบปลงพระชนม์นี้ เป็นแผนการเมืองของฝ่ายตรงข้ามกับอาจารย์ปรีดี ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ และเผด็จการทหารที่จะทำลายปรีดีให้ได้โดยสิ้นเชิง แต่พ่อไม่ได้รับคำตอบใดๆทั้งสิ้น

เมื่อตาชิต (ชิต สิงหเสนี) ถูกประหารแล้ว ยายหนู (ชูเชื้อ สิงหเสนี) ได้รับหนังสือเชิญให้ไปพบเจ้าหน้าที่ที่ทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่าท่านนายกรัฐมนตรี (จอมพล ป.พิบูลสงคราม) สงสารว่ายายหนูตัวคนเดียว จะเลี้ยงดูลูกตั้ง 7 คนต่อไปได้อย่างไร ท่านจึงขอให้เงินช่วยเหลือเลี้ยงดูครอบครัวเดือนละ 2,000 บาท ในจดหมายที่มีมาถึงยายหนู ได้ให้คำอธิบายด้วยว่า ตาชิตเป็นผู้ที่ต้องรับภัยทางการเมือง”

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข \ คอลัมน์ เปิดฟ้าเปิดตา โดย ดอม ด่าน
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ตุลาการภิวัฒน์ ยุ่งตายห่ะ !!?



กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข สัมภาษณ์อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยที่ยังพูดถึง “ตุลาการภิวัฒน์” และ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ดังนี้

***********

มองปัญหาตุลาการภิวัฒน์ในเมืองไทยอย่างไร
ปัญหาตุลาการภิวัตน์ (ผมสะกดด้วย “ต.เต่า” ครับ) เป็นเรื่องน่าห่วง น่ากังวลยิ่ง ปัญหานี้อาจบานปลายไปจนถึงสถาบันศาลหรือตุลาการ อาจเกิดปัญหาเสื่อมศรัทธาเช่นหลายสถาบันของไทย
ตั้งแต่เกิดรัฐประหาร 2549 มีการพูดถึงอำนาจ “ตุลาการภิวัฒน์” และองค์กรอิสระเข้ามามีบทบาททางการเมืองอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการยุบพรรคการเมืองและลงโทษนักการเมือง อาจารย์มีความเห็นอย่างไร

การที่ตุลาการภิวัตน์หรือการที่ศาลกลายเป็นองค์กรที่ถูกใช้ให้ระงับปัญหาและความขัดแย้งเฉพาะหน้า คือการยุบพรรคการเมืองกับการกำจัดรัฐบาลนายสมัคร (สมัคร สุนทรเวช) และนายสมชาย (สมชาย วงษ์สวัสดิ์) นั้น คือสิ่งที่น่าวิตกอย่างที่กล่าวเรื่อง “เสื่อมศรัทธา” ข้างต้น สถาบันตุลาการหรือศาลถูกเชิดให้เป็น “คู่ชก” เป็นฝ่ายตรงข้ามกับขบวนการประชาชน แทนที่จะอยู่เหนือขึ้นไปจากความขัดแย้ง นี่อาจเป็นปัญหาทำนองเดียวกันที่มีการกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้สถาบันกษัตริย์และองค์พระมหากษัตริย์ถูกนำมาใช้ในความขัดแย้งทางการเมืองนับตั้งแต่ก่อนและหลังรัฐประหาร 2549 ถือเป็นเรื่องอันตรายมาก และไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ของชาติมาก่อน

ตุลาการภิวัฒน์มีผลกระทบกับหลักนิติรัฐและประชาธิปไตยอย่างไร คิดว่าจะทำให้นิติรัฐและนิติธรรมกลับมาเป็นเสาหลักของบ้านเมืองได้อย่างไร
ตุลาการภิวัตน์มีผลกระทบต่อนิติรัฐอย่างแน่นอน เพราะทำให้สถาบันศาลหรือสถาบันตุลาการเป็นเรื่องของตัวบุคคล กับเป็นเรื่องของคนที่เข้าไปนั่งประจำอยู่ในตำแหน่งนี้ หาใช่เป็นเรื่องของ “หลักการ” ไม่ การจะนำนิติธรรมหรือนิติรัฐกลับมาเป็น “เสาหลัก” ของบ้านเมืองได้ก็อยู่ที่ตัวสถาบันเอง และสถาบันอื่นๆที่ประกอบกันเป็นสถาบันหลักๆของชาติ พูดง่ายๆเงื่อนไขเหล่านี้อยู่ที่คนชั้นสูง อยู่ที่บรรดาอีลิต ชนชั้นนำหรือไฮโซทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง

บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่ากระทำผิดรัฐธรรมนูญเสียเอง และยังขยายเขตอำนาจศาลจนพูดกันว่าเป็นการทำ “รัฐประหารโดยศาล”

จากเหตุการณ์การเมืองที่ผ่านมากว่า 10 ปีนั้น ศาลรัฐธรรมนูญถูกมองและถูกตำหนิว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และเราอาจจะพูดได้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่า “รัฐประหารโดยศาล” เกิดขึ้นแล้ว นี่แหละที่จะทำให้ศาลขาดความศักดิ์สิทธิ์และขาดศรัทธา กลายเป็นว่าเกือบทุกสถาบันหลักๆของชาติได้เข้าไปร่วมตะลุมบอนในสนามยุทธ์ทางการเมืองกันหมดแล้ว จนอยากจะขอยืมคำอุทานเก่าแก่ของ ฯพณฯ ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ (อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร) ที่ว่า “ยุ่งตายห่ะ” กลับมาใช้อีกครั้งครับ

ที่มีข้อเสนอให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญหรือให้ศาลกลับไปให้อยู่ในกระบวนยุติธรรมปรกติ หรือสถาบันตุลาการควรเข้ามามีบทบาทกับการเมืองอย่างไร เช่น ศาลการเมืองหรือการปฏิรูปศาลเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าสองมาตรฐาน อย่างการดำเนินคดีระหว่างคนเสื้อแดงกับแกนนำพันธมิตรฯ หรือกรณีมาตรา 112

เรื่องจะยุบหรือไม่ยุบศาลรัฐธรรมนูญนั้นผมคิดว่ายุบก็ได้ ไม่ยุบก็ดี ศาลรัฐธรรมนูญจะอยู่ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นนั่นแหละ แต่ที่อยากพูดต่อก็คือ เรื่องกฎหมายอาญา หรือกฎหมายหมิ่นฯ มาตรา 112 ที่มีคดีฟ้องร้องเกิดขึ้นมากมายผิดปรกติ นับตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา

ขอขยายความว่า การที่กฎหมายหมิ่นฯ มาตรา 112 มีปัญหามาก เพราะมีลักษณะที่ประหลาดพิสดารเป็นพิเศษประเทศเดียวในโลก คือใครก็ได้เดินไปที่สถานีตำรวจที่ไหนก็ได้ แล้วแจ้งความว่าใครคนไหนก็ได้ว่าหมิ่นสถาบัน คือเป็นเอกชนฟ้องร้องได้ทุกคน แทนที่จะเป็น “รัฐการ” หรือ “ราชการ” เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญในการพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์

ความพิสดารและอปรกตินี้มาจากการที่ฝ่ายเผด็จการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ร่วมมือกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมทำการออกกฎหมายกำหนดไว้ในหมวดนี้เป็นความมั่นคงของชาติ

ดังนั้น เอกชนคนไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแทนของรัฐหรือของราช (ราชะหรือราชา) ก็ตาม ฟ้องร้องได้ และนี่เป็นเหตุผลที่พวกเรา รวมทั้งผมเองที่รวมกันเป็น “ครก.112” (คณะรณรงค์แก้มาตรา 112) จึงเห็นด้วยกับกลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าจะต้องแก้ตรงหมวดนี้

กล่าวโดยย่อ ถ้าต้องการประชาธิปไตยกับต้องการที่จะรักษาสถาบันกษัตริย์อย่างจริงจังให้เหมือนอย่างประเทศที่ศิวิไลซ์ อย่างสหราชอาณาจักรหรือยุโรปตะวันตก ไม่ใช่เพียงเอามาใช้ “โหน” เอามาใช้ “อ้าง” เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพรรคพวก ก็ต้องแก้กฎหมายหมิ่นฯ มาตรา 112 และมาตราอื่นๆที่เกี่ยวข้อง หนทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีครับ

ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากวิกฤตการเมืองอย่างไร เพราะทั้งพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯยังสร้างกระแสว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือศูนย์กลางของปัญหา แม้แต่นายคณิต ณ นครเรียกร้องให้พ.ต.ท.ทักษิณเสียสละ

การเมืองของสยามประเทศของเราความขัดแย้งระหว่างคนเสื้อสีต่างๆนั้น รวมทั้งแนวร่วมกับตัวประกอบ เกิดขึ้นท่ามกลางความเกลียดชังหรือ hate ครับ นี่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของสังคมไทย ต่างฝ่ายต่างเกลียดกัน และที่น่าประหลาดใจคือ เกือบ 6 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก 19 กันยายน ปี 2555 ก็ครบ 6 ปีแล้วที่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ทำ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นรัฐประหารที่ล้มเหลวที่สุด

ไม่น่าเชื่อว่าคนไทยหลายๆสียัง “ก้าวไม่พ้นทักษิณ” ดูได้จากเหตุการณ์คนเสื้อเหลืองประท้วงงานเสวนาที่ไทยทาวน์ แอลเอ/ฮอลลีวู้ด สหรัฐ

เราผ่านรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็แล้ว รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ก็แล้ว รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็แล้ว แต่กลับได้นายกรัฐมนตรี “ปูแดง” น้องสาวคุณทักษิณมาแทน

ดังนั้น ผมสงสัยว่าเกมการเมืองนี้จะยาวข้ามรัชสมัยแน่ๆ ฝ่ายไหนจะชนะ ผมเดาว่าฝ่ายไหนอดทน อึด สุขภาพจิต สุขภายกายแข็งแรง สั่งสมวิริยะบารมีไว้เพียงพอ เก็บแต้มไปเรื่อยๆ ฝ่ายนั้นก็จะชนะ “กาลเวลาไม่ปรานีใคร” หรอกครับ!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข  คอลัมน์ เวทีความคิด โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

***********************************************************************************

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พลิกซีรี่ส์..ไซฟ่อนเงิน ฝ่ายล้มรัฐ ก้าวขาไม่ออก !!?

ดูท่าจะกลายเป็นหนังเรื่องยาว สำหรับซีรี่ส์ถล่มรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามคิวที่ “ฝ่ายต่อต้าน” ได้ปัดฝุ่นข้อมูล “ไซฟ่อนเงิน” 1.6 หมื่นล้านบาท ที่หวังให้เป็น “รหัสพิฆาต” ทางการเมือง.... ฟาดฟันใส่รัฐบาล 2

พลันให้ “ภตช.” หรือภาคีเครือข่ายต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ นำเอา ข้อมูลที่ว่า...มีการยักย้ายถ่ายเทออกไปนอกประเทศ และขยายผลไปอีกว่า มีนักการเมืองไทย 30 ราย พากันไปเล่นกล ทางการเงินที่เกาะฮ่องกง โดยมีเจ๊ “ด” ผู้มากบารมีในรัฐบาล ที่เป็นตัวเดินเรื่อง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า “เจ๊ ด” ที่อ้างถึงนั้น...น่าจะหมายถึง “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เจ้าแม่วังบัวบานแห่งพรรคเพื่อไทย

ด้าน “มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” เลขาธิการ ภตช. ที่เป็นคน “จุดไฟ” ในเรื่องไซฟ่อนเงิน ในวงประชุมคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา แต่เมื่อถูกทวงถาม “ข้อเท็จจริง” จากทั้งคนในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ก็มีแต่เสียงอ้ำอึ้ง...ไร้สัญญาณตอบรับใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเข้าสู่กระบวนการ ตรวจสอบอย่างเข้มข้น! ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ย้ำหัวตะปูถึง “ข้อมูลลวงโลก” ที่ไปสอดรับกับ “พ.ต.อ. สีหนาท ประยูรรัตน์” เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่ได้ยืนยันอย่างหนักแน่น ว่า...ไม่มีมูลความจริง!!

เพราะเริ่มแรก “มงคลกิตติ์” บอกว่าได้ข้อมูลจากการไปประชุมกับเจ้าหน้าที่ ในคณะกรรมการอิสระเพื่อปราบปรามคอร์รัปชั่น (ไอซีเอซี) ของฮ่องกง แต่จากการให้ข่าวผ่านสื่อตลอดช่วงที่ผ่านมา เลขาธิการ ภตช.ยังให้ข้อมูลที่ดูคลาดเคลื่อนไป บ้างก็บอกว่าเป็น ปปง. หรือไม่ก็เป็น ป.ป.ช. แม้เรื่องชื่อหน่วยงาน อาจจะเรียกต่างกันไปได้ แต่พอ “ธีรพัฒน์ คำคูบอน” ผู้ที่ถูกอ้างว่าทำหน้าที่รักษาการประธาน ภตช.ได้ออกมาระบุชัดว่า “...ได้เดินทางไปดูงานตามคำเชิญของไอซีเอซีที่ฮ่องกงด้วย แต่ไปในฐานะประธานเครือข่ายอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย”

เนื่องจากเป็นภาคีของไอซีเอซี และมีผลงานเข้าตา อันเนื่องมาจากการตรวจสอบการทุจริตการจัดซื้อครุภัณฑ์ของอาชีวศึกษามูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท ที่เกิดขึ้นสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะรักษาการประธาน ภตช. ย้ำหัวตะปูว่า “ไอซีเอซี” ชวนไปดูงานและเยี่ยมชมตึก ฟังบรรยายโครงสร้างการทำงาน ปราบ คอร์รัปชั่น แต่...ไม่มีการประชุมใดๆ ทั้งสิ้น

ทั้งหมดทั้งปวง ยิ่งทำให้ “ภตช.” ที่ออกมากุข่าว หรือแม้แต่ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่ขยายผล...เดอะซีรี่ส์ “ไซฟ่อนงบน้ำท่วม” ต่างเสียรังวัดไปตามๆ กัน

หลังเปิดซีรี่ส์ “ไซฟ่อนงบน้ำท่วม” ที่ ภตช.และฝ่ายค้านเอามาบลัฟใส่ “รัฐบาล” อย่างซึ่งหน้า ซึ่งข้อมูลดังกล่าวถือว่า “มีจุดตั้งต้น” เริ่มจาก “เว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์” ของ “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ที่ถูกสังคมมองว่าเป็น “ฝ่ายจ้องล้มรัฐบาล” เช่นกัน

ทำให้ความน่าเชื่อถือใน “ข้อมูลดิสเครดิตรัฐบาล” ดูจะด้อยค่า...ไร้ราคาไปในทันที และยิ่งทำให้สังคมเชื่อว่า “ราย การเด็กเลี้ยงแกะ” ที่เผยแพร่ผ่านหลายเวที...เป็นแค่การสุมไฟทางการเมืองรอบ ใหม่ เพื่อปลุกกระแสต่อต้านรัฐบาลให้กลับมาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

ยิ่งมี “ข้อความ” จากคีย์แมนในซีกรัฐบาล ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ “เดอะเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่ออกมาต่อจิ๊กซอว์ว่า...เจ้าของสมญา “หน้าแหลมฟันดำ” น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่ง ชาติ (สนช.) และ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกลาโหม เป็นผู้อยู่เบื้องหลังคอยชักใย “ภาคีเครือข่ายต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ” และไม่ให้ราคากับองค์กรแห่งนี้

และเป็นการจับมือกัน 3 ฝ่ายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง กอปรไปด้วย พรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่ฝ่ายค้านเดินเกมทั้งในและนอกสภา มีกำลังหนุนเป็น “กลุ่ม 40 ส.ว.” ที่คอยสะกิดสะเการัฐบาล พร้อมทั้งยื่นตีความสารพัดโครงการเช่นเดียวกับฝ่ายค้าน และมี “ภตช.” ทำหน้าที่เปิดปมสร้างกระแสผ่านสื่อมวลชน

ในจังหวะส่งมุกต่อให้ “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ส.ส.ค่ายเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ที่ออกมาแฉเบื้องหลัง “มงคลกิตติ์” พร้อมระบุว่า ภตช.มีคณะกรรมการบริหาร 15 คน โดยมี พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เป็นประธาน ซึ่ง พล.อ. กิตติศักดิ์ เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. กทม.ในนามพรรคการเมืองใหม่ แต่ภายหลังขอถอนตัวการลงสมัคร เพราะมีข่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ขอให้ถอนตัวเกรงว่าจะตัดคะแนนกันเอง และ พล.อ. กิตติศักดิ์เคยร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ส่วนนายมงคล กิตติ์เป็นวิทยากรและแกนนำให้ความรู้กับกลุ่มพันธมิตรฯ ดังนั้น พล.อ.กิตติศักดิ์และนายมงคลกิตติ์เป็นคนเสื้อเหลือง รวมทั้งในเว็บไซต์ของ ภตช.ยังพบว่ามีชื่อของ น.ต.ประสงค์ เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของ ภตช.อีกด้วย

แถมยังมีคิว “ลากไส้ ภตช.” ต่อไปว่า เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาแบบ “อุปโลกน์” เพื่อตรวจสอบการคอร์รัปชั่น!!
ตามมาด้วยลีลาที่ “อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีประกาศตั้งโต๊ะรอรับ “เรื่องร้องเรียน” กรณีไซฟ่อนเงินที่ฮ่องกง เพื่อให้เลขาธิการ ภตช.มายื่นที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนส่งเรื่องต่อให้ “สารวัตรเหลิม”...ท้าบลัฟกันซึ่งหน้า หาก “มงคลกิตติ์” มาไม่ถูกก็ให้ “อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ที่สนิทสนมกันพามาก็ได้

“เชื่อมโยง” ให้ปรากฏภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ !!!

พอ “รัฐบาล” และ “พรรคเพื่อไทย” เปิดปฏิบัติการ “ต้านสายล่อฟ้า” ...โต้กลับเป็นชุดๆ มุ่งทำลายน้ำหนักกันในที โยงให้เห็นไปถึงความสัมพันธ์ขั้นแนบ แน่นกับ “ม็อบพันธมิตรฯ” และพรรคประชาธิปัตย์ และใครบ้างที่เกี่ยวข้อง ชี้ให้ชัดไปเลยว่า... ภตช.ก็แค่ “เหล้าเก่าในขวดใหม่” ที่เฝ้ารอจังหวะ “ล้มกระดานรัฐบาล”

จะเห็นได้ว่า...ปรากฏการณ์ “ไซฟ่อนเงิน” ยังดูเป็นอะไรที่ก้ำกึ่งระหว่างฝ่ายหนึ่งที่มี “เจ๊ ด” ซึ่งมีเอี่ยวกับปมร้อนๆ ในรัฐนาวาเพื่อไทย กับอีกฝ่ายที่ “ร่วมหัวจมท้าย” ตั้งเป็นขบวนการที่คอยซุ่มอยู่เบื้องหลังเกมจ้องล้มรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ในทุกช็อตการเมือง
ไขตามรหัสการเมืองร้อน!

เป้าหมายของการฉายเดอะซีรี่ส์ “ไซฟ่อนเงิน” ได้สัมพันธ์ไปพร้อมกับการขับเคลื่อน “ม็อบข้างถนน” ของ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่เตรียม นัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 28 ตุลาคมนี้

นี่เป็นแค่การวอร์มอัพ! ด้วยการทำ ให้ซีรี่ส์ “ไซฟ่อนงบน้ำท่วม” กลายเป็น “ชนวนล้มรัฐบาล” แต่จนแล้วจนรอด ข้อมูลถล่มรัฐบาลชิ้นนี้ก็มีอันต้องสะดุดขาตัวเอง...ล้มคว่ำ ไปก่อนเวลาอันสมควร ปมไซฟ่อนเงิน 1.6 หมื่นล้าน... จึงเป็นได้แค่ “นิทานเด็กเลี้ยงแกะ” เท่านั้นเอง!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แผนยุ ปฏิวัติ !!?

การเมืองห้วงนี้ ดูๆ แล้วไม่น่าจะมีอุณหภูมิร้อนแรงเป็นพิเศษ สถานการณ์เป็นไปตามคลื่นลมปกติ มีทั้งเชิงสร้างสรรค์ เชิงวิพากษ์และเชิงทำลายกันอยู่ในที บางครั้งก็ดูดี แต่หลายครั้งค่อนข้าง “น้ำเน่า” ไม่รู้จักสะเด็ด

พลันที่ฝ่ายค้านลอกเลียนการใช้สื่อโทรทัศน์วิธีเดียวกันกับ “ม็อบเสื้อเหลือง-เสื้อแดง” ดูเหมือนการเมืองแบบทำลายล้างซึ่งกันและกัน ก็โหมกระแส “ม็อบแข่งม็อบ” เพื่อหวัง “ดึงมวลชน” มาให้เป็นพวกของตัวเองมากที่สุด

แรกๆ พรรคประชาธิปัตย์ไม่คิดจะทำ ด้วยมีสถานภาพเป็นพรรค การเมืองเก่าแก่ จึงไม่ควรลงไปเล่น “การเมืองข้างถนน” แบบเดียวกับม็อบสีอื่น

แต่เพราะถูกม็อบเสื้อเหลืองและม็อบเสื้อแดง ไล่บี้มาตลอดหลังเลือกตั้งใหญ่แล้วแพ้หลุดลุ่ย เสียหน้า เสียฟอร์มการเมืองที่เคยเอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้ฝ่ายอื่นมานาน พอโดนป้ายสีบ้างจึงรู้สึกตัวว่า ทนไม่ไหว

และเพราะเป็น “จำเลยการเมือง” อาทิ ฉุดกระชากประธานสภาลงจากบัลลังก์ หัวหน้าพรรคหนีทหาร หัวหน้าพรรคมี 2 สัญชาติ และตราบาปตอนเป็นรัฐบาลพัวพันกับ “ความตายของประชาชน 91 ศพ” ยืดเยื้อมาจนชาวบ้านที่บาดเจ็บนับพันต้องตายเพิ่มเป็น 99 ศพ ย่อมไม่อาจ “ล้างบาป” ให้พ้นตัวได้ง่ายๆ

โทรทัศน์ Blue sky จึงจุติเสมือน Nominee ที่เป็นช่องทางเผยแพร่ความคิดของคนประชาธิปัตย์อย่างโดดเด่นเห็นได้ชัด...ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ในอดีตเคยต่อว่าต่อขานพรรคการเมืองอื่นๆ มาก่อนว่า ไม่ ใช่กิจที่พรรคการเมืองควรกระทำ แต่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังเป็นเสียเองหรือไม่ ก็ลองพิจารณาดู

สื่อ Blue sky ดูคล้าย “กระบอกเสียงประชาธิปัตย์” เจือสมไปกับการรวมพลคนเสื้อสีฟ้าข้างถนนอีกส่วนหนึ่ง..แต่พรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ปลุกระดมทีไร ก็ดูจะได้แค่ “แฟนคลับทัพพระแม่ธรณี” ที่ไม่อาจดึงดูดคนเสื้อสีอื่น หรือคนกลางไม่เข้าข้างฝ่ายไหนไปเป็นแนวร่วมได้

เรียกว่า ม็อบใครก็ม็อบมันเท่านั้นเอง... ถ้าจะชี้วัดปริมาณมวลชน เปรียบเทียบกันแล้ว พรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์แท้ๆ ยังสู้ความหนาแน่นของม็อบเสื้อแดงที่ไม่เป็นพรรคการเมืองไม่ได้ด้วยซ้ำ

ขืนนัดชุมนุมบ่อยๆ แล้ว “เรียกแขก” ได้น้อยกว่ามวลชนเสื้อแดง อาจประจานความนิยมพรรคประชาธิปัตย์น้อยลงๆ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ที่ท้าทายในระยะยาวได้

แล้วอะไรล่ะคือ “แผนยุปฏิวัติ” ในห้วงที่ “ไร้ฟืนสุมเชื้อไฟ” ณ คาบนี้

กลายเป็นภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ (ภตช.) ซึ่งมี พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 1 และประธานองค์กรพิทักษ์สยามจะระดมคนหลายเครือข่าย อันมี หมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เป็นแกนประสานม็อบ 10 องค์กร (เดิมคุยว่า มี 50 องค์กร) นัดมาชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง โดยเลขานุการราชตฤณ-มัยสมาคมคือ พลเอกบุญเลิศ เป็นผู้เอื้อเฟื้อสถานที่เอง...เสาร์ที่ 28 ตุลาฯนี้ สนามม้านางเลิ้งจะกลายเป็นสนามแข่งชุมนุมต่อต้านการคอร์รัปชั่น แทนการแข่งม้าไปฉิบ

ประเด็นหลักคือ ข้อหาจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์อีกแล้ว แต่เนื้อหาจริงๆ กำลังเฟ้นคนไปพูดเรื่องการจำนำข้าว โดยเน้นข้อมูลการทุจริตในรัฐบาล...มันเป็นข้อมูลชุดเดียวกันกับที่พรรคประชาธิปัตย์นำไปขยายผลทั้งในสภา บนเวทีปราศรัยและในสื่อ Blue sky หรือไม่

แน่นอน พรรคประชาธิปัตย์พูดได้เต็มปากว่าไม่เกี่ยวข้องกัน แต่คนของประชาธิปัตย์จะ “สวมรอย” ไปชุมนุมด้วยหรือไม่ ก็ต้องย้อนกลับไปดูปูม “ม็อบเสื้อเหลือง” ยุให้เกิดการปฏิวัติปี 2549 ว่า มีแกนนำพรรคนี้กี่คนไปส่งข้าวส่งน้ำในตอนนั้น

ตั้งใจจะให้สอดรับกับข่าวไซฟ่อนเงินจากงบน้ำท่วม 1.6 หมื่นล้าน บาทไปฮ่องกง แต่ถูกจับได้ว่าเป็น ข่าวแหกตา...เลยพอมองเห็นว่าใครกลุ่มไหนกำลัง “นวดสถานการณ์” ให้สุกงอม

การ “ปลุกม็อบ” ที่สนามม้านางเลิ้งจะสำเร็จหรือไม่ มีคนไปกี่กลุ่มหรือมีคนของประชาธิปัตย์จะสวมรอยใส่เสื้อหลายสีไปอีกหรือไม่ ย่อม “อ่านเกม” ได้ไม่ยาก

แต่ม็อบเสื้อเหลืองประกาศชัดไม่ร่วมด้วย ย่อมมีนัยของ “ม็อบ แห้ว” อยู่รางๆ

ที่สำคัญคือพลเอกบุญเลิศ (ที่ผมเคารพนับถือมานาน) หลังจากเคยติด “กลุ่มกบฏ” ร่วมกับ พลเอกฉลาด หิรัญศิริ มาก่อน จากนั้นมายังไม่เคยเห็นผลงานทางการเมืองและการทหารเลย จะสามารถ “จุดไฟ” เพื่อส่งสัญญาณไปสู่เหตุปฏิวัติรอบใหม่ได้อีกหรือไม่

อย่าลืมว่า คนที่จะพูดดึงดูดม็อบการเมืองให้ตรึงติดเป็นพลังมวลชนแบบข้ามวันข้ามคืนใน “ตลาดม็อบ” ชั่วโมงนี้ หายากพอๆ กับงมเข็มในบึงใหญ่

เดี๋ยวคอการเมืองจะเอาไปเมาธ์ได้ว่า “รับจ็อบอำมาตย์” มาเล่นให้เสียของอีกแล้ว

ถ้าม็อบจุดไม่ติดอีกรอบ องค์กรพิทักษ์สยามและเครือข่าย ภตช. จะมิเป็น “ขอมดำดิน” ไปหรอกรึ!

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ปลิงยักษ์ !!?

 
ก็ต้องชมว่า..พวกท่านทั้งหลาย..หาเรื่องมาทะเลาะใส่ร้ายกันได้..ในแทบจะทุกเรื่อง..อย่างเรื่องคลื่นความถี่ จี 3

มันล้าสมัยไปไกลซะจนประเทศลาวคนลาวจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ..ว่า จี 3 คืออะไร..เพราะที่เวียงจันทน์เขาไปถึงจี 4 กันตั้งแต่ปีมะโว้..

ไอ้ที่คุยใหญ่คุยโต ไทยนี่แหละที่..ยังล้าหลัง..ไม่ใช่เพราะร้านค้าร้านขายเขาไม่กล้า..แต่เพราะว่านักวิชาการนักวิชาเกินของไทยเรานี่แหละ..ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวกันมากไป..
ให้บริษัททั้งหลายตักตวงผลประโยชน์จากคลื่นตกยุคกันอย่างเอร็ดอร่อย..

เหมือนกับการ..ดองรถไฮบริด..ไม่ให้เข้าตลาดเพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทรถยนต์ขายรถเก่าจนหมดเสียก่อน..แล้วถึงปล่อยรถยนต์ไฮบริด..ให้เข้าประเทศไทย

คนเสียโอกาสก็คือประชาชนคนไทย..
รัฐไทยมีคน..ทรยศต่อคนไทยมากเกินไป..เราจึงยังไม่ไปไหน..กลายเป็นลูกไล่ให้ไม่กี่บริษัทสูบเลือดสูบเนื้อภายใต้การผูกขาดในรูปแบบต่างๆ..อาทิเช่น..

เกือบ 100 ปีที่พัฒนาประเทศกันมา..โรงงานผลิตปูนซิเมนต์ไทย..มีไม่ถึง 4 โรงงาน..และโรงงานแรกนั้น..กินจำนวนไปกว่าครึ่ง และกินมานานก่อนคนอื่นหลายสิบปี..

นั่นเป็นคอรัปชั่นรูปหนึ่ง..นั่นคือการผูกขาดตัดตอนกินเลือดกินเนื้อประชาชน..จนมั่งคั่งมั่งมี..
แผ่นดินที่..พ่อขุนรามคำแหง..ประกาศไว้ตั้งเกือบพันปีมาแล้วว่า..ใครใคร่ค้าม้าค้า ใครใคร่ค้าช้างค้า..กลับมีผูกขาดโรงเหล้าโรงเบียร์ไว้..ไม่ให้ใครตั้งแข่ง..

รัฐไทย..กลายเป็นเวทีให้ปลิงตัวใหญ่..สูบกินเลือดเนื้อประชาชนคนไทยมาเป็นร้อยๆ ปี..ไม่มีใครตั้งธนาคารได้..หาก..นายใหญ่แห่งนายธนาคารทั้งหลาย..ไม่อนุมัติ..

รัฐไทย..คือเครื่องสูบเลือดดูดเนื้อประชาชนคนไทยในทุกองคาพยพ..เรื่องที่ประชาชนในประเทสอื่นๆ ทำได้..กลายเป็นเรื่องต้องห้ามในประเทศไทย..แม้กระทั่งการจะซื้อถั่วซื้อรำ..
ถึงเวลาหรือยัง..ต้องแปลงบ้านเปลี่ยนเมือง..กันเสียที

โดย.พญาไม้,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ถอดรหัส : ครม.ปู 3 จตุพร.วืด!!?เก้าอี้ รมต.

การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แปลงโฉมรัฐบาลเป็น “ยิ่งลักษณ์ 3” มาเร็วเคลมเร็วประดุจสายฟ้าฟาด

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยื้อยุดกันอยู่พักใหญ่ เพราะต้องการให้ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อเอารัฐมนตรีที่นั่งทำงานร่วมกันเป็นกันชนให้นายกฯหญิงในสภาช่วงปลายเดือน พ.ย. ไปก่อน

แต่เมื่อมีสัญญาณพิเศษมาก็ต้องรีบปรับด่วน

20 ตำแหน่งที่มีการปรับเปลี่ยนทั้งย้ายไปนั่งทำงานที่อื่น ถูกเปลี่ยนตัวออกให้คนอื่นเข้ามาทำงานแทน ถือว่าเยอะ เพราะมีแค่ 16 ตำแหน่งเท่านั้นที่ได้นั่งอยู่ที่เดิม

ใครเป็นใคร ได้นั่งตำแหน่งไหน อาจพอเห็นหน้าค่าตากันไปบ้างแล้วตามสื่อต่างๆ

แต่อะไรที่ทำให้ได้ขึ้นมาทำหน้าที่ คือสิ่งที่จะต้องพูดกัน

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ที่ลุกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แทนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ลาออกไปก่อนหน้านี้ ก็ชัดเจนว่าเป็นรางวัลตอบแทนที่จะมานั่งเป็นหนังหน้าไฟในตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่จะลงมติเลือกกันวันที่ 30 ต.ค. นี้อีกตำแหน่ง

นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แทนนายธีระ วงศ์สมุทร ที่ตัดสินใจลาออก เพราะไม่อาจทนต่อรัฐมนตรีเงาที่เข้ามาก้าวก่ายสั่งงานแทนแทบทุกเรื่องได้

บุคลิกของนายยุคลน่าจะยอมรับสภาพได้มากกว่า เพราะเป็นลูกหม้อของผู้ยิ่งใหญ่จากสุพรรณบุรีมานาน

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จากรัฐมนตรีช่วยว่าการ ถูกดันขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นั่นก็หมายความว่าถูกถอดชื่อออกจากแคนดิเดตชิงเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่จะมีการเลือกตั้งกันต้นปีหน้าเรียบร้อย

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ โยกไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็เพื่อยกกระทรวงเกษตรฯให้พรรคชาติไทยพัฒนาดูแลเองทั้งหมดตามคำขอของเจ้าของพรรคที่วิ่งขอเอง

ส่วนนายณัฐวุฒิที่เสียรังวัด สูญเครดิตจากการแก้ปัญหาราคายางพาราไปมาก ต้องลุกออกมาแต่งตัวใหม่ในตำแหน่งที่พอจะสร้างผลงานได้

สำหรับคนจากบ้านเลขที่ 111 ที่เข้ามา ทั้งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่จะเป็นรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายวราเทพ รัตนากร ที่จะเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

ทั้งหมดล้วนเป็นสายตรงของนายใหญ่และนายหญิง

ที่สำคัญการให้คนกลุ่มนี้เข้ามารับประกันซ่อมฟรีว่าไม่มีการแย่งซีนผู้นำจากนายกรัฐมนตรี ต่างจากคนที่หลุดโผไปอย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง เพราะบารมีทางการเมืองขี่กันอยู่

ที่เป็นไฮไลท์เลยคือ การไม่มีชื่อติดโผรัฐมนตรีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ที่ไม่มีเก้าอี้เป็นรางวัลให้กับการทำงานแบบเสี่ยงตายถวายชีวิต

ไม่มีเก้าอี้ปลอบใจหลังต้องกระเด็นจากการเป็น ส.ส. ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบจะนอนมาในทุกโผ และมีคำมั่นสัญญาจากนายใหญ่ว่าเหมาะสมเป็นรัฐมนตรี

ว่ากันว่าที่นายจตุพรไม่ได้ตำแหน่งใดใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 เป็นเพราะมีแรงเสียดทานจากภายนอกเข้ามาอย่างหนัก ที่ไม่ต้องการให้มีตำแหน่งเสนาบดี

ประกอบกับคนในพรรคบางส่วนก็เห็นดีเห็นงามไม่อยากให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีสายล่อฟ้า เพราะ “อำมาตย์ไม่ชอบ กองทัพก็ไม่ปลื้ม” ที่จะร่วมงานด้วย

นายจตุพรจึงต้องกลืนเลือดก้มหน้ายอมรับในความน้อยวาสนาของตัวเอง

แต่ก็ยังไม่วายมีคำปลอบใจปนให้ความหวังว่าจะได้ตั๋วนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีแน่นอนในการปรับครั้งต่อไปที่ขีดวงไว้ว่าจะเกิดขึ้นราวกลางปีหน้า

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

win-win ในการประมูล 3จี ที่มาก ด้วยคลื่นรบกวน..!!?



ผ่านไปแล้วอย่างระทึกใจ แต่ความระทึกใจยังไม่สิ้นสุดลงเพราะถึงการประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์มือถือในคลื่น 3จี จะผ่านการรับรองของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แล้ว

แต่แรงต้านแรงเสียดทานจากทั้งจากภายนอกและภายในไม่ได้ลดลงจากกลุ่มนักวิชาการและนักเคลื่อนไหว สอดประสานไปกับกรรมการ กสทช. บางรายและล่าสุดก็คือการรับลูกของสมาชิกจากกลุ่ม 40 ส.ว.บริการ 3จี จึงยังมากด้วยคลื่นรบกวน เพราะประเด็นหลักของการโจมตี ทักท้วง ทัดทาน อยู่ที่ว่าการประมูลครั้งที่ผ่านมาเปิดช่องให้"ฮั้ว"กันหรือไม่เปิดช่องให้บริษัทเอกชนผู้เข้าประมูลได้ "ลาภลอย" อันไม่สมควรหรือไม่

แนวทางการชี้แจง ทำความเข้าใจของ กสทช. จึงอยู่ที่สองประเด็นเป็นหลักประการหนึ่ง เมื่อวิธีการประมูลออกมาเป็นเช่นนี้ ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างไร ประการหนึ่ง เปิดกว้างให้ตรวจสอบว่ามีการฮั้วกันตามข้อกล่าวหาหรือไม่

ด้านแรก นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า กสทช.จะกำหนดกรอบกำกับดูแลอัตราค่าบริการ 3จี บนย่านความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ ทั้งประเภทเสียงและข้อมูลให้ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15-20

โดยอ้างอิงจากอัตราค่าบริการ 3จีในปัจจุบันของผู้ประกอบกา 3 ราย ทั้งเอไอเอส ดีแทค และทรู ที่คิดอัตราค่าบริการแบบเหมาจ่าย 899 บาทต่อเดือนคำนวณกับเงินจากการประมูลครั้งนี้ และต้นทุนการลงทุนขยายโครงข่ายของแต่ละรายตามที่ให้ข้อมูลคำนวณแล้วหากลดราคาลงร้อยละ 15 จากค่าบริการปัจจุบัน ประชาชนทั้งประเทศจะได้ใช้บริการ 3จี ในอัตราที่ประหยัดลงรวม 4,571.25 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 54,855 ล้านบาทต่อปี หรือ 822,825 ล้านบาท ในระยะ 15 ปี

แต่หากลดราคาลงอย่างน้อยร้อยละ 20 จะทำให้ประหยัดค่าบริการได้ 6,095 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 73,143 ล้านบาทต่อปี หรือ 1.097 ล้านล้านบาท ใน 15 ปี

ด้านที่สอง นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช. ระบุว่า เตรียมเอกสารชี้แจงทุกประเด็นให้ทุกๆ หน่วยงานที่ 1 บุคคล และ 1 กลุ่มไปยื่นร้องเรียน เพื่อให้ทุกข้อกระจ่าง

ยืนยันว่าสิ่งที่แถลงไปเป็นเรื่องจริง จนถึงปัจจุบันยังเชื่อมั่นในการทำงานของ กสทช.จะเห็นได้จากการที่ศาลปกครองยกฟ้องทั้ง 6 คดีที่ฟ้อง

การประมูลจบไปแล้ว การรับรองผลการประมูลก็ผ่านมติคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) แล้ว ผู้ที่อำนาจยกเลิกการประมูลได้มีเพียงศาลปกครอง

ขณะที่ ป.ป.ช.จะพิจารณาในส่วนที่ผิด พ.ร.บ.ฮั้ว ดำเนินคดีอาญาที่นำไปสู่การถอดถอนกรรมการ กสทช.ทั้ง 11 คน

24 ตุลาคม นายฐากร จะนำเอกสารชี้แจงรายละเอียดในการประมูลไปยื่นเอกสารกับ ป.ป.ช. ดีเอสไอ สตง. และผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยไม่ต้องรอให้เรียกเพื่อแสดงความโปร่งใสของตนเอง

ก่อนหน้านี้ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. "ทวีตข้อความ"ลงในทวิตเตอร์ที่มีแฟนๆ จำนวนไม่น้อยรอติดตามอยู่ว่าได้เสนอให้นัดประชุมบอร์ด กสทช.ด่วนเพื่อหาทางแก้ปัญหา ว่า

1.ถ้า กสทช.ไมรีบจัดประมูลใหม่ ก็ทำข้อ 2. เร่งออกประกาศกำหนดราคาค่าบริการใน 3 เดือนนี้ ข้อ 3.จับ 3 รายมาทำสัญญาประชาคมเพราะทุกฝ่ายอยากเห็น 3จี การระงับประมูลไม่มีใครได้ประโยชน์ เมื่อประมูลไปแล้วทุกฝ่ายต้องวางหลักเกณฑ์ให้ประชาชนได้ประโยชน์สุด

"ดิฉันอยู่ตรงกลาง ลำบากใจ แต่คิดว่าเรื่องนี้ยังพอมีทางออกแต่ต้องใช้เจตจำนงของบอร์ดในการแก้ปัญหาชาติที่ win-win ให้ได้"

คำถามก็คือ ค่าบริการที่ลดลงร้อยละ 15-20 เป็นอย่างน้อยนั้นเป็นสถานการณ์ win-win หรือไม่

ในความรู้สึกของนางสาวสุภิญญา

ในความรู้สึกของ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช.

ในความรู้สึกของนายสุริยะใส กตะศิลา ที่วันนี้มาในนามตัวแทนของกลุ่มกรีน

ในความรู้สึกของนายไพบูลย์ นิติตะวัน หนึ่งในหัวหอกของกลุ่ม 40 ส.ว.หรือไม่

และถ้าจะให้ดีน่าจะมีผู้สอบถามประชาชนทั่วไปด้วยว่านี่เป็นสถานการณ์ win-win หรือไม่


ที่มา นสพ.มติชนรายวัน

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ธนาคารโลกชี้เงินไหลเข้าเอเชีย-ไทยสูงสุดในรอบ 5 ปี.

นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร เศรษฐกรอาวุโสธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การเคลื่อนย้ายเงินทุนทั่วโลกรวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) มีผลกระทบต่อไทย โดยวิกฤติยูโรโซนและสหรัฐ ทำให้นักลงทุนย้ายเงินจากฝั่งตะวันตกมาเอเชียตะวันออก รวมถึงไทย ทั้งนี้ หากให้ดูตัวเลข เทียบครึ่งแรกปีนี้กับครึ่งแรกปีที่แล้ว ซึ่งสูงอยู่แล้ว ปรากฏว่าครึ่งแรกปีนี้สูงกว่าครึ่งแรกปีก่อน ทำให้ทั้งปีนี้น่าจะสูงกว่าปีที่แล้วทั้งปีเช่นกัน

นางสาวกิริฎา กล่าวต่อว่า ในระยะนี้อาจเห็นเงินไหลจากฝั่งตะวันตก เข้ามาในเอเชียตะวันออกค่อนข้างมาก ตรงนี้ไทยคงได้รับอานิสงส์ไปด้วย ถ้าดูตัวเลขเอฟดีไอปีที่แล้วกับปีนี้ พบว่าจะสูงกว่าช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้นจะได้เห็นตัวเลขเอฟดีไอไหลเข้ามาในไทยมากขึ้นนั้นถือเป็นข่าวดี แต่อีกด้านหนึ่งถ้าเงินไหลเข้ามาในประเทศ ค่าเงินคงแข็งขึ้น จึงต้องบริหารทั้งสองด้าน แม้ว่าค่าเงินแข็งขึ้น แต่หาก เอฟดีไอ ทำให้ศักยภาพในการผลิตกับคุณภาพดีขึ้น แข่งขันกับคนอื่นได้ แม้มีราคาแพงกว่าก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ศัตรูประชาชน !!?

กองทุนหมู่บ้าน เฟส 3 เพิ่มทุนเป็น 2.1หมื่นล้าน !!?

กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.)

กทบ. อนุมัติจัดสรรโอนเงินเพิ่มทุนให้กองทุนหมู่บ้านฯจำนวน 21,614 กองทุน เป็นเงิน 21,614,ล้านบาท

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) ครั้งที่ 5 ซึ่งผลการประชุม สรุปว่า .1. อนุมัติจัดสรรและโอนเงินเพิ่มทุนให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่เป็นไปตามหลักการเพิ่ม ทุนฯ ระยะที่ 3 และเป็นไปตามความเห็นให้สนับสนุน (เดือนสิงหาคม - ตุลาคม 2555) จำนวน 21,614 กองทุน เป็นเงิน 21,614,000,000 บาท 2. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) และดำเนินงานด้านงบประมาณ และดำเนินการจัดสรรโอนเงินเพิ่มทุนฯ ระยะที่ 3 แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ทั้งนี้ หากจังหวัดมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดให้ดำเนินการประสานและยืนยันข้อมูลกับ สทบ. ก่อนการโอนเงิน โดยให้ สทบ. ประสานธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อจัดให้มีการโอนเงินต่อไป

3. เห็นชอบในหลักการให้ สทบ. ดำเนินการแจ้งประสานให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ยื่นคำขอรับการสนับสนุนเพิ่มทุนฯ และยังไม่เป็นไปตามหลักการเพิ่มทุนฯ ระยะที่ 3 ดำเนินการแก้ไข ปรับปรุง เพื่อให้กองทุนหมู่บ้านหรือชุมชนเมืองนั้น ๆ สามารถเสนอขอรับการเพิ่มทุนตามกระบวนการ ขั้นตอนการขอรับการสนับสนุนการเพิ่มทุนตามโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ 3 ต่อไป
พร้อมกันนี้ที่ประชุมพิจารณา เรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 แล้วมีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาในการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ 2 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2556 และอนุมัติให้นำงบประมาณเหลือจ่ายโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ 2 ไปดำเนินการสนับสนุนเพื่อเป็นทุนในการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้าน/ชุมชนเมือง ที่จัดตั้งใหม่ เพื่อให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองได้รับโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ที่ประชุมรับทราบการจัดงาน “ทศวรรษใหม่กองทุนหมู่บ้านฯ : เปิดปฏิบัติการเพิ่มทุนระยะที่ 3” ในวันที่ 25 ตุลาคม 2555 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 และ 2 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อ. ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีฯ ซึ่ง สทบ. กำหนดการจัดงาน“ทศวรรษใหม่กองทุนหมู่บ้านฯ : เปิดปฏิบัติการเพิ่มทุนระยะที่ 3” ขึ้นเพื่อเปิดปฏิบัติการเพิ่มทุนให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และเพื่อเป็นการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้าน/ชุมชนเมือง ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กทม.ยังไร้หัว เพื่อไทย-ปชป.วังเวง !!?

จนถึงขณะนี้แม้จะอยู่ในห้วงเวลานับถอยหลังเข้าสู่การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ซึ่งจะมีในช่วงต้นปีหน้า 2556 แต่จนแล้วจนเล่าทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ต่างยังไม่มีทีท่าชัดเจนว่าจะส่งใครลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทยนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีความพยายาม ที่จะอุปโลกน์ชื่อบุคคลมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น นางปวีณา หงสกุล, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม, พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ อดีตผบ.ตร.หมาดๆ, “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานภาคกทม.สมัยพรรคไทยรักไทย เรืองอำนาจ กระทั่งรายล่าสุดชื่อที่ถูกเสนอ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. ที่กำลังหอมกรุ่นในฐานะมือปราบยาเสพติด ในฐานะ เลขาฯ ป.ป.ส.

จนแล้วจนรอดดูเหมือนว่าแต่ละรายที่มีชื่อปรากฏต่างมีเหตุในบางประการทำให้ไม่สามารถเเป็นตัวแทนของพรรคในการกรำศึกลงเลือกตั้งได้ ถึงกระนั้นดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยเองก็ยังไม่ละความพยายามที่จะสรรหาตัวบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้ง ล่าสุดมีบางกระแสระบุว่ายังมีแนวโน้มสูงที่อาจจะยังเป็น พล.ต.อ.พงศพัศ เนื่องเพราะด้วยสเปกและความสดยังเป็นต่อ ประการสำคัญถือเป็นมืออาชีพในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ ผนวกกับเงื่อนไขในบางประการโดยเฉพาะอายุราชการที่ยังเหลือพอที่จะกลับมาผงาดเป็นใหญ่ในเส้นทางสีกากีได้ หากประสบอุบัติเหตุจากการสอบตกในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. แต่บางกระแสก็ยังคงเชื่อว่าไม่แน่อาจจะพลิกกลับมาเป็น “คุณหญิงหน่อย” หากสามารถตกลงเงื่อนไขบางประการสำเร็จ เพราะจนถึงนาทีนี้ยังคงมีความเคลื่อนไหวอยู่สม่ำเสมอกับ “คุณหญิง”

เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ เลือกตั้งครั้งหน้าแม้ว่า “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะแสดงเจตจำนงอยากจะลงเลือกตั้งในคำรบ สอง แต่มีบางกระแสบอกว่าจนถึงขณะนี้ “หนุ่มหล่อร่างโย่ง” อย่าง กรณ์ จาติกวณิช อดีตขุนคลัง ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็มีความรู้สึกสนใจเพราะมีบางกลุ่มโดยเฉพาะสมาชิกสภากทม.อยากจะผลักดันให้ลงทำหน้าที่ แต่ถึงขณะนี้ภาพก็ยังไม่เป็นที่ปรากฏชัดเจนแต่ประการใด จน ถึงนาทีนี้จึงกลายเป็นว่าทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ยังไร้หัวสำหรับคนลงสมัครรับเลือกตั้ง

กลับมาดูกันต่อที่พรรคเพื่อไทย อีกสักนิด แม้ว่าพรรคยังจะหาตัวบุคคลลงสมัครในนามพรรคไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทางพรรคมีความพยายามจะเคลื่อนไหวในกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขายนโยบายให้คนเมืองกรุงได้เห็น พร้อมๆ กับการเปิดปฏิบัติการดิสเครดิตผู้ว่าฯสุขุมพันธุ์ มาอย่างต่อเนื่อง โดยพรรคเพื่อไทย ภาย ใต้ร่มเงาของ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร มีความเชื่อมั่นว่าการเมือง ในสนามท้องถิ่นไม่ต่างจากสนามระดับชาติเช่นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยเฉพาะถ้านโยบายโดน ใจเขาเชื่อมั่นว่าต้องได้กระแสตอบรับ ถึง นาทีนั้นพรรคจะส่งใครไม่สำคัญ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นนโยบายบางอย่างถูกขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาการจราจร ที่พรรคได้มอบนโยบายให้ “รมช.ชัชชาติ” ไปศึกษาในรายละเอียด จนนำไปสู่การประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ที่มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รอง นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กระทั่งนำไปสู่แผนทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว อวดสู่สายตาคนกรุง เทพฯ นอกจากนี้ ยังมีความพยายามที่จะใช้หน่วยงานในกำกับของรัฐ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเข้ามาช่วยดูแลปัญหาในกรุงเทพฯ

และที่เหนือสิ่งอื่นใดเห็นจะเป็นการเข้ามากำกับดูแลเรื่องของกรุงเทพฯด้วยตนเองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำ ให้หลายฝ่ายมองว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่จะมาถึงในช่วงต้นปี หน้า นอกจากพรรคเพื่อไทยจะขายนโยบายนำผู้สมัครแล้ว เราอาจจะได้เห็นความเป็น “ชินวัตร” เข้ากุมอำนาจเมืองหลวงแห่งนี้ด้วย

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ถอดรหัส:การเมืองร้อน ผ่าแผน.ล้มอำนาจรัฐ ปิดบัญชี รบ.ปู !!?

มีกระบวนการจ้องล้มรัฐบาล.!!?

นี่คือเหตุแห่ง “วิวาทะ” ที่ดูชัดถ้อยชัดคำของ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้วิเคราะห์ “รหัสการ เมืองไทย” ในวงประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งกระบวนการล้มอำนาจรัฐที่ “สารวัตรเหลิม” พูดถึงนี้...เป็นสัญญาณที่กระจายผ่าน 3 เรื่องหลัก คือ 1.การ ไซฟ่อนงบน้ำท่วม 1.6 หมื่นล้าน 2.กรณีรับจำนำข้าว และ 3.เงื่อนปมชายชุดดำ


ประเด็นแรก ว่ากันถึงการปล่อยข่าว “ไซฟ่อนเงินงบน้ำท่วม” หลังจาก “มงคลกิตต์ สุขสินธารานนท์” เลขาธิการกลุ่มภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แห่งชาติ (ภตช.) ออกมาแฉข้อมูลว่า ที่ฮ่องกงมีการอายัดเงินจำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท ที่ไซฟ่อนไปจากประเทศไทย และ ส่งต่อไปยังธนาคารในฝรั่งเศส พร้อมดักคอรัฐบาลกรณีการเล่นกลทางการเงินผ่านนักการเมืองในเครือข่าย “เจ๊ ด.” ซึ่งเป็นผู้มากบารมีในพรรคการเมืองขั้วรัฐบาล

แม้ในภายหลังคณะกรรมการปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ออกมาช่วย “แก้ลำ” โดยชี้ว่า...ตรวจสอบแล้วไม่พบมูลความจริง ต่อมา “สารวัตรเหลิม” ได้ออกมาสุมไฟพรรคประชาธิปัตย์ว่า... เต้าข่าว เพื่อหวังผลทางการเมืองและทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล

ช็อตต่อมาคือ กรณีทุจริตรับจำนำข้าว! ที่ประชาธิปัตย์เอามาปูด ซึ่งก็สร้างความหวั่นไหวให้แก่รัฐบาลอย่างรุนแรง ผสานเข้าจังหวะไปกับ “แรงกดดัน” จากแนวร่วม “ชนชั้นกลาง” ที่ออกมาร่วมกันถล่มรัฐบาลแบบรายวัน ภายใต้ “รหัสการเมือง” ที่คาบลูกคาบดอก เคล้าไปด้วยเงื่อนปมทุจริต ทอดยอดต่อมาจากนโยบาย ประชานิยมยั่งยืน ซึ่งแม้แต่คนใกล้ชิด “ศูนย์กลางอำนาจรัฐ” อย่าง “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ก็ยังมองว่า นี่คือ “จุดเริ่มต้น” แห่งหายนะของรัฐบาลชุดนี้

ส่วนที่เป็นไฮไลต์สำคัญของเรื่อง ยังคงอยู่ที่ประเด็น “ชายชุดดำ” !!!

ถ้าว่ากันด้วย “เงื่อนไขเวลา” และ “ลำดับความสำคัญ” นั่นย่อมสะท้อนให้เห็น “นัยยะทางการเมือง” ที่แตกต่างกัน ไปตามน้ำหนักแห่งรหัสที่ “สารวัตรเหลิม” ชี้ชัดว่า...นี่คือขบวนการล้มรัฐ! นอกจากนี้ “ป๋าเหลิมแห่งบ้านริมคลอง” ยังประเมินไว้ด้วยว่า ราวๆ เดือนตุลาคม-พฤศจิกายนนี้ จะมี “ม็อบการเมือง” ที่แฝงตัวโดยยกเอาปัญหาความเดือดร้อน ของชาวบ้าน มากดดันและทำลายความเชื่อถือของรัฐบาล เหล่านี้ มิใช่แค่พูดกันลอยๆ แต่คนของรัฐบาลได้กำชับให้ทุกจังหวัดเร่งจัดการ แก้ปัญหาให้จบในพื้นที่ อย่าปล่อยให้ “สารพัดม็อบ” หลุดเข้ามาในเมืองหลวง

กระนั้นยังคงมี “จุดเชื่อมโยง” อันหลากหลาย หลังการเคลื่อนไหวของมวลชน กลุ่มใหม่อย่าง “กลุ่มองค์กรพิทักษ์สยามฯ” ใต้ปีกการนำของ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ สหายร่วมรุ่น “ตท.1” ของ “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี


มาหนนี้ “เสธ. อ้าย” ได้เข้าคู่กับ “น.พ. ตุลย์ สิทธิสมวงศ์” แกนนำ กลุ่มเสื้อหลากสี และ “พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ” อดีตรอง ผบ.สส. เปิดฉากรุกไล่ทางการเมือง อย่างข้นคลั่ก! พร้อมขยาย ความคิด “ขวาตกขอบ” ที่ว่า...ให้ทหารนำสังคม! และเรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหารเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ ...28 ตุลาคมนี้ จึงกลายเป็น “วัน ดีเดย์” ที่มวลชนกลุ่มนี้ประกาศชักธงรบ...ทำสงครามข้างถนนกับ “รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นการรุกไล่แบบ “ม้วนเดียวจบ... ไม่มียืดเยื้อ” ราวกับเป็นรหัสปฏิบัติการขั้นเด็ดขาดซึ่งก็มิใช่เรื่องธรรมดาเป็นแน่ เพราะ แกนนำรัฐบาลเริ่มได้กลิ่นผิดปกติ และเฝ้า แกะรอยการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด

ขณะที่แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ “นปช.” ในฐานะองครักษ์พิทักษ์ “รัฐนาวาปูแดง” ยังตั้งข้อสังเกตในความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเหล่านี้ว่า จะมีความเชื่อมโยงกับการเดินหมากทางการเมืองของขั้วฝ่ายค้าน...หรือไม่?!!

ยิ่งกับการที่พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ยอมหยุดไล่ล่า...ความเหลวแหลกของรัฐบาล! มุ่งทำทุกทางเพื่อ “สุมไฟการเมือง” ให้คุโชนขึ้นมาอีกครั้ง หลังมีการปล่อยคิว “ทีมงานสายล่อฟ้า” ให้เบนเป้าไปรุกหนัก...ชิงจังหวะเกมการเมืองข้างถนน ด้วย การตั้งเวที “เดินหน้าผ่าความจริงนัดพิเศษ” โฟกัสจะโค่น...แค่เฉพาะเรื่อง “มัจจุราชชุดดำ...รับจ้างฆ่าประเทศไทย” ที่เข้ามามีเอี่ยวในเหตุนองเลือดครั้งประวัติศาสตร์ “ขั้วฝ่ายค้าน” พยายามเร้าอารมณ์ไปด้วยคิวของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตแม่ทัพ ศอฉ. ที่หันมาเล่นบทดราม่า ขึ้นปราศรัยเคล้าน้ำตาในช่วงจังหวะพีค สุดๆ ที่กล่าวถึง “พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม” อดีตนายทหารบูรพาพยัคฆ์ ซึ่งถูก “กระสุนปริศนา” ยิงดับระหว่างเหตุควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉิน ณ ตำบลกระสุนตกสี่แยกคอกวัวในช่วงเมษาฮาวายปี 2553

ปลุกกระชากอารมณ์เร้าๆ ของ “สาวกธงฟ้า” ให้ถึงขีดสุด...

ตอกย้ำกันด้วยวาทกรรม “ชายชุดดำ” ที่ทีมงานสายล่อฟ้าได้ยกเอา “ทฤษฎีมือที่ 3” มาแถสีข้างว่า “แฝงตัว” อยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเท่าที่เห็นและเป็นไป “ขั้ว ปชป.” คงตั้งใจปั่นกระแสแรงๆ ที่ว่ากันว่า...มีรายการจัดหนัก!!! หวังลากยาวกระแส “ชายชุดดำ”

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งในประเด็น “ชายชุดดำ” อันเกี่ยวเนื่องกับ “มิคสัญญี 98 ศพ” ที่วันนี้คดีความเริ่มทยอยขึ้นสู่ “กลไกศาลยุติธรรม” และมีบางคดีที่ศาลชี้ออกมาว่า “เป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ” แน่นอนเมื่อชี้คดีออกมาเป็นเช่นนี้ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ย่อมกลายเป็น “จำเลยสังคม” อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ซึ่งโดยหลักๆ แล้ว ใน ศอฉ.มีส่วนผสมส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองและขุนทหารในกองทัพ เมื่อศาลชี้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐ เป็นฝ่ายลั่นไกสังหารประชาชน ก็พออนุมานได้ว่า ฝ่ายการเมืองเป็นผู้ออกคำสั่ง ทหารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเป็นฝ่ายปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อเรื่องราวเป็นไปทำนองนี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีในวันเกิดเหตุ และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงในขณะนั้น รวมไปถึง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ยังสุ่มเสี่ยงว่า...จะมีส่วนพัวพันกับ “ข้อหาหนัก” เมื่อหลายคดีทยอยขึ้นสู่กระบวนการพิจารณา ในชั้นศาล

ทว่ายังมีคำถามติดตามมาว่า ...อะไร คือตัวนำไปสู่การตายของประชาชนและเจ้าหน้าที่ 98 คน บาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน และ...อะไรคือตัวแปรที่ทำให้เจ้าหน้าที่ รัฐจำเป็นต้องใช้ความรุนแรง

ขณะที่ตัวละครปริศนาอย่าง “ชายชุดดำ” ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ แต่กระนั้นภาพจากโทรทัศน์ และที่เผยแพร่ไว้ตามสื่อ ต่างๆ ก็ทำให้เกิด “หลักฐานชิ้นสำคัญ” ที่ผู้เกี่ยวข้องใน ศอฉ.จะสามารถนำมาเป็น “เหตุผล”....หักล้างข้อหา “ฆ่าประชาชน”

ด้านความเคลื่อนไหวจากฝ่ายกองทัพ แม้จะดูไม่ชัดเจน แต่ก็พอทำความเข้าใจได้ว่า ที่สุดแล้วกองทัพก็สามารถปฏิเสธความผิดเหล่านี้ได้ว่า..ปฏิบัติไปตามคำสั่งของ ศอฉ. แต่ในส่วนของฝ่ายการเมืองนั้น ค่อนข้างชัดเจน เนื่องด้วยทั้ง “อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์” และ “เทพเทือก” รวมไปถึงคน ในพรรคฝ่ายค้าน ยังได้เปิดปฏิบัติการแฉ... ขบวนการชายชุดดำ ในทุกเวทีและทุกสื่อ ประหนึ่งหวังปลดล็อกข้อหา “สั่งฆ่าประชาชน” เพื่อให้คู่หู ปชป.พ้นมลทินได้ในที่สุด

การหยิบยกกรณี “ชายชุดดำ” ขึ้นมานั้น นอกจากจะเป็นการสร้างป้อมปราการ กำบังให้ตัวเองให้ฝ่ายสั่งการแล้ว ยังเป็นการ ทอดยอดไปสู่ฝ่ายปฏิบัติ นั่นก็คือ.. กองทัพ!!! ฉายภาพให้ชัดขึ้น ด้วยสถานการณ์ ทางการเมือง คงต้องยอมรับว่า เป็นเรื่อง ยากยิ่งนักที่ฝ่ายค้านจะสามารถสั่นคลอน “รัฐบาล” ให้ล้มลงได้ กระนั้นยิ่ง “รัฐบาล” เอาจริงเอาจัง เร่งคดี 98 ศพเข้าสู่กระบวนการศาลยุติธรรม ให้เข้มข้นมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ระดับความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าย ค้านและกองทัพ ขยับเข้ามาใกล้ชิดกันมาก ขึ้นเท่านั้น ซึ่งคงไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลชุดนี้สักเท่าไหร่ เหนืออื่นใด นั่นจะยิ่งทำให้เกิดแรง กระเพื่อมในทางการเมือง ตลอดจนการ เคลื่อนไหวของสารพัดม็อบข้างถนน ที่ดูแล้ว...มีแนวโน้มจะบานปลายยิ่งขึ้นไปอีก พลันให้ต้องลุ้นด้วยใจระทึกไปกับ เหตุแห่งความวุ่นวายรอบใหม่ ที่กำลังปรากฏขึ้นอีกครั้งในเร็ววันนี้?!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนำลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“พรรคการเมืองทางเลือก” มีจริงหรือ? แค่กระแส หรือ ของจริง?

โดย จิตติพร ฉายแสงมงคล
ชื่อบทความเดิม “โอกาสและความจำเป็นของพรรคทางเลือก- ทางที่ควรเลือก?”

ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเท่าใดคำถามเรื่องพรรคทางเลือกก็ยิ่งดังขึ้นมากเท่านั้นพรรคที่สามหรือแม้แต่ผู้สมัครอิสระเป็นหัวข้อที่ถกเถียงในสหรัฐอเมริกากันมาอย่างยาวนานแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ยากว่าจะมีพรรคใดสามารถเบียดพรรคใหญ่ทั้งสองได้

เนื่องจากประวัติศาสตร์การเมืองรวมทั้งระบบการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาแบบfirst-past-the-post (ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดได้รับเลือก) เป็นปัจจัยทำให้เกิดระบบสองพรรคขึ้น (1)
เลือกพรรคทางเลือก ภาพจาก http://whataboutpeace.blogspot.com/
เลือกพรรคทางเลือก ภาพจาก http://whataboutpeace.blogspot.com/

หันกลับมาดูในประเทศไทยซึ่งก็ใช้ระบบผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดได้รับเลือกเช่นกัน(การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเพิ่งเพิ่มมาหลังปีพ.ศ.2540) แต่ที่นั่งในสภาก็ไม่ได้เป็นแค่ของสองพรรคแต่อย่างใดบ้านเรามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของการจับมือกันของพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมจะมีก็ช่วงหลังที่ระบบพรรคการเมืองไทยเริ่มมีแนวโน้มจากแบบหลายพรรคเป็นระบบสองพรรคมากขึ้น
คำถามเรื่องพรรคทางเลือกจึงมีมากขึ้นในช่วงนี้สำหรับสหรัฐอเมริกาพรรคทางเลือกคือพรรคอื่นนอกเหนือจากพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกันสำหรับประเทศที่มีรัฐบาลผสมอย่างเยอรมนีพรรคทางเลือกเป็นพรรคที่มีคนเลือกน้อยซึ่งอาจจะนับพรรคที่ไม่มีผู้แทนเข้าไปนั่งในสภาเพราะได้รับคะแนนเสียงไม่เกินห้าเปอร์เซ็นของคะแนนเสียงทั้งหมดทั้งนี้การจะเรียกพรรคใดว่าพรรคทางเลือกในประเทศที่มีรัฐบาลผสมนั้นไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอน[2]

ถ้ามาดูผลการเลือกตั้งของประเทศไทยเมื่อปี2554จะเห็นได้ว่าพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์คือพรรคใหญ่สองพรรคที่กวาดที่นั่งรวมกันไปเกือบ85% ของที่นั่งทั้งหมดโดยมีพรรคภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนาที่ตามมาห่างๆที่6.8% และ3.8% ตามลำดับซึ่งผู้เขียนคิดว่าพรรคทั้งสองนี้น่าจะจัดอยู่ในหมวดพรรคทางเลือกเช่นเดียวกับพรรคเล็กอื่นๆ

ในการเลือกตั้งครั้งนี้อาจมีหลายคนตั้งคำถามกับตัวเองว่าแล้วครั้งต่อไปจะเลือกพรรคเหล่าดีไหมหรือควรจะสนับสนุนมีพรรคทางเลือกมากขึ้นหรือเปล่าเพราะดูๆไปแล้วพรรคเหล่านี้ไม่น่าจะมีบทบาททางการเมืองมากนักสู้ไปเลือกพรรคใหญ่ที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลได้จะดีเสียกว่า


พรรคใหญ่สองพรรคของประเทศไทย ภาพจากarticle.wn.com
พรรคใหญ่สองพรรคของประเทศไทย ภาพจากarticle.wn.com

อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนแรกว่าแม้แต่ประเทศที่เป็นระบบสองพรรคเต็มตัวอย่างสหรัฐอเมริกาก็มีการถกเถียงเรื่องพรรคที่สามเป็นวงกว้างแน่นอนว่าระบบสองพรรคมีผลดีต่อเสถียรภาพในการปกครองและประสิทธิภาพในการทำงานของรัฐ

แต่ข้อเสียคือประชาขนมีทางเลือกที่จำกัดบล็อคเกอร์ทางการเมืองหลายท่านเคยเปรียบเทียบไว้ว่าพรรคใหญ่ทั้งสองของสหรัฐฯเน้นเรื่องเสรีทางการค้าแต่พอเป็นเรื่องการเลือกตั้งประชาชนกลับมีตัวเลือกเพียงสองพรรคจริงๆแล้วสหรัฐฯก็มีพรรคทางเลือกเช่นกันส่วนใหญ่จะได้รับเลือกให้เข้าไปบริหารระดับท้องถิ่นเช่นพรรคกรีน, Libertarian Party, Reform Party เป็นต้น[3]

ถ้าหันมามองประเทศในแถบยุโรปจะเห็นได้ว่าพรรคทางเลือกมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลไม่น้อยเช่นสหราชอาณาจักรก็มีพรรคLiberal Democrat เป็นพรรคที่สามที่มีสัดส่วนที่นั่งในสภาสามัญชนเกือบ10% จากการเลือกตั้งในปีค.ศ. 2010 และทำให้พรรคอนุรักษ์นิยมได้เข้าไปเป็นรัฐบาลแทนพรรคแรงงานที่มีคะแนนเสียงมากกว่า

พรรคทางเลือกมักจะมีนโยบายที่แตกต่างจากพรรคใหญ่อย่างเห็นได้ชัด(ถ้าเห็นด้วยทั้งหมดคงไม่ขวนขวายที่จะตั้งพรรคใหม่) ส่วนใหญ่เป็นเพราะมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างออกไป(สังคมนิยมหรือเสรีนิยม) หรือเรียกร้องในเรื่องที่พรรคใหญ่เมินเฉยหรือเป็นเรื่องที่กระทบคนกลุ่มน้อยในสังคมด้วยเหตุนี้พรรคทางเลือกส่วนหนึ่งจึงได้ชื่อว่าเป็น Single-Issue Party ชูนโยบายหลักอย่างเดียวพรรคทางเลือกเหล่านี้แม้จะไม่เคยจะมีโอกาสเข้าไปนั่งปริหารประเทศจริงๆจังๆแต่ได้ทิ้งร่องรอยทางการเมืองไว้มากมาย

ปัจจัยหนึ่งอาจเป็นเพราะพรรคทางเลือกมักเป็นพวก”หัวก้าวหน้า” มีวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่าพรรคใหญ่เรื่องที่พวกเขาผลักดันก็อาจเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่และพรรคใหญ่ยังไม่ตระหนักในตอนนั้นแต่ในเวลาต่อมาเรื่องนั้นอาจเป็นเรื่องที่มีความสำคัญระดับชาติก็ได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือนโยบายและข้อกฎหมายหลายอย่างที่คนอเมริกันทุกวันนี้คิดว่าเป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้ผู้หญิงมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งห้ามไม่ให้เด็กต้องทำงานลดชั่วโมงทำงานลงเหลือ40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือระบบประกันสังคมล้วนมาจากข้อเสนอต่างๆของพรรคทางเลือกในสหรัฐฯในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างศตวรรษที่19-20 ทั้งสิ้น พรรคเหล่านี้เป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากพรรคใหญ่ตัวอย่างเช่นพรรคSocialist [4]

อีกบทบาทหนึ่งของพรรคทางเลือกคือการเริ่มจากนโยบายใหม่เรื่องเดียวก่อนเช่นพรรคกรีนของเยอรมนีที่ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1980 โดยเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลักในปีค.ศ.1983 พรรคกรีนได้รับเสียงมากที่จะเข้าไปนั่งในสภาได้โดยไม่มีใครคาดคิดซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่คล้ายกับพรรคไพเรตเยอรมนีที่สามารถเข้าไปนั่งในสภารัฐท้องถิ่นของเยอรมันได้ในปีค.ศ. 2011

ปรากฏการณ์แบบนี้เป็นการปลุกพรรคใหญ่ให้ตื่นขึ้นมามองนอกกรอบความคิดของตนเองเมื่อพรรคเล็กที่เน้นนโยบายแค่เรื่องเดียวได้รับความสนใจจากประชาชนมากขนาดนั้นมันก็เหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้พรรคใหญ่ได้รู้ว่านโยบายของตนนั้นบกพร่องในจุดใดบ้างสำหรับนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมของพรรคกรีนนั้นถือว่าประสบความสำเร็จในเยอรมนีมากตอนนี้พรรคการเมืองทุกพรรคจะต้องมีนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่ในกระเป๋า

แม้แต่การที่ประเทศอุตสาหกรรมอย่างเยอรมนีประกาศจะเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์แล้วหันมาใช้พลังงานทดแทนก็น่าจะถือได้ว่าเป็นอานิสงค์จากการรณรงค์และสร้างจิตสำนึกด้วยนโนบายของพรรคกรีนส่วนความสำเร็จพรรคไพเรตที่ทุกคนเคยมองด้วยความขบขันก็สามารถเปิดตาพรรคใหญ่ให้หันมาสนใจเรื่องเสรีภาพในโลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

 ผู้นำพรรคเขียวเดินประท้วงต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในปี 2008 ภาพโดย Paula Schramm

ผู้นำพรรคเขียวเดินประท้วงต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในปี 2008 ภาพโดย Paula Schramm
ถ้าพรรคใหญ่เห็นดีกับนโยบายใหม่แล้วปรับนโยบายของตนให้เหมือนกับพรรคทางเลือกแล้วพรรคทางเลือกจะอยู่ได้ไหม? คำตอบน่าจะอยู่ที่ตัวพรรคทางเลือกเองมากกว่าพรรคที่มีนโยบายด้านเดียวอย่างเช่นพรรคกรีนน่าจะได้รับผลกระทบจากการถูก”กลืน” (co-opt) มากกว่าพรรคที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากพรรคใหญ่เช่นพรรคสังคมนิยมหรือเสรีนิยมแต่เราก็จะเห็นได้ว่าพรรคกรีนก็ยังคงอยู่มาถึงทุกวันนี้

นับเป็นเวลากว่า30 ปีแล้วแถมยังมีพรรคกรีนเพิ่มขึ้นในประเทศอื่นๆทั่วโลกรวมถึงในสหรัฐฯด้วยน่าจะเป็นว่าเพราะทางพรรคไมใช่แค่พรรคที่ชูนโยบายเดียวอีกต่อไปแต่มีนโยบายครอบคลุมมากขึ้นนอกจากนี้นโยบายในหลายๆด้านก็ยังมีความเป็นหัวก้าวหน้ามากกว่าพรรคอื่นๆในเยอรมนีอยู่ดีอาจจะเรียกได้ว่าพรรคกรีนได้สร้างอุดมการณ์ทางการเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมาก็ว่าได้

สำหรับพรรคทางเลือกที่ถูกพรรคใหญ่ดูดกลืนนโยบายแล้วหายจากวงการเมืองไปเลยก็มีเช่นกันกรณีนี้ถือว่าพวกเขาล้มเหลวหรือไม่? ถ้าพรรคเหล่านี้ทำให้ประชาชนรวมทั้งพรรคการเมืองใหญ่หันมาสนใจในประเด็นที่เขายกขึ้นมาเสนอได้รวมทั้งนำประเด็นนั้นเข้าไปใส่ในนโยบายของพรรคหลักๆได้ก็ถือว่าพรรคทางเลือกนั้นได้บรรลุเป้าหมายแล้วแม้ว่าพรรคทางเลือกนั้นจะเสียฐานคะแนนไปในที่สุดก็ตาม
“Third parties usually lose the battle but, through cooptation, they win the war”
“พรรคทางเลือกมักจะแพ้ในสนามรบแต่เมื่อนโยบายถูกดูดกลืนก็ต้องถือว่าพวกเขาชนะสงคราม” [5]
เราจะสามารถสร้างกระแสจากพลังประชาชนเพื่อผลักดันพรรคการเมืองหลักแทนการก่อตั้งพรรคทางเลือกได้ไหม? แน่นอนว่าแรงขับเคลื่อนจากภาคประชาชนควรจะต้องเป็นแรงมีพลังมากที่สุดในการขับดันกำหนดและควบคุมการทำงานสภาถ้าภาคประชาชนมีความเข็มแข็งพอแลกกฏหมายเอื้ออำนวยพรรคทางเลือกก็คงไม่ต้องมาทำหน้าที่ผลักดันนโยบายใหม่ๆเข้าสู่สภา

แต่ถ้าเรากลับมุมคิดว่าพรรคทางเลือกอาจนำมาใช้เป็นกระบวนการสร้างความคิดทางการเมืองและการเคลื่อนไหวทางนโยบายนอกสภาให้กับภาคประชาชนได้เช่นกันเช่นการจัดประชุมร่างกฎหมายและนโยบายต่างๆกับฐานเสียงและบุคคลทั่วไปหรือแม้แต่การประท้วงต่อต้านนโยบายที่ไม่เห็นด้วยกิจกรรมเหล่านี้เป็นการพัฒนาการเมืองภาคประชาชนไปในตัว

การตั้งพรรคทางเลือกและการผลักดันการเคลื่อนไหวภาคประชาชนจึงเป็นสิ่งที่สามารถทำไปได้พร้อมๆกันโดยให้ทั้งสองกระบวนการสนับสนุนกันเอง[6]

ดังนั้นคำถามสุดท้ายอาจไม่ใช่คำถามที่ว่าเราจะผลักดันประเด็นทางเลือกด้วยการตั้งพรรคทางเลือกหรือสร้างความตระหนักในสังคมในประเด็นทางเลือกนั้นๆดีแต่อาจจะเป็นคำถามที่ว่าเราจะลงมือทำทั้งสองอย่างเมื่อไหร่และทำอย่างไร

อ้างอิง
[1] Sachs JD., The Price of Civilization, 2011.

ที่มา. Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เปิดกล้องวงจรปิด ราบ11 พิสูจน์รถตู้ขนชายชุดดำ !!?

ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวลุงคิม หรือนายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง ผู้เสียชีวิตรายที่ 99 จากการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553

นายฐานุทัศน์ไม่ใช่คนเสื้อแดง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม แต่โดนยิงเข้าเต็มๆขณะยืนรอรถอยู่แถวบ่อนไก่เพื่อออกไปทำกิจธุระประจำวัน

นอนทรมานรักษาตัวอยู่นานกว่า 2 ปี ก็ต้องจบชีวิตลง

สะท้อนภาพการปฏิบัติการกระชับพื้นที่ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่า “ยิงไม่เลือก”

แม้วันนี้จะมีคนเสียชีวิตถึง 99 คนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆออกมาจากผู้เกี่ยวข้อง ไม่มีแม้คำขอโทษต่อเหยื่อความรุนแรงทั้งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต

ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังมีความพยายามปั้นวาทกรรม “ชายชุดดำ” ขึ้นมาเป็นแพะ เพื่อให้รับผิดชอบต่อความรุนแรงทั้งหมดที่เกิดขึ้น

เมื่อฝ่ายหนึ่งยืนยันว่ามีชายชุดดำออกมาสร้างความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่และประชาชนมือเปล่า

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงตั้งค่าหัวนำจับรายละ 1 ล้านบาท แม้จะเลี่ยงว่าไม่ใช่รางวัลนำจับชายชุดดำ แต่เป็นรางวัลนำจับคนร้ายที่เกี่ยวข้องกับการสังหาร 7 คดี รวม 12 ศพ ที่ยังหาคนลงมือทำไม่ได้

แต่ในความเข้าใจของสังคมจากคำอธิบายของผู้มีอำนาจในขณะนั้น คนที่ก่อเหตุสังหาร 12 ศพ ก็เป็นชายชุดดำที่พยายามผูกโยงให้เกี่ยวพันถึงแกนนำเสื้อแดงนั่นเอง

เพื่อไขปริศนาเรื่องชายชุดดำให้มีความชัดเจน นายสมหวัง อัสราษี รองประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน จึงประกาศเบิ้ลรางวัลนำจับชายชุดดำให้อีก 1 ล้านบาท

เพิ่มอัดฉีดคนที่ชี้เบาะแสจนสามารถจับชายชุดดำที่สังหาร 12 ศพ เป็นรายละ 2 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวมาว่า จะมีแกนนำเสื้อแดง คนเสื้อแดง สมทบทุนเพิ่มรางวัลนำจับให้มากขึ้นอีกทั้งในรูปของเงินและที่ดิน

เบิ้ลกลับพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังโหมกระแสเรื่องชายชุดดำ นับเป็นครั้งแรกของดีเอสไอที่มีบุคคลภายนอกมาร่วมสมทบทุนจ่ายรางวัลนำจับ

และที่คืบหน้าได้ลุ้นเสียวคือ คดีการเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอก็ขยับเข้าใกล้คนที่สั่งสลายการชุมนุมเข้าไปทุกที

ล่าสุดนายจตุพร พรหมพันธุ์ เปลี่ยนสถานะจากจำเลยที่เคยถูกไล่ต้อนในคดีก่อการร้าย เข้าให้ปากคำกับดีเอสไอในฐานะพยาน

น่าสนใจตรงที่นายจตุพรเสนอให้ดีเอสไอขอภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพรถที่เข้า-ออกกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มาดู

เพื่อหาว่ามีชายชุดดำนั่งรถออกมาจากราบ 11 หรือไม่ เพราะมีคนเคยบอกว่ามีรถตู้ขนชายแต่งชุดดำออกมา แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ออกไปไหน ไปทำอะไร

นอกจากนี้ยังขอให้เชิญทหาร 2 นายมาให้ปากคำ ประกอบด้วยทหารคนที่เขียนแผนประทุษกรรม แผนผังล้มเจ้า และทหารที่ทำหน้าที่รวบรวมคำสั่งของ ศอฉ. ทุกฉบับ

ทหาร 2 คนนี้เป็นกุญแจดอกสำคัญของคดีที่จะมาช่วยไขปริศนาต่างๆให้กระจ่างขึ้นได้

ยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจของนายจตุพรที่ว่า เรื่องชายชุดดำอาจเป็นเพียงการสร้างสถานการณ์ หรือจัดฉากเพื่อเอื้อประโยชน์ในการปฏิบัติการ

เพราะผิดสังเกตตรงที่มีการเผยแพร่ภาพชายชุดดำหลังจากวันที่เกิดเหตุรุนแรงแล้ว 3 วัน ซึ่งเป็นเรื่องผิดปรกติในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนที่หากพบเห็นข้อมูลก็ต้องนำเสนอต่อสาธารณะทันที

คดีความเริ่มกระชับพื้นที่ กระชับวงล้อมเข้าหาคนสั่งการเข้าไปทุกที

ประเด็นเรื่องชายชุดดำ การเสียชีวิต บาดเจ็บของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม เป็นเงื่อนปมหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะอึมครึม ไม่ปลอดโปร่ง

หากคดีนี้ถูกส่งขึ้นศาลได้เร็วเหมือนคดีก่อการร้ายน่าจะช่วยทำให้บรรยากาศอึมครึมคลี่คลายลงไปได้บ้าง

ถึงตอนนั้นใครมีพยานหลักฐานอะไรก็เอาไปสู้กันในชั้นศาล ไม่ต้องออกมาปราศรัย ออกมาตั้งเวทีให้ประชาชนสับสนในข้อมูล

แต่เตือนไว้อย่าง “ความเชื่อ” ไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้

ถึงตอนนั้นคงได้รู้กันว่าเรื่องชายชุดดำเป็นเพียง “ความเชื่อ” ที่เล่าต่อๆกันมา หรือว่ามีที่มาที่ไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการหรือไม่ อย่างไร

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แนวโน้มการเมืองขยับใกล้สงครามครั้งสุดท้าย !!??

ถ้าใครเชื่อเรื่องดวงดาว คำทำนาย คงจะขนหัวลุกไปตามๆกัน

หลายวันมานี้โหรใหญ่น้อย ทั้งที่ดังแล้ว กำลังดัง และกำลังสร้างชื่อ เรียงคิวกันทำนายดวงเมืองปี 2556 ออกจอทีวี. ทั้งจานดำ จานแดง จานเหลือง จานเขียว ไปในทิศทางเดียวกัน

ปี 2556 ดาวเสาร์ ประธานดาวบาปพระเคราะห์ ย้ายเข้าสู่ราศีตุล ได้มาตรฐานมหาอุจ แข็งแกร่ง ดาวเสาร์นั้นหมายถึงหรือมีอิทธิพลเกี่ยวกับผู้บริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรี

ส่วนราศีตุลก็มีความเข้มแข็ง จึงจะเกิดปัญหา ซึ่งดาวเสาร์โคจรอยู่ในภพที่ 7 เล็งลัคนาดวงเมือง และเล็งพระอาทิตย์ในลัคนาดวงเมือง เป็น “พินทุบาทว์” เรียกว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิด “ดวงแตก”

จับยามสามตาแล้วชี้ว่าตั้งแต่ปลายปี 2555 จะเริ่มมีเค้าลางให้เห็น

ประมาณว่าเริ่มมีการสุมไฟ ใส่เชื้อ

จะลุกโชนอีกทีก็ช่วง เม.ย. 2556 ถึงขั้นมีการเปลี่ยนแปลงกันเลยทีเดียว

ที่น่าตกใจก็ตรงที่โหรหลายสำนักชี้เป้าตรงกันว่า เม.ย. 2553 ว่าแรงถึงขั้นกลียุคแล้ว

เม.ย. 2556 จะแรงกว่านั้นอีกหลายเท่า

ใครขวัญอ่อนฟังแล้วขนหัวลุกเลยก็แล้วกัน เพราะ เม.ย.-พ.ค. 2553 มีคนตาย 99 คน จากการปะทะกันของเจ้าหน้าที่กับประชาชนมือเปล่า และมีคนบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน

หากแรงกว่านั้นคงจะนับศพกันไม่หวาดไหว

หมอดูไม่ใช่คู่กับหมอเดาเสียทีเดียว เรื่องแบบนี้ฟังหูไว้หู ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่

เพราะเมื่อจับยามสามตามองดูทิศทางการเมืองตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้จนถึงปีหน้าก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้ดังคำทำนายมากกว่า 60-70%

ปลายเดือน พ.ย. จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์จัดหนักใส่พรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แน่นอน

ดีกรีความเขี้ยวระดับพรรคประชาธิปัตย์ แค่เขียนญัตติยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร

หากคนหัวอ่อนไม่ใฝ่หาข้อมูลใส่ตัวได้อ่านก็เชื่อเกิน 100% แล้วว่ารัฐบาลเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไร้ฝีมือ ไม่สมควรอยู่บริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไปแม้สักวินาที

ยิ่งได้ฟังการอภิปราย หากหูเบา ไม่รู้จักคิดวิเคราะห์ ก็จะเพิ่มความเกลียดชังต่อรัฐบาลมากขึ้นเป็นพันเท่าทวีคูณ

ยิ่งหลังปิดสมัยประชุมสภาปลายเดือน พ.ย. มีข่าวว่าจะมีการตั้งข้อกล่าวหาคนสั่งการให้ทหารถือปืนออกมาสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง

การเมืองจะยิ่งร้อนฉ่าเข้าไปใหญ่

ขนาดยังไม่ตั้งข้อกล่าวหา ประเด็นชายชุดดำก็ร้อนจนแทบจะไหม้ หากมีหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาก็คาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร

นี่ยังไม่รวมเรื่องการตีความนโยบายรับจำนำข้าวที่ยังหยิบมาเล่นกันต่อเนื่อง มีช่อง มีทางตรงไหนยื่นฟ้องหมด

ผสมโรงกับการประมูลใบอนุญาต 3จี แม้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลโดยตรง แต่จะมีการลากโยงเข้ามาหารัฐบาลจนได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญด้วยการลงมติวาระสามเพื่อตั้ง ส.ส.ร. ก่อนปิดสมัยประชุมสภาอย่างที่ฮึ่มๆกัน ก็จะเพิ่มเงื่อนไขมากขึ้นไปอีก

ครั้นพอข้ามไปปี 2556 จากเชื้อไฟที่สุมเอาไว้ตั้งแต่ปลายปี 2555 เชื่อว่าจะเริ่มมีมวลชน มีม็อบต่างๆ ออกมาชุมนุมกันมากขึ้น

ทั้งมาในรูปแบบความเดือดร้อนจากปัญหาต่างๆ มาเรียกร้องต่อรัฐบาล และอื่นๆอีกจิปาถะ

มองจากแนวโน้มความน่าจะเป็นก็มีโอกาสที่จะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายอย่างที่บรรดาหมอดูทั้งหลายทำนายเอาไว้

เมื่อมองจากฐานมวลชนของทั้ง 2 ฝ่าย เหตุการณ์อย่างที่หน้ากองปราบปรามที่มีการปะทะกันย่อยๆของคน 2 สี มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแค่เพียงมีคนมือบอนจุดไฟ

เอาเป็นว่าฝนจะตก แดดจะออก ไม่มีใครห้ามได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

ที่สงบๆกันมาพักใหญ่ก็แค่ชักฟืนออกจากกองไฟ โหมโยนฟืนเข้ามาอีกเมื่อไรไฟก็พร้อมลุกโชนทันที

จะมีความหวังหน่อยก็ตรงที่บรรดาโหรน้อยใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่าวิบัติใหญ่ที่กำลังจะเกิดอาจเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย”

หลังปี 2557 ประเทศไทยจะโชติช่วงชัชวาล

แต่ไม่ยักบอกว่าฝ่ายไหนจะชนะ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++