โดยเฉพาะกับความโหดเหี้ยมแห่งการกระทำ เป็นผลให้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้กลายเป็น 1 ในประเด็นแหลมคมที่สามารถใช้เล่นงานถล่มกันทางการเมือง หรือโจมตีรัฐบาลได้ในเรื่องที่ไม่มีฝีมือ ไม่มีปัญญาแก้ไข
ยิ่งหากเป็นพรรคการเมืองที่ไม่มีฐานเสียงในภาคใต้ ขึ้นมาเป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ ก็ต้องโดนโจมตีเรื่องการแก้ปัญหาไฟใต้เมื่อนั้น เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด และก็ไม่ใช่ว่าพรรคการเมืองที่มีเสียงมี ส.ส.ในภาคใต้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้วปัญหาจะไม่เกิด ก็เกิดขึ้นเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่เพราะว่ามี ส.ส.ภาคใต้อยู่ในมือก็เลยพลิ้วได้มากกว่า
และคงไม่มี ส.ส.ในพื้นที่ภาคใต้คนไหน จะตั้งกระทู้สด หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจปัญหาเรื่องนี้ในตอนที่พรรคของพวกตนเองเป็นรัฐบาลแน่ๆ แต่ถ้าเป็นพรรคการเมืองอื่นเป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ ส.ส.ภาคใต้เหล่านี้จะทำหน้าที่อย่างแข็งขันทันที
ที่สำคัญหากสังเกตุให้ดีจะเห็นว่า ในความร้อนแรงของไฟใต้ผู้ที่รับเคราะห์คือ เด็ก ครู ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่เคยมีนักการเมืองในพื้นที่ได้รับเคราะห์ใดๆเลย เหมือนกับว่าแม้แต่ผู้ก่อการร้ายภาคใต้เองก็ยังเว้นไว้ให้ ส่วนจะด้วยเหตุผลอะไรก็สุดจะเดา
ยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่ภาคใต้ยังมีปัญหาความลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน ที่เกี่ยวพันกับอิทธิพลและผลประโยชน์ทั้งในแง่การเมืองและเศรษฐกิจแทรกซ้อนมายาวนาน ทั้งเรื่องน้ำมันเถื่อน เรื่องสินค้าหนีภาษี เรื่องงบประมาณ เรื่องผู้มีอิทธิพล ฯลฯ จึงทำให้ปัญหาในภาคใต้เป็นปัญหาที่ลากต่อเนื่องยาวนาน
อย่างไรก็ตามสำหรับบรรดาบุคคลที่มีสำนึกรักประเทศไทย เมื่อเห็นว่าวันนี้ดูเหมือนปัญหาไฟใต้ยิ่งถูกโหมกระพือมากขึ้น ทำให้รุนแรงขึ้น จะโดยหวังผลของการสร้างอิทธิพลเพื่อให้เกิดการยอมรับในอำนาจ หรือเพราะมีประเด็นการเมืองแฝงในเรื่องของการโค่นล้มรัฐบาล ในเรื่องของการเปลี่ยนขั้วการเมืองด้วยหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่น่าคิดทั้งนั้น
ทำให้เมื่อทนดูความรุนแรงของปัญหาไฟใต้ไม่ได้ บรรดาผู้ที่เคยทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติมาแล้ว อย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เจ้าของนโยบาย 66/2523 เจ้าของการสร้างตำนาน “ฮารับปันบารู” ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าคงต้องมีการพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไขเยียวยาสถานการณ์ไฟใต้ให้ดีขึ้น หากขืนยังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เมืองไทยมีโอกาสจบได้เหมือนกัน?!?
ประจวบกับที่จะมีการจัดงาน “แนวร่วมประชาธิปไตยร่วมใจพัฒนาชาติ”เกิดขึ้น ซึ่งจะมีการเชิญ พล.อ.ชวลิต ไปเป็นหนึ่งในวิทยากรผู้ให้ความรู้ ถึงจังหวัดสงขลาเลยทีเดียว ส่วนวิทยากรอีก 3 คน ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องภาคใต้และเรื่องการเมืองมาเป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็น นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตแกนนำ นปช. และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวันมูหะหมัด นอร์ มะทา อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย และยังมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง พร้อมทีมงานทีวีเอเชียอัพเดท จะลงไปที่ โรงเรียนจะนะชนูปถัมภ์ ต.บ้านคู อ.จะนะ จ.สงขลา ในวันศุกร์ที่ 25 มกราคม นี้ เพื่อถกกันเกี่ยวกับเรื่องแนวทางในการแก้ไขปัญหาไฟใต้ และการสร้างการเมืองที่เข้มแข็งให้เกิดขึ้น
งานนี้ตกเป็นเป้าสายตาในทันที เนื่องจากทั้ง 4 คน ล้วนเป็นดาวฤกษ์ในวงการการเมือง ที่สามารถเปล่งแสงสว่างให้กับตัวเองได้ โดยไม่ต้องไปพึ่งพาใครเหมือนกับนักการเมืองประเภทดาวเคราะห์บางจำพวกที่ชอบเกาะขบวนดัง
เมื่อ 4 ดาวฤกษ์ หลากหลายรุ่นมารุมถกกันเรื่องประชาธิปไตย เรื่องปัญหาไฟใต้ เรื่องทิศทางการเคินต่อไปข้างหน้าของประเทศ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ มีคนอยากฟังแนวคิดเป็นอย่างมาก
แต่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากระดมสมองแล้ว ขั้วรัฐบาลจะสนับสนุนความคิดในการแก้ไขปัญหาไฟใต้หรือไม่??? พรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่โดยตรงจะเปิดใจกว้างรับฟัง และให้ความร่วมมือในฐานเจ้าของพืนที่มากน้อยเพียงใด
เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไม่ลืมว่า ในอดีตพรรคความหวังใหม่ของ พล.อ.ชวลิต ก็คือ คู่ปรับทางการเมืองของประชาธิปัตย์ ที่เคยทำให้ประชาธิปัตย์เจ็บปวดมาแล้ว กับการสูญเสียเก้าอี้ ส.ส.ภาคใต้ให้กับความหวังใหม่มากถึง 14 เก้าอี้
ในขณะที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ไม่ต่างไปจาก “ขมิ้นกับปูน”ทางการเมืองสำหรับประชาธิปัตย์เลยสักนิดเดียว
เพียงแต่หากจะเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ก็ควรจะต้องละทิฐิ และละวางการเผชิญหน้าในลักษณะของ 2 ขั้วต่างทางการเมืองออกไปเสียก่อน มาร่วมมือกันแก้ปัญหาไฟใต้เพื่อให้คนใต้อยู่อย่างมีความสุข ไม่ต้องหวาดผวาหวาดกลัวไฟใต้เหมือนอย่างที่ผ่านๆมาให้ได้เสียก่อน
เมื่อไฟใต้สงบ คนใต้มีความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว ค่อยมาแข่งขันกันในเกมการเมืองในเกมประชาธิปไตยกันใหม่... นั่นคือแนวทางที่พรรคการเมืองทั้งหลายควรทำ ไม่ใช่คอยทำลายล้าง คอยตีรวน คอยปัดแข้งปัดขากันเพื่อหวังผลทางการเมืองโดยไม่สนใจว่าประชาชนจะเดือดร้อนอย่างไร
ซึ่งสำหรับแนวทางปัญหาไฟใต้ใน 3 จังหวัดนั้น พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า มีความเชื่อมั่นว่าหากได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่ายแล้ว ก็สามารถที่จะแก้ไขทุเลาปัญหาไฟใต้ ไปจนกระทั่งถึงดับไฟใต้ลงได้ในที่สุด เพียงแต่ทุกฝ่ายจะต้องเห็นสอดคล้องต้องกันในยุทธวิธีของการแก้ไขปัญหาไฟใต้ให้ได้เสียก่อน
โดยบิ๊กจิ๋วบอกว่า จนถึงขณะนี้ชัดเจนแล้วว่าการใช้กำลังทางทหารเข้าไปแก้ไขปัญหาไฟใต้นั้นแก้ไม่ได้ รวมทั้งที่บอกว่าจะแก้ปัญหาไฟใต้ด้วยเศรษฐกิจ เพิ่มสิทธิพิเศษต่างๆเข้าไปมากมาย แต่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะในเมื่อเป็นปัญหาความรู้สึกเป็นปัญหาการเมือง ก็ต้องใช้การเมืองแก้ให้กลับมามีความรู้สึกที่ดี ว่าเราให้โอกาสพวกเขามาช่วยกันพัฒนาชาติ
ฉะนั้นที่บอกว่าแก้ปัญหามาถูกทางแล้ว ต้องถามว่าถูกทางอะไร ถูกทางไปลงนรกกันหมดหรือเปล่า ถ้าถูกทางทำไมยังมีเหตุการณ์รุนแรงขนาดนี้ ทำไมยังต้องถมงบประมาณกันเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาทแบบนี้ การใช้งบประมาณทำสงครามลักษณะนี้ อเมริกาเคยพังมาแล้ว ทุ่มงบประมาณเท่าไหร่ใช้ระเบิดใช้อาวุธยุทโธปกรณ์เท่าไหร่ ก็เอาชนะสงครามเวียดนามไม่ได้ นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดมาแล้ว จะมาบอกว่ามาถูกทางกันอีกอย่างนั้นหรือ”พล.อ.ชวลิตตั้งคำถามแบบจัดหนัก
หลายคนอาจจะมองว่า พล.อ.ชวลิต ไม่เห็นมีอะไร ก็อาจจะใช่ในแง่ของฐานะ ในแง่ของอำนาจการเมืองในปัจจุบัน แต่ไม่ใช่ในแง่ของความคิดอย่างแน่นอน
จะต้องไม่ลืมว่า ไม่ใช่เพราะ พล.อ.ชวลิต คนนี้หรือ ที่ใช้สมองนำเสนอนโยบาย 66/2523 จนทำให้บรรดาผู้ต่อต้านทั้งหลายยอมวางอาวุธ หันกลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติ เป็นการใช้การเมืองแก้ปัญหาการเมืองที่โดดเด่นที่สุด
และอย่าลืมว่าครั้งหนึ่ง ด้วยวิธีคิดและมันสมองมิใช่หรือที่ทำให้พรรคความหวังใหม่สามารถเจาะฐานเสียงเจาะพื้นที่ ส.ส.ภาคใต้ เอาชนะพรรคประชาธิปัตย์มาได้ถึง 14 ที่นั่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังไม่มีพรรคการเมืองใดทำกับประชาธิปัตย์ได้ขนาดนี้มาก่อนเลย
การที่ พล.อ.ชวลิตเสนอให้ใช้การเมืองแก้ปัญหาไฟใต้แทนการใช้กำลังทหาร เพื่อยุติความรุนแรง แล้วสร้างให้คนในพื้นที่เห็นถึงการยอมรับของสังคม ผ่านรูปแบบของการเป็นมหานครปัตตานี ซึ่งไม่ใช่การแยกประเทศไม่ใช่การแบ่งแยกดินแดน แต่เป็นการให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนานระดับโลกของมหานครปัตตานี ให้คนในพื้นที่ภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของพวกเขา และให้เห็นว่าคนไทยพุทธให้การยอมรับในความสำคัญและพร้อมที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ... นี่คือหัวใจสำคัญในการดับไฟใต้
ครั้งหนึ่งได้คิดสร้างการยอมรับในการที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติกับคำว่า “ฮารับปันบารู”มาแล้ว คือให้เขามองเห็นความหวัง มองเห็นอนาคต ครั้งนี้พี่คิดว่าเราต้องสร้างการยอมรับให้เขาเห็นว่าเราให้เกียรติในเกียรติภูมิแห่งอดีตของเขา ด้วยคำว่า “นูซันตารา” หรือนครแห่งเกียรติภูมิ ซึ่งถ้าทำได้ปัญหาไฟใต้ก็จะจบลงได้”พล.อ.ชวลิตระบุด้วยความเชื่อมั่นและมั่นใจอย่างเปี่ยมล้น
ซึ่งในขณะที่ไฟใต้โหมรุนแรงอย่างหนัก และยังไม่มีวิธีการใดที่จะหยุดยั้งได้ ต้องสูญเสียงบประมาณและกำลังคน สูญเสียทางสังคมและเศรษฐกิจไปมากมายมหาศาลโดยที่แก้ไขอะไรไม่ได้เลย ทำไมจึงไม่คิดจะลองทำตามแนวคิดของเจ้าของแผนปฏิบัติการ 66/2523 อันลือลั่นที่เคยสำเร็จมาแล้วบ้าง
วันนี้พรรคเพื่อไทย รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่ามองข้ามคนชื่อ พล.อ.ชวลิต และพวกพ้องมวลหมู่มหามิตร และพี่น้องของบิ๊กจิ๋วเป็นอันขาด
ใช่พล.อ.ชวลิตอาจจะไม่มีอำนาจบารมีเหมือนในอดีต วันนี้คนระดับอดีตนายกฯ ระดับอดีตผบ.ทบ. ผบ.สส. แค่ขอความอนุเคราะห์ให้การเมืองช่วยดูแลลูกน้องระดับซี 6 ซี 7 อาจจะดูว่ายังยากเลย เพราะคนการเมืองรุ่นใหม่ที่กระหายผลประโยชน์พากันมองข้ามไปหมด ไม่ให้ราคาให้ความสำคัญ
มีคนไม่น้อยที่เชื่อว่า พล.อ.ชวลิต ที่เคยสูงสุดทางการเมือง จะต้องร่ำรวย จะต้องได้รับผลประโยชน์ทางการเมืองมากมายมหาศาล เพราะในยุคปัจจุบันแค่นักการเมืองเด็กบางคน ที่ไม่ต้องยิ่งใหญ่เหมือนบิ๊กจิ๋วในอดีต ยังรวยได้แบบไม่มีเหตุผลไม่มีที่มาที่ไปเป็นพันล้านหมื่นล้าน ในขณะที่วันนี้ใครที่คิดว่า พล.อ.ชวลิตรวย ล้วนหน้าหงายในความเข้าใจผิดไปหมด เพราะไปตรวจดูเทาไหร่ก็จะไม่เจอว่าบิ๊กจิ๋วไปทำธุรกิจอะไรกับใคร ไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจเจ้าของบริษัทอะไรเลย
นี่คือบิ๊กจิ๋วที่มัวแต่คิดว่าจะทำประโยชน์อะไรให้บ้านเมือง เลยทำให้นักการเมืองรุ่นหลังรยข้ามหัวกันไปหมดชนิดไม่เห็นฝุ่น
วันนี้บิ๊กจิ๋วทนเห็นสภาพปัญหาไฟต้ที่รุนแรง และห่วงกลัวว่ายิ่งนานวันประเทศจะยิ่งย่ำแย่ จึงได้เสนอความคิดออกมา ก็อยู่ที่รัฐบาล อยู่ที่ฝ่ายค้าน อยู่ที่ ส.ว. อยู่ที่บรรดาผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายแล้วว่า จะนำหลักคิดที่ว่า ถึงเวลาต้องใช้การเมืองแก้ปัญหาการเมือง ด้วยการสร้างการยอมรับซึ่งกันและกันให้เกิดขึ้น มาใช้ในการแก้ปัญหาครั้งนี้หรือไม่
บู๊ลิ้ม...แม้จะบอกว่าคลื่นลูกหลังทยอยไล่คลื่นลูกแรก แต่บู๊ลิ้มก็ไม่เคยมองข้ามประสบการณ์และความคิดของคนรุ่นอาวุโส... ฉะนั้นวันนี้รัฐบาล พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ คงต้องถามตัวเองอย่างจริงๆจังๆแล้วว่า
อยากเห็นไฟใต้สงบหรือไม่.... ถ้าอยากก็ลงมือทำจริงๆ... เลิกทำด้วยปากกันได้แล้ว
ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น