--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

ราคาทองร่วงยาวคาดต่ำสุดที่บาทละ 1.5 หมื่น !!?


นางสาวณัฐฑี จุฑาวรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาทองคำที่ปรับลดลงอย่างรุนแรง ผันผวนอยู่ในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องซึ่งเกิดจากปัจจัยจากทางประเทศไซปรัสที่จะนำทองคำออกขายเป็นทุนสำรองภายในประเทศเพื่อชำระหนี้ และในยุโรปมีแนวโน้มที่จะขายทองคำเช่นกัน โดยปิดตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,400.91 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือราคาสมาคมทองคำอยู่ที่บาทละ 19,250 บาท โดยขณะนี้เริ่มชะลอตัวเหนือแนวรับ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หากราคาทองคำสามารถปรับขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,440 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แต่ไม่สามารถผ่านแนวต้านขึ้นไปได้ จะทำให้มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงหลุด 1,300 ดอลล่าร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ในระยะถัดไป

“อยากให้ดูแนวต้านที่ 1,440 – 1,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หากราคาทองคำยังไม่สามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ โอกาสที่จะปรับตัวลงแรงอีกครั้งก็ยังมี แต่หากผ่านแนวต้านนี้ไปได้ โอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ โดยในภาพรวมทิศทางขาลงอาจยังไม่จบ มีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อขายทองคำในระยะนี้ ขอแนะนำให้เข้ามาซื้อขายในรูปแบบระยะสั้น”

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบกับราคาทองคำในประเทศไทยประกอบด้วย 2 ปัจจัยหลัก คือ ราคาทองคำในตลาดโลก และเรื่องเงินบาทแข็งค่าภายในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบ
ต่อราคาทองคำทำให้มีแนวโน้มราคาทองคำภายในประเทศ ในทุก 1 สตางค์ของค่าเงินบาท กดดันกับราคาทองคำในประเทศ 7-8 บาท ในขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าลงมา 2 บาท ส่งผลต่อราคาทองคำราว 2,000 บาท หากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อราคาทองคำให้มีการปรับตัวลงอีก โดยคาดว่า
จะปรับตัวลดลงกว่าที่ควรจะเป็น อยู่ที่ราคาราว 18,000 บาท

ทั้งกรอบราคาในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2556 คาดว่าราคาทองในต่งประเทศจะอยู่บริเวณ 1,158-1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และเมื่อคำนวณเป็นราคาในประเทศ จะอยู่ที่15,700-21,100 บาท ส่วนตลอดทั้งปีคาดว่าราคาทองคำจะขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 1,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือ 22,500 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 1,158 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือ 15,700 บาท

โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะสามารถกลับขึ้นไปที่ 1,700 และ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ อาจใช้เวลา 1-2 ปี โดยต้องดูจุดต่ำสุดของราคาทองคำว่าจะอยู่ในระดับไหน หากราคาลงมาอยู่ที่แนวรับระยะยาวระดับ 1,158-1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ อาจพบแรงซื้อกลับ และราคาจะดีดกลับขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจะไปทดสอบแนวต้านระดับ 1,600-1,650 หากผ่านได้ก็จะวิ่งไปถึง 1,700 1,800 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์

ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้จะยังคงผันผวน โดยราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1,410 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเฉลี่ยอยู่ที่บาทละ 19,000 บาท เนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลถึงการเทขายทองของกองทุนทองคำและของประเทศในสหภาพยุโรป โดยมองว่าในช่วงนี้ราคาทองคำจะไม่ลดต่ำลงถึง 1,325 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือราคาในประเทศที่ 18,000 บาท อย่างแน่นอน ส่วนราคาทองคำในประเทศจะเป็นอย่างไรยังไม่สามารถคาดการณ์ได้เนื่องจากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าและผันผวนต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยค่าเงินบาทแข็งค่า 1 บาท จะมีผลต่อราคาทองคำถูกลง 700-800 บาท

อย่างไรก็ตาม มองแนวโน้มปีนี้ นายจิตติ ระบุ ยังมีโอกาสที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,600-1,700ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ หากสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะขณะนี้มองว่าราคาทองคำได้ลดลงเกินกว่าความเป็นจริงมากแล้ว

ด้านนายสิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด เจ้าของธุรกิจโรงรับจำนำ Easy Money กล่าวว่า ทองคำในเดือนกันยายนปี 2554 ราคา 27,000 บาท และในเดือนพฤษภาคมปี 2555 ราคา 22,900 บาท นับว่าขณะนี้

ยังเป็นช่วงขาลงในระยะปานกลาง แต่ในช่วงปัญหาน้ำท่วมหนักปลายปี 2554 จะมีปัญหาทองคำหลุดจำนำประมาณ 9% นับว่าสูงมาก เพราะปกติทั่วไปเฉลี่ยทองหลุดจำนำประมาณ 4-5% ของการจำนำ

ปัจจุบันเมื่อราคามีแนวโน้มลดลง และมีความผันผวนในช่วงระยะสั้น จึงเริ่มมีคนที่เคยนำสร้อยคอทองคำจำนำและปล่อยให้หลุดจำนำ แล้วกลับไปซื้อทองเส้นใหม่ เพราะราคาดีกว่าซึ่งอาจกระทบต่อผลประกอบการของโรงรับจำนำ เพราะการประเมินมูลค่ารับจำนำจะมาค่าใช้จ่าย เช่น ราคาทองปัจจุบัน 19,000 บาท จะให้เงินจำนำ 15,000 บาท จึงต้องติดตามดูว่าอัตราหลุดจำนำจะสูงเหมือนกับช่วงปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่หรือไม่ เพราะรายได้ของโรงรับจำนำมาจากดอกเบี้ยและการขายทรัพย์สินหลุดจำนำ แต่หากมีทรัพย์สินหลุดจำนำมา ย่อมกระทบต่อผลดำเนินการของโรงรับจำนำทั้งภาครัฐและเอกชนด้วยเช่นกัน

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น