--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

เปิดเอกสารฝ่ายไทย สู้คดีปราสาทพระวิหาร !!?


กองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงต่างประเทศ เผยแพร่เอกสารสรุปสาระสำคัญของคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรของฝ่ายไทยกรณีกัมพูชายื่นคำขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 ผ่านเว็บไซต์ www.phraviharn.org  โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.คำฟ้องของกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชายื่นคำขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษา คดีปราสาทพระวิหารปี 2505 สรุปสาระสาคัญได้ ดังนี้

1.1 กัมพูชาระบุว่า ไทยและกัมพูชามีความเห็นต่างกันเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 ดังนี้

1.1.1 กัมพูชาเห็นว่า คำพิพากษาศาลในคดีเดิมอยู่บนพื้นฐานของการมีอยู่แล้วของเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ ซึ่งถูกกำหนด และได้รับการยอมรับโดยประเทศทั้งสองแล้ว

1.1.2 ตัดสินกัมพูชาเห็นว่า เส้นเขตแดนดังกล่าวถูกกำหนดโดยแผนที่ที่ศาลได้อ้างถึงในหน้า 21 ของคำพิพากษา " แผนที่ภาคผนวก 1" ซึ่งแผนที่ดังกล่าวทำให้ศาลสามารถได้ว่า อธิปไตยกัมพูชาเหนือปราสาทเป็นผลโดยตรงและอัตโนมัติของอธิปไตยกัมพูชาเหนือดินแดนอันเป็นที่ตั้งของปราสาท

1.1.3 กัมพูชาเห็นว่า พันธกรณีของไทยในการถอนทหารและเจ้าหน้าที่ ออกจากบริเวณใกล้เคียงปราสาทบนดินแดนของกัมพูชา เป็นพันธกรณีที่มีลักษณะทั่วไปและต่อเนื่อง และเป็นผลมาจากอธิปไตยแห่งดินแดนของกัมพูชา ที่ศาลได้ยอมรับในบริเวณดังกล่าว

1.2 กัมพูชาอ้างว่า โดยที่ “ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา” (วรรคปฏิบัติการที่ 1 ของคาพิพากษาปี 2505) เป็นผลจากข้อเท็จจริงที่ว่าปราสาทตั้งอยู่ในฝั่งกัมพูชาของเส้นเขตแดนที่ศาลได้ยอมรับในคำพิพากษาเดิม กัมพูชาจึงขอให้ศาลตัดสินในคดีตีความนี้ว่า พันธกรณีสาหรับไทยในการ “ถอนกองกาลังทหาร หรือตำรวจ หรือผู้เฝ้ารักษา หรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยได้ส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาท หรือในบริเวณใกล้เคียงปราสาทบนดินแดนกัมพูชา (วรรคปฏิบัติการที่ 2 ของคาพิพากษาปี 2505) เป็นผลโดยเฉพาะของพันธกรณีทั่วไป และต่อเนื่องในการเคารพซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา โดยดินแดนดังกล่าวได้รับการกำหนดในบริเวณปราสาท และบริเวณใกล้เคียงปราสาทโดยเส้นแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งศาลใช้เป็นพื้นฐานของคำพิพากษา

โดยสรุป กัมพูชาอ้างว่าคำพิพากษาเดิมไม่ชัดเจน และไทยยังไม่ได้ปฏิบัติตาม โดยยังมิได้ถอนกำลังทหาร หรือตำรวจออกจากบริเวณใกล้เคียงปราสาท โดยกัมพูชาให้เหตุผลว่า วรรคปฏิบัติการที่ 2 ของ คำพิพากษาเดิมไม่ระบุชัดเจนว่า “บริเวณใกล้เคียงปราสาท” ครอบคลุมพื้นที่แค่ไหน ดังนั้น กัมพูชาจึงขอให้ศาลตัดสินว่า ขอบเขตของ “บริเวณใกล้เคียงปราสาท” จะต้องเป็นไปตามเส้นเขตแดนที่ปรากฏบน “แผนที่ภาคผนวก 1” ซึ่งแนบท้ายคำฟ้องของกัมพูชาในคดีเดิม
ตามที่กัมพูชาถ่ายทอดเส้นดังกล่าวในปัจจุบัน ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเห็นว่าบริเวณดังกล่าว มีขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร

2. ข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษร (Written Observations) ของไทย เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 ไทยได้ยื่นข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ศาล โดยข้อสังเกตดังกล่าวแบ่งออกเป็น 7 บท สรุปสาระสาคัญได้ ดังนี้

2.1. บทที่ 1 : บทนำ ระบุเกี่ยวกับ

2.1.1 ลำดับกระบวนพิจารณาของศาล ตั้งแต่กัมพูชายื่นคาขอตีความ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 การออกคาสั่งมาตรการชั่วคราว เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2554 และการที่ศาลกำหนดให้ไทยยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554

2.1.2 ข้อบทปฏิบัติการของคำพิพากษาปี 2505 และคำขอตีความของกัมพูชาในปี 2554 โดยชี้ว่า คำขอตีความของกัมพูชามีความวกวน และมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้ศาลตัดสินในประเด็น ที่ศาลได้ปฏิเสธอย่างชัดแจ้งแล้วที่จะตัดสิน ในคดีเดิมเมื่อปี 2505 ว่า เส้นเขตแดนเป็นไปตาม “แผนที่ภาคผนวก 1” หรือไม่

2.1.3 การปฏิบัติตามคำพิพากษาปี 2505 ของไทย ซึ่งรวมถึงการออกมติคณะรัฐมนตรี ปี 2505 และการก่อสร้างรั้วลวดหนามพร้อมป้ายที่แสดงขอบเขตของ “บริเวณใกล้เคียงปราสาท” อันเป็นการกำหนดพื้นที่ที่ถอนกองกำลังไทยออกแล้วและกองกำลังไทยจะต้องอยู่ภายนอกพื้นที่นี้ในอนาคต ซึ่งกัมพูชาล้วนตระหนักดีเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวของไทย

2.1.4 การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (เอ็มโอยู) ปี 2543 ซึ่งไม่มีการอ้างถึงคำพิพากษาปี 2505 จึงเป็นการบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าคำพิพากษาไม่มีความเกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตแดน แต่ต่อมากัมพูชาได้ละทิ้งท่าทีดังกล่าว รวมทั้งท่าที
ที่กัมพูชายึดถือมาตั้งแต่ปี 2505 ว่า ไทยได้ปฏิบัติตาม คำพิพากษาปี 2505 แล้ว เนื่องจากกัมพูชาต้องการพื้นที่เพิ่มเติมสำหรับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวของกัมพูชา

2.1.5 เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนที่เกิดขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ไม่มีครั้งใดที่ปรากฏว่า มีการรุกล้ำของกองกำลังไทยเข้าไปใน “ปราสาทหรือบริเวณใกล้เคียงบนดินแดนกัมพูชา” จึงไม่ใช่หลักฐาน การไม่ปฏิบัติตามคาพิพากษาปี 2505 ของไทย ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากการที่กัมพูชามุ่งที่จะเข้ามา มีอำนาจเหนือพื้นที่ซึ่งกว้างใหญ่กว่าที่กัมพูชาเคย
พึงพอใจในอดีต

2.2 บทที่ 2 : ข้อพิพาทในกระบวนการพิจารณาในคดีเดิม (2502-2505) ในบทนี้ ไทยได้วิเคราะห์ขอบเขตของข้อพิพาทในกระบวนการพิจารณาในคดีเดิม ทั้งในชั้นข้อคัดค้านเบื้องต้น (Preliminary Objections Phase) และในชั้นเนื้อหาสาระของคดี (Merits Phase) โดยชี้ให้เห็นว่า ขอบเขตของข้อพิพาทดังกล่าวจำกัดเฉพาะประเด็นอธิปไตยเหนือปราสาท
พระวิหาร โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องเขตแดน ดังนี้

2.2.1 หนังสือประท้วงของฝรั่งเศสในปี 2492 รวมทั้งหนังสือประท้วงของกัมพูชาใน ปี 2497 ต่างต้องการให้ไทยถอนกำลังออกจาก “ซากหักพังของปราสาทพระวิหาร” โดยอ้างว่าซากหักพังดังกล่าวอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา

2.2.2 คำร้องเริ่มคดีของกัมพูชาในปี 2502 มีความชัดเจนว่า กัมพูชาได้กำหนดขอบเขตของข้อพิพาทเฉพาะอธิปไตยบน “ ดินแดนผืนหนึ่ง...ซึ่งซากหักพังของปราสาทตั้งอยู่” และไม่ได้ขอให้ ศาลตัดสินเรื่องเขตแดน

2.2.3 คำให้การของคู่ความทั้งที่เป็นข้อเขียนและทางวาจา และคำพิพากษาของศาลในชั้นข้อคัดค้านเบื้องต้นต่างชี้ว่า ข้อพิพาทในคดีเดิมจำกัดเฉพาะอธิปไตยเหนือปราสาท

2.2.4 เป็นหลักการที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า ศาลไม่สามารถพิพากษาเกินกว่าคำขอของคู่ความที่ศาลรับไว้พิจารณา (non ultra petita) ดังนั้น การประเมินประเด็นคำขอตามที่ศาลรับไว้พิจารณา (petitum) ในคดีเดิมจึงจำเป็นสาหรับการเข้าใจขอบเขตของประเด็นที่ได้รับการตัดสินไปแล้วให้ผูกพันคู่ความ (res judicata) ซึ่งจาเป็นสำหรับการพิจารณาว่ากัมพูชามี
อำนาจฟ้องในคดีตีความนี้หรือไม่

2.2.5 คำให้การของคู่ความทั้งที่เป็นข้อเขียนและทางวาจาในชั้นเนื้อหาสาระในคดีเดิม ต่างชี้ว่า ประเด็นแห่งข้อพิพาทในปี 2502-2505 จากัดเฉพาะอธิปไตยเหนือปราสาท และประเด็นดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องกับเขตแดน โดยศาลนำ “แผนที่ภาคผนวก 1” มาใช้เพียงเพื่อชี้ตาแหน่งที่ตั้งของปราสาท และไม่ใช่เพื่อกำหนดเส้นเขตแดนในบริเวณดังกล่าว

2.2.6 ขอบเขตของข้อพิพาทในคดีเดิมตามที่กัมพูชาได้ยื่นให้ศาลพิจารณาตั้งแต่แรกเริ่ม ได้เปลี่ยนแปลงในช่วงสุดท้ายของกระบวนการพิจารณา โดยกัมพูชาได้พยายามที่จะขยายขอบเขตคำขอของตนให้ครอบคลุมเรื่องเขตแดนด้วย ซึ่งศาลฯ ก็ได้ปฏิเสธคำขอดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้ว

2.3 บทที่ 3 : ความหมายและขอบเขตของคาพิพากษาปี 2505 ในบทนี้ ไทยชี้ให้เห็นว่า คำพิพากษาปี 2505 และสิ่งที่ศาลฯ ตัดสินครอบคลุมเพียงอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเท่านั้น และศาลไม่ได้ตัดสินเรื่องเส้นเขตแดน หรือสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1 ดังนี้

2.3.1 ในคำพิพากษาศาลเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ในชั้นเนื้อหาสาระของคดี (Merits Phase) ศาลได้ตอบคำขอที่กัมพูชายกขึ้นในคำร้องเริ่มคดี (เรื่องอธิปไตยเหนือปราสาทและเรื่องการถอนเจ้าหน้าที่ทหารไทยออกจากบริเวณสิ่งหักพังของปราสาท) และตอบคำขอเพิ่มให้ในประเด็นที่ให้ไทยคืน “วัตถุทางวัฒนธรรม” ซึ่งเป็นประเด็นที่กัมพูชายกขึ้นในภายหลังระหว่างกระบวนการพิจารณาคดี แต่ศาลปฏิเสธอย่างชัดแจ้งที่จะตอบคำขอของกัมพูชาที่จะขยายประเด็นแห่งคดีให้รวมถึงการกำหนดเขตแดนระหว่างไทย กับกัมพูชา และสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1

2.3.2 ขอบเขตและเนื้อหาของบทปฏิบัติการของคำพิพากษาปี 2505 ชี้ให้เห็นว่า โดยผลลัพธ์นั้น ศาลตัดสินเพียงประการเดียวว่าปราสาทตั้งอยู่บนดินแดนซึ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา (วรรคปฏิบัติการที่ 1) ส่วนพันธกรณีในการถอนทหาร (วรรคปฏิบัติการที่ 2) และพันธกรณีในการคืนวัตถุทางวัฒนธรรม (วรรคปฏิบัติการที่ 3) นั้น เป็นผลที่เกิดขึ้นตามมาโดยอัตโนมัติของการที่กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาท ไม่ว่ากัมพูชาจะขอศาลตัดสินในประเด็นดังกล่าวด้วยหรือไม่ก็ตาม

2.3.3 ในคำพิพากษาปี 2505 ศาลได้จำกัดขอบเขตของข้อพิพาทไว้เพียงอธิปไตยเหนือปราสาท เส้นเขตแดนและแผนที่ต่างๆ เกี่ยวข้องเพียงเท่าที่สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับประเด็นอธิปไตยนี้ แต่ไม่อาจยกขึ้นมาเป็นประเด็นที่ศาลต้องตัดสินชี้ขาด

2.3.4 ขอบเขตและเนื้อหาของบทปฏิบัติการถูกจากัดโดยคำขอตามที่ศาลรับไว้พิจารณา (petitum) และคำขอที่ศาลรับไว้พิจารณาในคดีนี้คือ อธิปไตยเหนือปราสาท ตามที่ปรากฏในคำแถลง สรุปสุดท้ายของกัมพูชาข้อ 3 และในคำร้องเริ่มคดี (“ดินแดนผืนหนึ่งซึ่งบริเวณสิ่งหักพังของปราสาทตั้งอยู่”) ซึ่งกัมพูชาเองต้องเห็นว่า “ดินแดนผืนหนึ่งของกัมพูชา” มีพื้นที่จำกัด มิเช่นนั้นก็คงไม่มีเหตุผลประการใด ที่กัมพูชาจะขอขยายประเด็นแห่งคดีให้รวมถึงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา และสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1

ด้วยเหตุนี้ เนื้อหาของวรรคปฏิบัติการที่ 1 ของคำพิพากษา (ปราสาทตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยกัมพูชา) จึงมีขอบเขตที่จำกัด และพันธกรณีในการถอนทหารและคืนวัตถุโบราณ (วรรคปฏิบัติการที่ 2 และ 3) ซึ่งเป็นผลที่ตามมาของวรรคปฏิบัติการที่ 1 จึงมีขอบเขตพื้นที่ที่จำกัดด้วยเช่นกัน

2.3.5 นอกจากนี้ พันธกรณีในการถอนกำลังตามวรรคปฏิบัติการที่ 2 ศาลฯ นั้น ก็ระบุด้วยว่า เป็นการยอมรับตามคำแถลงสรุปสุดท้ายของกัมพูชาข้อ 4 ซึ่งขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดให้ไทยถอนกำลังทหารจาก “บริเวณสิ่งหักพังของปราสาทพระวิหาร” ดังนั้น คำว่า “ณ ปราสาทหรือบริเวณใกล้เคียงบนดินแดนกัมพูชา” ในวรรคปฏิบัติการที่ 2 จึงหมายความถึง “บริเวณสิ่งหักพังของปราสาทพระวิหาร” นั่นเอง

2.3.6 การวิเคราะห์ถ้อยคำต่างๆ ที่ศาลใช้ในคำพิพากษาปี 2505 ได้แก่ “ปราสาท” ในวรรคปฏิบัติการที่ 1 “ณ ปราสาทหรือบริเวณใกล้เคียงบนดินแดนกัมพูชา” ในวรรคปฏิบัติการที่ 2 และ “พื้นที่ปราสาท” ในวรรคปฏิบัติการที่ 3 ต่างแสดงให้เห็นถึงขอบเขตพื้นที่ที่จากัดและเป็นการยืนยันว่าคำพิพากษา ปี 2505 มีขอบเขตทางพื้นที่ที่จากัด

2.3.7 ศาลใช้เส้นแผนที่ภาคผนวก 1 ในส่วนเหตุผลของคำพิพากษาเพียงเพื่อชี้ว่าปราสาทเป็นของกัมพูชาหรือของไทย

2.4 บทที่ 4 : ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาและกัมพูชาไม่มีอานาจฟ้อง ไทยชี้ให้ศาลเห็นว่า ศาลไม่มีอานาจในการตีความและไม่ควรรับคดีไว้พิจารณา การที่ศาลวินิจฉัยว่า ศาลมีอำนาจเบื้องต้น ในชั้นคำสั่งออกมาตรการชั่วคราวไม่ได้หมายความว่าศาลจะมีอานาจในการพิจารณาคำขอตีความอันเป็นคดีหลัก โดยยกเหตุผล ดังนี้

2.4.1 ไทยและกัมพูชาไม่มีข้อพิพาทเรื่องความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 เนื่องจากคาพิพากษาดังกล่าวมีความชัดเจนอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการวินิจฉัยว่า ไทยหรือกัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาท ศาลไม่จาเป็นต้องวินิจฉัยเรื่องขอบเขตของดินแดนของแต่ละฝ่าย และขอบเขตของพันธกรณีในการถอนทหาร ณ ปราสาทหรือบริเวณ
ใกล้เคียงบนดินแดนกัมพูชา ในวรรคปฏิบัติการที่ 2 ซึ่งเป็นผลมาจากอธิปไตยเหนือปราสาทในวรรคปฏิบัติการที่ 1 ย่อมไม่อาจเกินขอบเขตของวรรคปฏิบัติการที่ 1 ได้

2.4.2 ไม่มีข้อพิพาทระหว่างคู่กรณีในประเด็นว่าไทยได้ปฏิบัติตามคาพิพากษาแล้ว และกัมพูชาได้ยอมรับแล้ว โดยมีหลักฐานหลายประการ อาทิ เอกสารต่างๆ ในปี 2505 โดยเฉพาะถ้อยแถลงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาต่อสมัชชาสหประชาชาติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2505 ว่าไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว การเสด็จยังปราสาทของเจ้าสีหนุในวันที่ 5 มกราคม 2506 และพฤติกรรมของกัมพูชาในภายหลังที่แสดงว่าพอใจกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาของไทยแล้ว

นอกจากนี้ ข้อพิพาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษา หากปรากฏอยู่จริง ก็อยู่นอกขอบเขตของข้อ 60 ของธรรมนูญศาลเกี่ยวกับ การตีความ

2.4.3 วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกัมพูชาที่ยื่นคำขอต่อศาลในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อการตีความ แต่เพื่อให้ศาลตัดสินประเด็นเรื่องเขตแดน ซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลไม่ได้ตัดสินไว้ในคำวินิจฉัยเมื่อปี 2505

2.5 บทที่ 5 : การตีความที่ผิดของกัมพูชาเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 ไทยชี้ให้ศาลฯ เห็นว่า กัมพูชาเข้าใจความหมายของคำพิพากษาผิดในประเด็นที่สาคัญต่าง ๆ 3 ประเด็น ซึ่งในบทนี้ ฝ่ายไทยมุ่งโต้แย้งการตีความคำพิพากษาของกัมพูชา โดยยืนยันว่า

2.5.1 การที่กัมพูชาตีความคำพิพากษาในประเด็นว่า ศาลตัดสินเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย เหนือดินแดนเป็นการตีความที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง และแผนที่ไม่ใช่เหตุผลสาคัญที่ไม่อาจแยกออกจากบทปฏิบัติการ

2.5.2 พันธกรณีของไทยที่จะต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่ไม่ใช่พันธกรณีต่อเนื่อง (Continuing Obligation) หากแต่เป็นพันธกรณีที่เฉพาะเจาะจงและในทันที “specific and immediate obligations” และ

2.5.3 ไทยได้ถอนกำลังเจ้าหน้าที่แล้วเมื่อปี 2505

2.6 บทที่ 6 : รายงานของผู้เชี่ยวชาญแผนที่ของฝ่ายไทย รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า

2.6.1 การถ่ายทอดเส้นบนแผนที่ภาคผนวก 1 ลงในแผนที่สมัยใหม่หรือลงในภูมิประเทศจริง จะเกิดความผิดพลาด ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด และไม่สามารถเชื่อถือได้ เนื่องจากเทคนิคในการถ่ายทอดมีหลายวิธี ซึ่งจะทาให้เกิดเส้นผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน และไม่มีเหตุผลสนับสนุนว่า วิธีการถ่ายทอดวิธีใดเหมาะสมกว่าวิธีอื่น ซึ่งความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากการใช้วิธีการต่าง ๆ กันอาจเป็นผลให้เกิดความแตกต่างในพื้นที่กว้างหลายกิโลเมตร ดังนั้น หากศาลจะตัดสินให้ใช้แผนที่ภาคผนวก 1 แทนที่จะเป็นการแก้ไขปัญหา กลับจะสร้าง ข้อพิพาทใหม่ให้คู่กรณี โดยเฉพาะในการเลือกจุดอ้างอิง

2.6.2 International Boundary Research Unit (IBRU) ค้นพบแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 อีกฉบับหนึ่งซึ่งแตกต่างจากแผนที่ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชายื่นต่อศาล

2.6.3 ดังนั้น ศาลจึงไม่ควรตัดสินว่า ให้เส้นเขตแดน หรือเส้น “บริเวณใกล้เคียง (vicinity)” เป็นไปตามแผนที่ภาคผนวก 1

2.7 บทที่ 7: บทสรุปและคำแถลง

ไทยขอให้ศาลตัดสินว่า

2.7.1 ศาลไม่มีอานาจที่จะตีความและไม่สามารถรับคดีไว้พิจารณา

2.7.2 หรือหากศาลเห็นว่า ศาลมีอำนาจและสามารถรับคดีไว้พิจารณาได้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ศาลฯ จะตีความคำพิพากษา ปี 2505

2.7.3 หรือหากศาลเห็นว่าตนเองมีเหตุผลที่จะตีความคาพิพากษาดังกล่าวแล้ว ก็ขอให้ศาลตัดสินว่า คำพิพากษาศาล ในปี 2505 มิได้ตัดสินว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตาม “แผนที่ภาคผนวก 1”

3. คำตอบ (Response) ของกัมพูชา เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2555 กัมพูชาได้ยื่นคำตอบแก่ศาล โดยคาตอบดังกล่าวแบ่งออกเป็น 5 บท สรุปสาระสาคัญได้ ดังนี้

3.1 บทนำ กัมพูชาระบุว่า ข้อสรุปของฝ่ายไทยในข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษรไม่ถูกต้อง บิดเบือนข้อเท็จจริง และเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ถึง 5 ประการ ได้แก่

3.1.1 กัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษา ปี 2505 แต่ไทยกลับหยิบยกเรื่องการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลเป็นข้อต่อสู้ ซึ่งเป็นคนละประเด็น

3.1.2 ไทยกล่าวหาว่า คำขอของกัมพูชามีนัยเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษา หรือขอให้ศาล ทบทวนคดี ทั้ง ๆ ที่กัมพูชากล่าวย้ำเสมอว่าต้องการขอตีความคำพิพากษา ซึ่งแตกต่างกัน

3.1.3 ไทยยกข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังจากคำพิพากษา เพื่ออ้างว่ากัมพูชาได้ยอมรับ การปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว และไม่สามารถขอให้ศาลตีความได้ ทั้งๆ ที่การตีความคำพิพากษาจะต้องพิจารณาจากตัวบทของคำพิพากษาเท่านั้น

3.1.4 กัมพูชาไม่ได้กล่าวอ้างว่า ศาลในปี 2505 ได้ปักปันเขตแดนบนพื้นฐานของเส้น บนแผนที่ภาคผนวก 1 ตามที่ไทยกล่าวหา และศาลไม่ได้ปักปันเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชาขึ้นใหม่ เพียงแต่ยอมรับเส้นเขตแดนระหว่างประเทศที่มีอยู่แล้ว

3.1.5 ไทยหลีกเลี่ยงที่จะอธิบายว่าเพราะเหตุใดแผนที่ภาคผนวก 1 ไม่ใช่เหตุผลสำคัญ ที่ไม่อาจแยกจากคำพิพากษาได้ และไม่สามารถตีความได้

นอกจากนี้ กัมพูชาต่อสู้ว่า การที่ไทยนาเสนอว่า ศาลต้องจำกัดขอบเขตของคำพิพากษาตามที่คู่ความคิดหรือกระทำเป็นการแทรกแซงบูรณภาพและความเป็นอิสระของการดำเนินกระบวนการยุติธรรมของศาล

3.2 บทที่ 2: ข้อเท็จจริงที่แสดงว่ากัมพูชาไม่เคยยอมรับการตีความฝ่ายเดียวของไทย กัมพูชาชี้ให้เห็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงของไทยในข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษร และนำเสนอข้อมูลเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาไม่เคยยอมรับการตีความฝ่ายเดียวของไทย นอกจากนี้ การประท้วงต่าง ๆ ของกัมพูชาเกี่ยวกับรั้วลวดหนามตามมติคณะรัฐมนตรีไทยปี 2505 ในหลายโอกาส สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชาปฏิเสธที่จะยอมรับการปฏิบัติตาม คำพิพากษาของไทยมาอย่างต่อเนื่อง และความขัดแย้งในการยื่นขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 2550 ทำให้สามารถสรุปได้ว่า มีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคาพิพากษา ซึ่งข้อพิพาทดังกล่าวคือเหตุผลที่กัมพูชาได้ขอให้ศาลตีความในครั้งนี้

3.3 บทที่ 3 อำนาจศาลและอานาจฟ้อง: เงื่อนไขสำหรับศาลในการตีความคไพิพากษามีครบถ้วนในคดีนี้กัมพูชานำเสนอเหตุผลสนับสนุนว่า ศาลมีอำนาจที่จะพิจารณาคาขอตีความคำพิพากษาฯ ของกัมพูชา ซึ่งสอดคล้องกับเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่ศาล และศาลสถิตยุติธรรมระหว่างประเทศได้กำหนดไว้ในคดีก่อน ๆ ทั้งในประเด็นอำนาจของศาล (Jurisdiction) และอำนาจฟ้อง (admissibility) กล่าวคือ มีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษา ปี 2505 ทั้งนี้ ระยะเวลาที่ล่วงเลยกว่า 50 ปีไม่ทาให้สิทธิในการขอตีความคำพิพากษาเสียไป และกัมพูชาไม่ได้ยื่นขอให้ศาลตีความในประเด็นที่ศาลไม่ได้รับพิจารณา ในปี 2505

3.4 บทที่ 4: การตีความที่มีความจำเป็นตามคำขอของกัมพูชา กัมพูชานาเสนอเหตุผลความจำเป็นในการตีความคำพิพากษา และแนวทางการตีความคำพิพากษาที่กัมพูชาเห็นว่าถูกต้อง โดยวิเคราะห์ ความเชื่อมโยงระหว่างบทปฏิบัติการกับส่วนเหตุผลของคำพิพากษา ตามแนวทางคาตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการและศาลระหว่างประเทศอื่น ๆ ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเหตุผลที่ไม่อาจแยกจากบทปฏิบัติการได้และมีสถานะเป็นสิ่งที่ศาลได้ตัดสินให้มีผลผูกพัน (res judicata) ดังนั้น ศาลฯ จึงสามารถตีความได้

นอกจากนี้ กัมพูชาได้ยืนยันการตีความคำพิพากษา ตามคำขอของกัมพูชาวันที่ 28 เมษายน 2554 พร้อมกับโต้แย้งการตีความคำพิพากษาของไทยว่า

3.4.1 กัมพูชาไม่ได้ขอให้ศาลทบทวนคำพิพากษา

3.4.2 กัมพูชาไม่ได้ขอให้ศาลชี้ขาดเรื่องเขตแดน และการที่ฝ่ายไทยแยกประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนกับข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนว่าเป็นคนละประเด็นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะข้อพิพาท ทั้งสองประเภทมีความสัมพันธ์กันโดยตรง

3.4.3 การปฏิบัติตามคำพิพากษาของไทยเป็นการตีความฝ่ายเดียวที่ไม่ผูกพันกัมพูชา

3.4.4 พันธกรณีในการถอนทหารตามวรรคปฏิบัติการที่ 1 ของคำพิพากษาฯ เป็นพันธกรณี ที่ต่อเนื่อง

3.5 บทที่ 5: บทสรุปและคำแถลง

ไทยเป็นฝ่ายที่พยายามโน้มน้าว ให้ศาลทบทวนและอุทธรณ์คำพิพากษา อีกทั้งข้อสังเกต เป็นลายลักษณ์อักษรและเอกสารภาคผนวกของไทยมีเนื้อหาสาระไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาของศาล ในการตีความคำพิพากษาปี 2505 ซึ่งไม่สามารถลบล้างเหตุผลของกัมพูชาที่แสดงให้เห็นว่า ศาลสามารถตีความคำพิพากษาได้ และการตีความที่ถูกต้องอยู่บนพื้นฐานของแผนที่ภาคผนวก 1

4. คำอธิบายเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษร (Further Written Explanations) ของไทย เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2555 ไทยได้ยื่นคำอธิบายเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ศาล โดยคำอธิบายดังกล่าวแบ่งออกเป็น 5 บท สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

4.1 บทที่ 1 : บทนำ ฝ่ายไทยได้กล่าวถึงจุดอ่อนที่สาคัญของคำอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษรของกัมพูชา ได้แก่

4.1.1 คำขอตีความคำพิพากษาปี 2505 ของกัมพูชามีความสับสน และขาดความสอดคล้องกัน อาทิ เดิมใช้บทปฏิบัติการที่ 2 ของคำพิพากษาฯ ปี 2505 เป็นพื้นฐานในการขอให้ศาลตีความคำพิพากษาปี 2505 ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นมาใช้บทปฏิบัติการที่ 1 เป็นพื้นฐานด้วย

4.1.2 ข้อต่อสู้ของกัมพูชาเกี่ยวกับแผนที่ภาคผนวก 1 (Annex I) ที่ว่าแผนที่ฉบับดังกล่าวเป็นเหตุผลสำคัญประการเดียวของผลคำพิพากษา ซึ่งไม่มีความเป็นเหตุเป็นผล และไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

4.1.3 กัมพูชาไม่ตอบบทวิเคราะห์คำพิพากษาและบริบทของการตัดสินของศาลในปี 2505 และประเด็นข้อเท็จจริงเรื่องแผนที่ระวางดงรักที่ไทยได้นำเสนอในข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษรของไทย

4.1.4 กัมพูชาบิดเบือนข้อเท็จจริงหลายประการ อาทิ

4.1.4.1 อ้างว่าไทยขอให้ศาล แก้ไขคำพิพากษาปี 2505

4.1.4.2 อ้างว่าแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา และสร้างหลักฐานทางแผนที่ที่ไม่ถูกต้อง

4.1.4.3 พยายามชี้นำว่า การที่ศาลในปี 2505 ไม่รับพิจารณาประเด็นเส้นเขตแดนและสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเพียงเพราะเหตุผลทางกระบวนการพิจารณาคดี (ขอช้าไป) ทั้งที่จริงแล้วมีนัยด้านสารัตถะที่สาคัญ (ขอเพิ่มนอกขอบเขตคาฟ้อง)

4.2 บทที่ 2 : สาระสาคัญของข้อพิพาทปี 2505 และข้อพิพาทที่กัมพูชาเสนอต่อศาล ในปี 2554

4.2.1 นำเสนอความแตกต่างระหว่างข้อพิพาทที่ศาลได้ตัดสินในปี 2505 และข้อพิพาท ที่กัมพูชาเสนอต่อศาลในปัจจุบัน กล่าวคือ ข้อพิพาทเมื่อปี 2505 เป็นเรื่องอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลได้ตัดสินไปแล้ว แต่ประเด็นที่กัมพูชาเสนอให้ศาลตีความเป็นพื้นที่นอกเหนือจากตัวปราสาท พระวิหารและตาแหน่งของเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา

4.2.2 เมื่อข้อพิพาทในปี 2505 กับประเด็นที่กัมพูชาขอให้ศาลตีความไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ศาลก็ไม่สามารถตีความได้

4.3 บทที่ 3 : อำนาจศาล

4.3.1 ไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับขอบเขตและความหมายของคำพิพากษา ในปี 2505 ซึ่งเป็นเงื่อนไขสาคัญในการขอตีความ ดังนั้น กัมพูชาไม่มีอานาจฟ้อง และศาลไม่สามารถตีความคำพิพากษาตามที่กัมพูชาร้องขอได้

4.3.2 ศาลในปี 2505 ไม่รับพิจารณาประเด็นสถานะของแผนที่ภาคผนวก 1 และตาแหน่งของเส้นเขตแดน ซึ่งมีผลทำให้ประเด็นดังกล่าวทั้งสองไม่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ศาลสามารถตีความได้ กล่าวคือ สิ่งที่ศาลได้ตัดสินให้มีผลผูกพัน

4.3.3 ความพยายามของกัมพูชามีผลเสมือนเป็นการอุทธรณ์ให้ศาลในปัจจุบันกลับมาให้สถานะแผนที่ภาคผนวก 1 และพิจารณาเรื่องเส้นเขตแดน ซึ่งไม่สามารถกระทำได้

4.4 บทที่ 4 : ประเด็นที่ศาลได้ตัดสินให้มีผลผูกพัน

4.4.1 แม้ศาลพิจารณาว่ามีอานาจในการตีความคำพิพากษาปี 2505 ศาลจะสามารถตีความได้เฉพาะประเด็นที่ได้ตัดสินให้มีผลผูกพันแล้ว ซึ่งปรากฏอยู่ในส่วนบทปฏิบัติการของคำพิพากษาเท่านั้น

4.4.2 การนำส่วนเหตุผลของคำพิพากษามาพิจารณาประกอบการตีความนั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อบทปฏิบัติการมีความคลุมเครือ อย่างไรก็ดี บทปฏิบัติการของคำพิพากษา ปี 2505 มีความชัดเจน ในตัวอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาแผนที่ภาคผนวก 1 ประกอบการตีความ

4.4.3 แผนที่ภาคผนวก 1 ไม่ใช่เหตุผลที่แยกออกจากคำพิพากษาไม่ได้ แต่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่งที่ศาลพิจารณาเลือกใช้เท่านั้น ซึ่งในกรณีดังกล่าวศาลได้ใช้เหตุผลอื่นในการพิจารณาด้วย ได้แก่ การเสด็จฯ เยือนปราสาทพระวิหารของสมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ การที่ไทยไม่ได้ยกประเด็นเรื่องปราสาทพระวิหารในที่ประชุมคณะกรรมการประนอมฝรั่งเศส-สยาม ที่ กรุงวอชิงตันใน ปี ค.ศ.1947 การที่ไทยผลิตแผนที่ของตนเอง 2 ฉบับที่แสดงว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในฝั่งกัมพูชา

การที่ไทยนิ่งเฉยต่อหนังสือประท้วงของฝรั่งเศสและของกัมพูชาซึ่งระบุว่าอธิปไตยเหนือปราสาทเป็นของฝรั่งเศส -กัมพูชา นอกจากนี้ กัมพูชาต้องการให้ตีความแผนที่ภาคผนวก 1 เส้นเขตแดน (อธิปไตยเหนือปราสาท) กัมพูชาจึงไม่สามารถนาแผนที่ภาคผนวก 1 มาใช้ประกอบการตีความบทปฏิบัติการ ของคำพิพากษาได้

4.4.4 ฝ่ายไทยนาเสนอการตีความคำพิพากษาปี 2505 ที่ถูกต้อง ดังนี้ กระบวนพิจารณาคดีเมื่อปี 2505 ที่ฝ่ายไทยได้ถอนทหารออกไปแล้ว

4.4.4.2 พันธกรณีในการถอนทหารเป็นพันธกรณีแบบทันทีทันใดและปฏิบัติได้ครั้งเดียว ซึ่งไทยได้ปฏิบัติโดยสมบูรณ์แล้ว

4.5 บทที่ 5 : บทสรุปและคำแถลง

ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นที่ศาลต้องระบุว่า ศาลฯ ไม่ได้ตัดสินเรื่องเขตแดนในปี 2505 โดยในคำแถลงสรุป ไทยขอให้ศาลตัดสินว่า

4.5.1 ศาลไม่มีอานาจที่จะตีความและไม่สามารถรับคดีไว้พิจารณา

4.5.2 หรือหากศาลเห็นว่า ศาลมีอำนาจและสามารถรับคดีไว้พิจารณาได้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ศาลจะตีความคำพิพากษา ปี 2505

และ 4.5.3 ขอให้ศาลตัดสินว่า คำพิพากษาศาลในปี 2505 มิได้ตัดสินว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตาม “แผนที่ภาคผนวก 1”

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น