--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

ปิดฉาก คอป.ยุค อภิสิทธิ์ ความจริงที่หดหู่พร่ามัว โหมไฟใจเจ็บลึกลุกโชติ !!?

คณะกรรมการอิสระตรวจ สอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ใช้เวลาทำงาน 2 ปี แต่งตั้งโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภายหลังเกิดเหตุการณ์ล้อมปราบผู้ชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน และพฤษภา 2553 จนมีผู้เสียชีวิตมากถึง 98 ศพ

เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นรัฐบาล ได้ให้ คอป.ดำเนินการต่อจนครบเวลาทำงานเมื่อกรกฎาคม 2555 กระทั่งเปิดแถลงรายงานฉบับสมบูรณ์หนาเกือบ 300 หน้าในวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา จึงเป็นการเสร็จสิ้นหน้าที่รับผิดชอบ

คอป.ได้รับสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลกว่า 65 ล้านบาทมาใช้จ่ายในภารกิจตรวจสอบ ค้นหาข้อเท็จจริงจากการใช้ความรุนแรง โดยคาดหวังกันว่า ชุดความจริงที่ค้นพบจะเป็นแนวทางสู่ “ความปรองดอง” ของสังคมในอนาคต

แต่ชุด “ความจริง” ของ คอป. กลับมีแนวโน้มซ้ำเติมให้สังคมเกิดความขัดแย้งกันหนักยิ่งขึ้น เมื่อคู่กรณีทั้ง 3 ฝ่าย คือ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้จัดการชุมนุมทางการเมือง และรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่สั่งทหาร “กระชับ พื้นที่-ประชิดวงล้อม” เข้าปราบผู้ชุมนุม รวมทั้งประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกลับได้รับผลกระทบถึงชีวิตในช่วงเหตุการณ์ฆ่ากันกลางเมืองหลวงประเทศไทย

*  ความจริงพร่ามัว

คอป.ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงรายงานเชิง “สรุป” ผลการตรวจสอบในห้วงเวลาทำงาน 2 ปี เนื้อหาสำคัญแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ศึกษารากเหง้าความรุนแรง ในสังคมไทย ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุ การณ์รุนแรงเมษายน-พฤษภาคม และชี้ แนะแนวทางความปรองดองแห่งชาติขึ้น

อันที่จริง สาเหตุเริ่มต้นที่รัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ตั้ง คอป.ขึ้นมา เพราะต้องการปัดข้อกล่าวและการโจมตีจากทั่วสารทิศว่า เป็น “รัฐบาลใจจืดใจดำนิ่งเฉยกับการฆ่าประชาชนกลาง กทม.” โดยรัฐบาลยุคนั้นแอบหวังให้ คอป. เป็นข้ออ้างมายื้อเวลาเพื่อหลบเลี่ยงข้อกล่าวหาที่ถาโถมเข้าใส่จากทุกสารทิศ

ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยกับการมอบหน้าที่หลักแบบกว้างขวางให้ คอป. “ทำ ความกระจ่างกับรากเหง้าของปัญหา ทั้งในทางกฎหมาย การเมือง และประวัติ ศาสตร์ที่ส่งผลให้เกิดความแตกแยกและความรุนแรง” ซึ่งทำให้หน้าที่ค้นหาความจริงของความตาย 98 ศพ กลายเป็น งานปลีกย่อยและได้ความจริงที่พร่ามัว

การแถลงเมื่อ 17 กันยายน นั้น คอป. กำหนดเนื้อหาหลักไว้เฉพาะการคลี่คลายความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 โดยโยงรากเหง้ามาตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนทำให้เกิดการต่อต้านขยายความรุนแรงและความขัดแย้งมาสู่เหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่โหดเหี้ยม

สิ่งที่ คอป. จงใจสื่อสารในการแถลง อยู่ที่ชุดข้อมูล “ชายชุดดำพร้อมอาวุธสงคราม” เข้ามาปะปนเป็นส่วนหนึ่งของการชุมนุมทางการเมือง และยังต่อสู้กับทหารที่โอบล้อมเข้าสลายการชุมนุม จนกลายเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรงขึ้น

แต่อีกด้านหนึ่ง คอป.ยังระบุถึงทหาร ใช้อาวุธสงครามและกระสุนจริงกับประชาชน ที่ชุมนุม รวมทั้งมีข้อเรียกร้องส่วนตัวของนายคณิตที่นำกรณีนายปรีดี พนงยงค์ มาเปรียบเทียบ เพื่อโน้มน้าวให้ พ.ต.ท.ทักษิณวางมือทางการเมืองและเสียสละให้ประเทศ สงบสุข ไร้ความขัดแย้ง มีปรองดอง ด้วยการอยู่ต่างประเทศ อย่าได้กลับไทยเลย

แม้ในรายงานจะมีข้อเสนอแนวทางการสร้างความปรองดองขึ้นด้วยการให้ปรับระบบศาลยึดมั่นความยุติธรรม ไม่มี 2 มาตรฐานต่อการพิจารณาคดี รวมถึงให้ใช้กระบวนการยุติธรรมมาวินิจฉัยความขัดแย้งในสังคม แต่เป็นแนวทางแบบกว้าง ไร้รูปธรรมชัดเจน

จุดอ่อนสำคัญที่สุดของรายงานคือ การอ้างแหล่งข้อมูลที่เป็นเพียง “คำบอกเล่า” ของคนในเหตุการณ์ แต่ขาดพยานหลักฐานหลากหลายมาบ่งชี้ถึงเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น หนำซ้ำการแถลงรายงานส่วนใหญ่เน้นเพียง “ความเชื่อ” ของ คอป. อันล่องลอย ราวกับทำให้ชุดความจริงกลาย เป็นข้อมูลยกเมฆ

สรุปแล้วรายงานของ คอป.ไม่ได้ชี้ชัดลงไปถึงต้นเหตุความรุนแรง การตัดสินใจที่ผิดพลาดในการกระทำความรุนแรงที่เกิดขึ้น และดูเหมือนพยายามเน้นความเชื่อว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากฝ่าย นปช. ผู้ชุมนุม และชายชุดดำเป็นตัวการสำคัญซ้ำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ และชายชุดดำ ได้กลายเป็นรากเหง้าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ไม่เพียงเท่านั้น คอป.แทบปัดทิ้งชุดความจริงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่มีส่วนพัวพันกับ “ศูนย์อำนวย การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” (ศอฉ.) ซึ่งเป็นกองบัญชาการออกคำสั่งให้ใช้ทหารเข้าสลายการชุมนุมได้อย่างน่าทึ่งกับความ เป็นคณะกรรมการอิสระ

* “ชายชุดดำ” ในความเชื่อที่หดหู่

แม้ คอป.จะเรียกร้องหลายครั้งในช่วงการแถลงรายงานฉบับสมบูรณ์ว่า ไม่ต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องนำส่วนใดส่วนหนึ่งของรายงานไปใช้ประโยชน์ทั้งในด้านเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนทำให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหม่ขึ้นแต่เป็นธรรมดาของคู่กรณีเกี่ยวข้อง และขัดแย้งกันในเหตุการณ์เมื่อเมษายนและพฤษภาคม ย่อมเลือกเห็นด้วยเมื่อได้ประโยชน์ และไม่เห็นด้วยกับบางข้อมูล เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด เกิดความเสียหาย จึงต้องวิจารณ์โต้แย้งเพื่อบันทึกไว้ในมิติประวัติศาสตร์ความรุนแรงของสังคมกลางสถานการณ์สำคัญขณะนี้ กลุ่ม นปช.และประชาชนได้ยื่นข้อมูลชุด “ความตาย 98 ศพ” ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาสอบสวนเหตุการณ์ความรุนแรง และดำเนินคดีกับ “ผู้สั่งฆ่าประชาชน” จนทำให้นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกองทัพที่เป็นหน่วยปฏิบัติงานปราบผู้ชุมนุม ล้วนลำบากใจอย่างหนักกับผลการสอบสวนที่ใกล้กระจ่างถึงขั้นนำไปสู่การตั้ง “ข้อหา” เพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อความผิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้

ข้อมูล “ชายชุดดำ” ของ “ดีเอสไอกับคอป.” มีความแตกต่างกันราวกับ “ขาวกับดำ” นายสมชาย หอมลออ กรรมการ คอป.ยืนยันในรายงานการตรวจสอบว่า มีชายชุดดำปะปนและเป็นส่วนหนึ่งกับการ์ด นปช.พร้อมกับใช้อาวุธสงครามต่อสู้กับ ทหารระหว่างการกระชับพื้นที่จนทำให้ทหาร- ตำรวจ และประชาชน ตาย 9 ศพ แต่ไม่มี หลักฐานเชื่อมโยงไปพัวพัน ผูกมัดแกนนำนปช.มาเกี่ยวข้อง

กรณีชายชุดดำของ คอป.ทำให้นายอภิสิทธิ์ยิ้มออก และเรียกร้องให้ทุกฝ่าย “ยอมรับรายงานของ คอป.” แต่ นพ.แหวง โตจิราการ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.กลับโต้แย้งและวิจารณ์ด้วยอารมณ์ผิดอย่างหนัก

น.พ.แหวง ระบุว่า ข้อมูลของ คอป. มั่ว ขาดหลักฐาน มีแต่ความเชื่อจากคนมาให้การ “คุณกล่าวหาโดยฟังแต่คำพูดของ บางคนเท่านั้น แต่คุณไม่มีหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์มากกว่านั้นเลย แล้วจะให้ประชาชนเห็นตามได้อย่างไรว่า ในที่อื่นที่คุณไม่มีหลักฐานมีชายชุดดำจริง ส่วนการ์ด นปช. ให้การสนับสนุนคนชุดดำ คุณสรุปเอาเองดื้อๆ เลยหรือ คุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นการ์ด นปช. แล้วคุณสอบสวนเขาแล้วหรือ ?”

“ที่หน้าวัดปทุมคุณสมชายบอกว่ามีชายชุดดำวิ่งเลียบกำแพงรั้ว คุณสมชายพยายามบอกว่ามีรอยแตกที่ขอบรถไฟฟ้าพยายามโน้มน้าวว่านั่นเป็นการยิงของชาย ชุดดำก็เลยทำให้ทหารต้องยิงคนในวัดปทุม น่าเศร้าจริงๆ เพราะภาพยูทูบจำนวนมหาศาล ได้ยืนยันว่าทหารที่รางรถไฟฟ้ามีกล้องเล็งยิง เขาต้องเห็นแน่นอนว่า น้องเกดเป็นพยาบาล ไม่มีปืน แล้วคนตายทั้งหกก็ไม่มีปืน ทหารยิงคนไม่มีปืน ทหารยิงผู้ทำหน้าที่ ทางการแพทย์พยาบาล แล้วอ้างเหตุว่ามีชายชุดดำวิ่งเลียบกำแพงวัด และมีปืนเอ็ม 16 หนึ่งกระบอกยึดจากในวัดเพื่อทำให้คนเข้าใจว่าเป็นของคนชุดดำในวัด คุณสมชาย ครับสงสัยจังว่าคุณรับงานใครมาหรือเปล่า” น.พ.เหวง มีอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นไม่แตกต่างกันเลย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.กระทรวงเกษตรฯ และเป็นแกนนำ นปช.คนสำคัญ ยังร่วมวิจารณ์รายงาน คอป. ว่า ใช้คำพูดคล้ายพรรคประชาธิปัตย์ และยังโต้แย้งว่า เป็นข้อมูลแค่ผิวนอกไม่ลงลึกถึงต้นตอความขัดแย้ง

เพียงแค่ข้อมูลชายชุดดำที่ คอป.มีชุดความจริงอันสอดคล้องกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และทหาร ว่า เป็นชนวนไปสู่การเสียชีวิตของผู้ชุมนุมและประชาชน ได้ทำให้เกิดการขัดแย้งเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น หนทางนำข้อมูลไปสร้างความ จริงเพื่อลดทอนความขัดแย้ง แล้วก่อรูปความปรองดองในสังคมขึ้น คงเป็นความลำบากไม่รู้จบอย่างยิ่ง

* อารมณ์เจ็บลึกลุกโชติ

ถามว่า ความจริงของความตาย 98 ศพและบาดแผลประชาชนจากการล้อมปราบ ราวกับเป็นคนถูกล่ากลางเมืองหลวงนั้น คอป.ได้ตีแผ่ถึงรากเหง้าผู้สั่งการหรือไม่ ตอบว่า เปล่าเลย รายงาน คอป. เอาแต่เฉียดไปเฉียดมา เน้นใช้วาทะนักสิทธิมนุษยฯมาโอ้โลมปลอบให้ลืมความเจ็บปวดร้าวลึกในใจ ซ้ำร้ายยังตัดตอนรากเหง้าความรุน แรงที่เกิดขึ้นในสังคมมาอยู่ที่ต้นทางปัญหาของ “ทักษิณซุกหุ้น” แล้วลามไล่ไปสู่ชายชุดดำก่อเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเมษายน- พฤษภาคม 2553

ทั้งๆ ที่รากเหง้าความจริงอยู่ที่การทำ รัฐประหารของทหารและผู้บ่งการอยู่เบื้อง หลัง เพียงเพื่อใช้กำลังมาปกป้องอำนาจที่ถูกท้าทายจากพรรคการเมืองซึ่งผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

กรณี “ชายชุดดำ” อาจมีอยู่จริง มีมากมีน้อยเท่าใดไม่รู้ หรือมีแบบจงใจของกลุ่มอำนาจบางกลุ่มส่งไปสร้างสถานการณ์ เพื่อเป็นข้ออ้างในการล้อมปราบ แต่ความจริงที่เหนือจริงก็คือ ทั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทหาร ยังไม่สามารถจับกุมมาดำเนินคดีได้แม้รายเดียว นั่นเท่ากับข้อมูลชายชุดดำของ คอป.เป็นจินตนาการความจริงที่ใช้คำบอกเล่ามาสร้างตัวตนขึ้น

หากชายชุดดำสู้กับทหารจริง ย่อมเป็นการสู้ที่เป็นผลมาจากต้นทางปัญหาของ คนสั่งการให้ทหารติดอาวุธไล่ล่าผู้ชุมนุมและประชาชนกลางถนนแบบเติมเต็มอารมณ์ สะใจ “ปังๆๆ ล้มแล้วๆๆ และอีกคนยื่นมือมาตบไหล่ให้รางวัล” อะไรประมาณนั้น

ชุดความจริงของ คอป.ที่ใช้เวลา 2 ปี ได้เพียงสาเหตุความรุนแรงว่า เป็นการกระทำของชายชุดดำ ส่วนการปรองดองอยู่ที่ข้อเรียกร้องให้ “ทักษิณ” เสียสละอย่า กลับไทยเหมือนกรณีของ “ปรีดี” แต่พวกทหารทำรัฐประหารและกลุ่มผู้บ่งการให้ยึด อำนาจกลับหัวเราะชอบใจอยู่ในไทย

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักประวัติศาสตร์การเมืองไทย เขียนในเฟซบุ๊กให้ข้อมูลว่า ปรีดียังต้องการกลับไทย และมีความพยายามหลายครั้ง แต่กลุ่มอำนาจศูนย์ กลางบงการให้ทำรัฐประหารสกัดกั้น กลุ่มผู้บงการอำนาจและการทำรัฐประหารอีกแล้วที่ซ้ำเติมความขัดแย้งใน สังคม และเป็นรากเหง้าของปัญหาความรุนแรงไม่รู้จบซ้ำซาก ซึ่ง คอป.ไม่ได้ตีแผ่อำนาจส่วนนี้ให้สังคมรับรู้อย่างทรงความน่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการสายสิทธิมนุษยชนกลับชื่นชมการเปิดเผยข้อมูล การตรวจสอบความจริงของ คอป.อย่างสุด ซึ้งว่า เป็นมิติใหม่มีการเปิดเผยผลรายงาน การตรวจสอบความรุนแรงแต่อีกด้านหนึ่งแล้ว การเปิดเผยเมื่อ วันที่ 17 กันยายนนั้น เป็นเพียงการแถลงเปิดใจเพื่อ “เลือกข้างอำนาจ” ของคณะกรรมการที่ “ไม่อิสระ” อย่างเด่นชัดยิ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความขัดแย้งยังไม่มีแนวโน้มยุติอย่างสันติ ความรุนแรงอย่างเจ็บลึกยังลุกฮืออยู่ในใจ และความปรองดองยังเป็นเพียงวาทกรรมสวยหรูของสังคม ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงซ้อนลึก

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น