--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

ไร้รอยต่อยิ่งชัด ประชาธิปัตย์ยิ่งเหนื่อย !!?


สมราคาพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยมือกฎหมายแน่นพรรค

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าค่ายแม่พระธรณีบีบมวยผม พรรคประชาธิปัตย์ ออกโรงกระตุกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบการหาเสียงของคู่แข่งชิงเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) หมายเลข 9 พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย

โทษฐานใช้นโยบายหาเสียงเกินอำนาจหน้าที่ที่ผู้ว่าฯ กทม. จะทำได้ ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง

ต้องรีบออกโรงกระตุกความรู้สึกคนกรุงไม่ให้เคลิ้มไปกับนโยบายที่จะเกิดจากการทำงานอย่างไร้รอยต่อกับรัฐบาลตามสโลแกนหาเสียงของฝ่ายตรงข้าม

ย้อนไปวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากจับฉลากได้หมายเลขประจำตัวแล้ว พรรคเพื่อไทยประเดิมตั้งเวทีใหญ่ปราศรัยในเย็นวันเดียวกันทันที

พล.ต.อ.พงศพัศ ผู้สมัครเบอร์ 9 ขึ้นเวทีปราศรัยเป็นครั้งแรกในฐานะนักการเมือง ประกาศนโยบายหลักกับประชาชน 12 ข้อ ที่จะทำหากได้รับความไว้วางใจให้เข้าไปบริหารงาน กทม.

ทั้ง 12 ข้อ ประกอบด้วย

1.รถเมล์ฟรีทุกคัน ทั้งปรับอากาศและไม่ปรับอากาศ โดยรัฐบาลและ กทม. ออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง

2.สานต่อโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ โดยจะขยายเวลาเฝ้าระวังความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตลอด 365 วัน โดยร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พัฒนาพื้นที่เสี่ยงต่อการเป็นแหล่งเสพและค้ายาเสพติดให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และกระทรวงแรงงานในการจัดหา สร้างงานแก่ผู้กลับตัวและผู้มีความเสี่ยง

3.จัดระเบียบการขายของบนทางเท้า โดยจะทำให้ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย ทั้งผู้ขายและประชาชน

4.จัดสร้างรถราง 2 สายติดแอร์วิ่งรอบเกาะรัตนโกสินทร์โดยไม่คิดค่าโดยสาร

5.ติดตั้งกล้องวงจรปิดจริง ทุกชุมชนและตามจุดเสี่ยงไม่จำกัดจำนวน และเชื่อมโยงระบบระหว่าง กทม. กับตำรวจเป็นศูนย์เดียวกัน ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง

6.จัดระบบให้รถเมล์วิ่งบริการทุก 5 นาที ถึงหน้าหมู่บ้าน

7.เช่าที่ราชพัสดุและกรมธนารักษ์เป็นจุดจอดสำหรับรถแท็กซี่เพื่อรอผู้โดยสาร พร้อมทั้งให้บริการจอดรถสำหรับประชาชนทั่วไป

8.ติดไฟส่องสว่างและสร้างห้องน้ำทุกป้ายรถเมล์

9.ยกระดับศูนย์สาธารณสุขชุมชน 68 แห่ง ให้เป็นโรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลสังกัด กทม. 8 แห่งจัดทีมแพทย์เคลื่อนที่รักษาพยาบาลถึงบ้าน พร้อมทำหน้าที่คอยดูแลคนแก่ที่อยู่กับบ้านเมื่อลูกหลานออกไปทำงาน

10.ทำทางเท้าให้เสมอกับบันไดรถเมล์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนพิการ

11.ใช้บริการเรือข้ามฝากและเรือในคลองแสนแสบฟรี
12.สร้างสะพานทางเดินจากสะพานพระราม 8 ไปถึงสะพานสาทร เอื้อคนจนเดินทางเท้าให้สะดวกปลอดภัย

ตบท้ายการปราศรัยด้วยคำพูดซึ้งๆที่ว่า

“ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่เป็นนโยบายของผู้ว่าฯ คนใหม่ ที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ทุกนโยบายไม่ใช่เรื่องโกหก ไม่ใช่เพ้อเจ้อ แต่เอาความจริงมาเล่า และตราบใดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และผู้ว่าฯ กทม. มาจากพรรคเดียวกับรัฐบาล ทำได้แน่นอน”

ตอกย้ำสโลแกน “การทำงานอย่างไร้รอยต่อ” ให้ประชาชนเห็นอย่างชัดเจนว่าถ้ามีผู้ว่าฯ เป็นคนพรรคเดียวกับรัฐบาลจะเกิดประโยชน์อย่างไร

เมื่อการฉายภาพ “การทำงานอย่างไร้รอยต่อ” เริ่มชัดขึ้นในสายตาประชาชน พรรคประชาธิปัตย์จึงจำเป็นต้องออกมาเสียบสกัดไม่ให้กระแสการทำงานอย่างไร้รอยต่อกับรัฐบาลแล่นฉิวติดลมบน

นายอภิสิทธิ์จึงออกมาร้องขอให้ กกต. ตรวจสอบอย่างที่เห็น

หากปล่อยให้กระแสนี้จุดติดง่ายๆ ผู้สมัครของพรรคอย่างคุณชายสุขุมพันธุ์ บริพัตร จะเหนื่อยหนักอีกเท่าตัว

เพราะถ้ากระแสการทำงานอย่างไร้รอยต่อกับรัฐบาลเด่นชัดจนประชาชนมองเห็นโอกาสในการพัฒนา กทม. อย่างก้าวกระโดด ไร้ขีดจำกัด ก็จะยิ่งไปตอกย้ำการทำงานแบบขัดแข้งขัดขา เน้น “ประสานงา” มากกว่า “ประสานงาน” ในการบริหาร กทม. ช่วงที่ผ่านมา

ยิ่งภาพของประโยชน์จาก “การทำงานอย่างไร้รอยต่อ” กับรัฐบาลถูกฉายเด่นชัด ประชาชนยิ่งตัดสินใจง่าย

พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องยืมมือ กกต. ตรวจสอบกระตุกขาฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ก่อน

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น