วิธีการปราบปรามโจรปัตตานี หรือการต่อสู้กับขบวนการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
ในปี 2328 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ วังหน้า เป็นแม่ทัพเสด็จยกทัพไปปราบกบฏที่เมืองปัตตานีจนมีชัยชนะ พร้อมกับนำปืนใหญ่ “พญาตานี” ซึ่งเป็นปืนคู่บ้านคู่เมืองปัตตานี กลับมาไว้ที่พระนคร
ในปี 2445 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มีการจับกุม “พระยาวิชิตภักดี” หรือ “อับดุลกาเดร์” เจ้าเมืองตานีผู้ก่อการกบฏ ไปควบคุมไว้ที่จังหวัดพิษณุโลกเป็นเวลาเกือบ 3 ปี หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ จอมโจรผู้นี้หาสำนึกผิดไม่ กลับปลุกระดมราษฎรในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้กระด้างกระเดื่อง และคิดวางแผนก่อการกบฏขึ้นอีก เมื่อถูกทางราชการปราบปราม
ก็หลบหนีไปกบดานที่รัฐกลันตัน และสิ้นชีวิตลงที่นั่น แต่ก็ได้ปลูกฝังอุดมการณ์ให้สนุนบริวาร แยกนครปัตตานีให้เป็นอิสระให้จงได้
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาถึงสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขบวนการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ ใช้ยุทธวิธีสองประสาน คือ 1) ในรูปแบบ “กองโจรปัตตานี” มี นายหะยีสุหลง เป็นผู้นำ และ 2) ดำเนินงาน “ทางการเมือง” มี สส. อดุลย์ ณ สายบุรี (ตวนกูอับดุลยะลา) รับผิดชอบงานการเมืองเรียกร้องให้มีการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ ต่อมา นายหะยีสุหลงถูกจับติดคุก 3 ปีเศษ เมื่อพ้นโทษแล้วถูกฆ่าตาย และมีข่าวว่าศพถูกนำไปถ่วงทะเล บริเวณจังหวัดสงขลา แต่ไม่พบศพ
ต่อมาในยุคสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีการจับกุมโจรแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ คือ ยะลา นราธิวาส สตูล และ ปัตตานี ได้เป็นจำนวนมาก แต่รัฐบาลในยุคนั้นใช้นโยบายผ่อนปรน ได้ให้การอบรมแล้วปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมด พร้อมทั้งให้เงินยังชีพอีกเป็นจำนวนมากด้วย โดยมุ่งหวังที่จะซื้อใจโจรเหล่านั้น แต่ก็ไร้ประโยชน์
ในยุครัฐบาลทักษิณ โจรแบ่งแยกดินแดนกลับถูกสบประมาทว่าเป็น “โจรกระจอก” และมีการปราบปรามที่รุนแรง หรือที่เรียกว่า “ใช้กำปั้นเหล็ก” เป็นเหตุให้ประชาชนชาวไทยมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ถึงขั้นที่ รัฐบาล คมช.ซึ่งมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุฬานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องประกาศ “ขอโทษชาวไทยมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (รวมทั้งขอโทษโจรด้วย) แทนรัฐบาลทักษิณ” พร้อมกับมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา 92 คน เพื่อความสมานฉันท์ แต่โจรแบ่งแยกดินแดนก็หายุติศึกไม่ การเข่นฆ่า ทหาร ตำรวจ ครู พระ และ ประชาชนยังคงมีอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ อ้างว่ามาตราการ การดับไฟใต้ของรัฐบาลมา “ถูกทางแล้ว” แต่ถ้าวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ มาถึง “ทางตัน” เสียมากว่า ด้วยเงื่อนไข
1) ไม่เท่าทันกลยุทธ์โจร: โจรแบ่งแยกดินแดนมิใช่“โจรกระจอก”แต่เป็น “โจรอุดมการณ์” ซึ่งได้แตกเหล่าแตกกอเป็นกลุ่มต่างๆ มากมาย เช่น ขบวนการร่วมเพื่อเอกราชปัตตานี หรือ เบอร์ซาตู ขบวนการมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานี ขบวนการพูโล กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น และ องค์กรกู้ชาติปัตตานี เป็นต้น ซึ่งแต่ละกลุ่มดำเนินกลยุทธ์เป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน ทำสงครามจรยุทธ์ต่อสู้กับรัฐบาล ควบคู่กับการดำเนินงานทางการเมืองเพื่อให้นานาชาติ โดยเฉพาะโลกมุสลิมยอมรับในอุดมการณ์ของตน จนสามารถพลิกผันสถานการณ์จากการเป็นฝ่ายตั้งรับ มาเป็นฝ่ายรุก จนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งไร้เดียงสาอยู่แล้ว งงเป็นไก่ตาแตก หมดสภาพ ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ตรงจุดได้
2) ไม่เท่าทันอุดมการณ์โจร : ปัญหาไฟใต้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ก็เพราะวิธีการปลูกฝังอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนได้นำศาสนามาเป็นเครื่องมือล้างสมอง และปลุกระดมเยาวชนมุสลิมในทางที่ผิด โดยปลูกฝังให้มีความเชื่อว่า ชาวไทยพุทธเป็นศัตรูที่จะต้องฆ่าทิ้ง หรือขับไล่ให้พ้นไปจากแผ่นดินภาคใต้ ตามความประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถแก้ปัญหา หรือ หยุดยั้งการปลูกฝังอุดมการณ์ในทางที่ผิดนี้ได้
3) ไม่กล้ารับผิดชอบ : ทั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ต่างเกี่ยงความรับผิดชอบ ไม่มีใครกล้าหาญที่จะแก้ปัญหาไฟใต้ มีแต่ความหวาดกลัวจนขี้ขึ้นสมองหมดปัญญาที่จะคิด ได้แต่หาทางเอาตัวรอดไปวันๆ ตัวอย่างเช่น รองฯ เหลิม ผัดวันประกันพรุ่งไม่ยอมลงพื้นที่ภาคใต้ แต่กลับเดินทางไปพักผ่อนฮ่องกงอย่างสุขสำราญได้ และในเวลาเดียวกับที่ทักษิณอยู่ที่นั่นด้วย เป็นต้น
คนที่ถูกโจรบีบบังคับจะข่มขืน ย่อมมีทางเลือกอยู่สองทางคือ 1)ใช้ปัญญาต่อสู้จนถึงที่สุด หรือ 2)ร่วมสนุกกับโจรเสียเลย เพื่อเงินและอำนาจ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เลือกทางไหน คิดกันเอาเอง
ที่มา.นสพ.แนวหน้า
///////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น