โบราณสอนไว้นักหนา “ตั้งแง่เกินไป มันไม่งาม” ยิ่งหากเป็นการตั้งแง่เพราะหวังผลทางการเมือง หรือเป็นการเดินเกมทางการเมือง จนละเลยซึ่งผลประโยชน์ของประเทศชาติ นั่นยิ่งไม่งามเข้าไปใหญ่
อย่างกรณีที่การจัดงาน “คอนเสิร์ตเปรมดนตรี” ณ ห้องแอทธินี คริสตัน ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี รอยัล เมอริเดียน ซึ่งจัดขึ้นโดยวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับมหาวิทยาลัยทักษิณ มูลนิธิสวนประวัติศาสตร์พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เพื่อหารายได้สร้าง “หอเปรมดนตรี”
แนวคิดในการก่อสร้างหอเปรมดนตรีถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีความตั้งใจที่จะออกแบบให้เป็นเสมือนเครื่องหมายของความศิวิไลซ์ใหม่สำหรับชุมชนภาคใต้ ด้วยการออกแบบให้เป็นหอแสดงดนตรีที่มีระบบเสียงที่ดีที่สุด และแสดงดนตรีได้ทุกรูปแบบ โดยที่จะสร้างขึ้นในสวนสาธารณะ สวนประวัติศาสตร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา บรรจุผู้ชมได้ 400 ที่นั่ง
ออกแบบโดย นายชาตรี ลดาลลิตสกุล สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญด้านหอแสดงดนตรีชั้นนำของประเทศ โดยต้องการสร้างหอแสดงดนตรีสมัยใหม่ ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เชื่อมโยงถึงบุคลิกภาพของ พล.อ.เปรม
การจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะรณรงค์หารายได้เพื่อสมทบทุนสร้าง ซึ่งทาง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษได้เดินทางมาร่วมงานแถมยังขึ้นเวทีเล่นเปียโนและร้องเพลงในฝัน กับเพลง Somewhere ซึ่งเป็นเพลงที่พล.อ.เปรมแต่งเองอีกด้วย
งานนี้เสียดายที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดป่วยด้วยอาการอาหารเป็นพิษ(อย่างกระทันหัน) ก็เลยไม่ได้ไปร่วมงาน มีแต่เพียง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นตัวแทนรัฐบาลไปร่วมงาน นอกเหนือจากความเป็นคนที่สนิทสนมกับป๋า จนถูกมองว่าเป็นเด็กสายป๋ามาตลอด
และกลายเป็นประเด็นด้วยเช่นกันว่า ทั้งๆที่สนิทกับพล.อ.เปรม ทำไมนายกิตติรัตน์ จึงปล่อยให้การสร้างหอเปรมดนตรีต้องมาใช้การะดมทุนก่อสร้างเป็นหลักเช่นนี้ ทั้งๆที่มีงบประมาณที่จะสร้างหอประชุมขนาดใหญ่ทางภาคใต้ได้อยู่แล้ว
เพราะนายกิตติรัตน์ จะต้องจำได้เป็นอย่างดีว่า เมื่อครั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการอนุมัติงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง ให้จัดสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต มูลค่าประมาณ 2,600 ล้านบาท เอาไว้โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้รับผิดชอบดูแลโครงการ ซึ่งตอนนั้น นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นคนที่ลงไปดูพื้นที่ก่อสร้างจำนวน 150 ไร่ บริเวณหาดไม้ขาว
โดยตอนนั้นได้วางเป้าหมายให้ศูนย์ประชุมดังกล่าวเป็นสถานที่ใช้จัดประชุมระดับนานาชาติในภูมิภาคอาเซียน จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบวงจร รองรับผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 1.6 ล้านคนต่อปี โดยจะมีอาคารศูนย์ประชุมมีห้องประชุมขนาดใหญ่จุได้ถึง 4,000 คน ขนาดกลางจุได้ 2,500 คน และห้องประชุมขนาดเล็ก 4 ห้อง ๆ ละ 500 คน และห้องประชุมขนาดย่อย
นอกจากนี้ ยังมีอาคารจัดนิทรรศการ โรงแรมระดับ 4 ดาว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและผู้เข้าร่วมประชุม 350 ห้อง และมีพื้นที่จอดรถยนต์และรถบัสได้ถึง 1,000 คัน
เป้าหมายเพื่อส่งเสริมธุรกิจจัดการประชุม การท่องเที่ยว การแสดงนิทรรศการและสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่น จะสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตได้ถึง 2 ล้านคนต่อปี และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมีเงินหมุนเวียนถึง 20,000 ล้านบาท
แต่สุดท้ายโครงการนี้ก็แท้ง เพราะครม.รัฐบาลเพื่อไทย ได้มีมติเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2555 ยกเลิกงบประมาณในการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ซึ่งกระทรวงการคลังทั้งในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินราชพัสดุ เป็นคนดูแลโครงการ รวมทั้งหลังจากที่ ครม.มีมติ ล้มโครงการ ทางนายกิตติรัตน์ ก็ได้ถูกทางผู้ประการธุรกิจในภูเก็ตตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับการล้มโครงการ
จริงอยู่ที่ว่าคนภูเก็ตต้องการศูนย์แสดงสินค้านานาชาติและหอประชุมนานาชาติ ทั้งรอและผลักดันที่จะให้เกิดมาเป็น 10 ปีแล้วก็จริง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีการใช้ความต้องการของส่วนรวมไปเสนอโครงการแบบดื้อตาใส ไปเลือกที่ดินราชพัสดุ บริเวณหาดไม้ขาว ซึ่งคนภูเก็ตไม่ได้อยากได้ตรงนั้น แต่ว่ากันว่า
มีเจ้าของที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินตรงนั้น ต้องการที่จะให้เกิดศูนย์ฯขึ้นที่นั่น
ชนิดที่ไม่สนใจเรื่องการออกแบบ เรื่องผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของเต่าทะเลและสิ่งแวดล้อม ไม่ห่วงแม้กระทั่งเรื่องการเป็นจุดล่อแหลมต่อเรื่องพายุ เรื่องสึนามิ ที่เคยถล่มภูเก็ตมาแล้ว รวมทั้งไม่สนข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่เคยว่าจ้างบริษัททำการวิจัยจากประเทศสิงคโปร์ที่ชี้แนะให้สร้างตรงบริเวณปลายแหลมสะพานหิน
ว่ากันว่าเหตุผลเหล่านี้เองที่ทำให้คณะรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ตัดสินใจยกเลิกและยุบการก่อสร้างหอประชุมนานาชาติที่บริเวณหาดไม้ขาว โดยอ้างในทำนองว่ามีกรณีส่อไปในทางที่ไม่ค่อยจะสุจริตสักเท่าใดนัก
ฉะนั้นนายกิตติรัตน์ย่อมต้องรู้ดีว่า มีงบประมาณส่วนนี้อยู่ในมือกระทรวงคลัง
ประเด็นที่ บางกอก ทูเดย์ หยิบเรื่องนี้มาพูดไม่ใช่กรณีของการล้มศูนย์ประชุมนานาชาติที่ภูเก็ต เพราะในเมื่อโครงการไทยเข้มแข็งหลายโครงการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนถึงกรณีการมีปัญหา หากโครงการที่ภูเก็ตจะถูกล้มก็ไม่แปลก
แต่นายกิตติรัตน์ ย่อมจะต้องจำได้เป็นอย่างดีว่า ครั้งนั้น ครม.ได้นำงบดังกล่าวเอาไปรวมไว้กับงบประมาณสาขาเศรษฐกิจอื่นๆ โดยที่ยังไม่ได้มีการทำอะไร
ตรงนี้แหละที่เป็นประเด็นที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าแล้วทำไมนายกิตติรัตน์ ไม่ใช้ประโยชน์จากงบประมาณก้อนนี้ที่ถูกโยกไปดอง เอามาทำโครงการในลักษณะ “ทู อิน วัน”ให้กิ๊บเก๋ยูเรก้า และเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศชาติไปด้วยกันในคราวเดียว
นั่นคือ แทนที่จะต้องมารณรงค์บริจาคเพื่อการกุศลเอาไปสร้าง หอเปรมดนตรี ก็ทำไมไม่เอางบโครงการสร้างศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ตก้อนนั้นมาใช้ แล้วสร้างเป็นศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ตที่สงขลา
แล้วมีหอเปรมดนตรีอยู่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการไปด้วยเลย
เพราะตามแผนเดิมที่ออกแบบไว้จะมีอาคารศูนย์ประชุม ที่มีห้องประชุมขนาดใหญ่จุได้ถึง 4,000 คน ห้องขนาดกลางจุได้ 2,500 คน และห้องประชุมขนาดเล็ก 4 ห้อง ๆ ละ 500 คน อยู่แล้ว
ซึ่งหอเปรมดนตรีนั้น ต้องการความจุคนเพียงแค่ 400 คน หรือแค่ใกล้เคียงกับห้องประชุมขนาดเล็กเพียงห้องเดียวเท่านั้นเอง
เดิมวางไว้ 4 ห้อง ก็ให้เหลือแค่ 3 ห้อง แล้วเอามาใช้เป็นหอเปรมดนตรีเสีย 1 ห้อง ก็เท่านั้นเอง
ในขณะที่ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นนั้นมีมากมายมหาศาลกว่ากันเยอะอย่างแน่นอน
ต่างชาติที่จะมาใช้ศูนย์ประชุมนานาชาติ ก็มีโอกาสที่จะแวะเวียนมาเยี่ยมชมเอกลักษณ์ทางดนตรีของไทยได้ที่หอเปรมดนตรี ในขณะที่ผู้คนที่จะมาใช้บริการหอเปรมดนตรี ก็จะมีศูนย์แสดงสินค้านานาชาติเป็นจุดแวะเที่ยวเพิ่มขึ้นได้อีกเช่นกัน
ปัญหาก็คือ เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เป็นประโยชน์ต่อระเทศชาติแบบนี้ทำไมนายกิตติรัตน์จึงไม่ทำ???
จริงอยู่การที่จะเรี่ยไรเงินปลูกสร้างหอเปรมดนตรีเพียงอย่างเดียวโดดๆ เชื่อว่าสามารถทำได้ไม่น่าเป็นเรื่องยากที่จะขอรับบริจาค แต่มันจะดูดีกว่าหรือไม่ ดูมีเกียรติภูมิกว่าหรือไม่ หากเอางบประมาณที่มีอยู่แล้วมาใช้ให้เป็นโครงการที่อลังการมากขึ้น
ถ้าไม่ทำเพราะโยกงบประมาณไปใช้อย่างอื่นหมดแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้อยู่ แต่เท่าที่รู้รัฐบาลยังไม่ได้มีการใช้งบตัวนี้แต่อย่างใด จึงต้องถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง หากว่าเหตุผลที่นายกิตติรัตน์ไม่คิดจะทำนั้นเป็นเพราะกลัวเสียฟอร์ม
บางครั้ง บางเรื่องอย่าคิดในเกมการเมืองให้มากจนเกินไปนักเลย... จะเครียดแล้วท้องผูกเสียเปล่าๆ
สู้เปิดใจให้กว้าง แล้วนึกถึงประเทศชาติเป็นหลักเอาไว้ก่อน นั่นแหละดีที่สุดล่ะ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น